แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามโต ความว่า จากวัตถุกามและกิเลส-
กาม. อธิบายว่า ความโศกก็ดี ภัยก็ดี ย่อมอาศัยกามแม้ทั้งสองอย่างนั่น
เกิด.
ในกาลจบเทศนา อนิตถิคันธกุมารตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ดังนี้
แล.
เรื่องอนิตถิคันธกุมาร จบ.
6. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง [170]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์คน
ใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ตณฺหาย ชายตี " เป็นต้น.
พระศาสดาเสด็จไปหาพราหมณ์ผู้มิจฉาทิฏฐิ
ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ วันหนึ่งไปสู่ฝั่งแม่น้ำแล้ว
ถางนาอยู่. พระศาสดาทรงเห็นความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยของเขา จึงได้
เสด็จไปสู่สำนักของเขา. เขาแม้เห็นพระศาสดา ก็ไม่ทำสามีจิกรรมเลย
ได้นิ่งเสีย.
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสทักเขาก่อนว่า " พราหมณ์ ท่านกำลัง
ทำอะไร ? "
พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลังแผ้วถางนาอยู่.
พระศาสดาตรัสเพียงเท่านั้นแล้วก็เสด็จไป แม้ในวันรุ่งขึ้น พระ-
ศาสดาเสด็จไปสำนักของเขาผู้มาแล้วเพื่อจะไถนา ตรัสถามว่า " พราหมณ์
ท่านทำอะไรอยู่ ? " ทรงสดับว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลังไถนา "
ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป แม้ในวันต่อมาเป็นต้น พระศาสดาก็เสด็จไป
ตรัสถามเหมือนอย่างนั้น ทรงสดับว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลัง
หว่าน กำลังไขน้ำ กำลังรักษานา " ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป.
พราหมณ์นับถือพระองค์ดุจสหาย
ครั้นในวันหนึ่ง พราหมณ์กราบทูลพระองค์ว่า " พระโคดมผู้เจริญ
ท่านมาแล้ว ตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าแผ้วถางนา, ถ้าข้าวกล้าของข้าพเจ้าจัก
เผล็ดผล, ข้าพเจ้าจักแบ่งปันแก่ท่านบ้าง, ยังไม่ให้ท่าน ข้าพเจ้าเองก็
จักไม่เคี้ยวกิน; ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านเป็นสหายของเรา. "
ข้าวกล้าเสียหาย
ครั้นโดยสมัยอื่นอีก ข้าวกล้าของพราหมณ์นั้น เผล็ดผลแล้ว. เมื่อ
พราหมณ์นั้นทำกิจทั้งปวงเพื่อการเกี่ยว ด้วยตั้งใจว่า ข้าวกล้าของเรา
เผล็ดผลแล้ว, เราจักให้เกี่ยวตั้งแต่พรุ่งนี้ไป " มหาเมฆยังฝนให้ตกตลอด
คืน พาเอาข้าวกล้าไปหมด. นาได้เป็นเช่นกับที่อันเขาถางเอาไว้.
พราหมณ์เสียใจเพราะทำนาไม่ได้ผล
ก็พระศาสดา ได้ทรงทราบแล้วในวันแรกทีเดียวว่า " ข้าวกล้านั้น
จักไม่เผล็ดผล. " พราหมณ์ไปแล้วแต่เช้าตรู่ ด้วยคิดว่า " เราจักตรวจดู
ข้าวกล้า " เห็นแต่นาเปล่า เกิดความโศกเป็นกำลังจึงคิดว่า " พระ-
สมณโคดมมาสู่นาของเรา ตั้งแต่คราวที่แผ้วถางนา, แม้เราก็ได้กล่าว
กะท่านว่า " เมื่อข้าวกล้าเผล็ดผลแล้ว จักแบ่งส่วนให้แก่ท่านบ้าง, ยัง
ไม่ให้ท่านแล้วเราเองก็จักไม่เคี้ยวกิน, ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านเป็นสหาย
ของเรา, ความปรารถนาในใจของเราเเม้นั้น ไม่ถึงที่สุดเสียแล้ว. " พราหมณ์
นั้นทำการอดอาหาร นอนบนเตียงน้อยแล้ว.
พระศาสดาเสด็จไปตรัสถามข่าวพราหมณ์
ลำดับนั้น พระศาสดาได้เสด็จไปสู่ประตูเรือนของพราหมณ์นั้น.
พราหมณ์นั้น ทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงสั่ง (ชนผู้เป็นบริวาร)
ว่า " พวกเธอจงนำสหายของเรามาแล้ว ให้นั่งที่นี้. " ชนผู้เป็นบริวารได้
ทำอย่างนั้นแล้ว. พระศาสดาประทับนั่งแล้ว ตรัสถามว่า " พราหมณ์
ไปไหน ? " เมื่อเขากราบทูลว่า " นอนในห้อง." ก็รับสั่งหาด้วยพุทธดำรัส
ว่า " พวกเธอ จงเรียกพราหมณ์นั้นมา. " เเล้วตรัสกะพราหมณ์ผู้มานั่ง
แล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่งว่า " เป็นอะไร ? พราหมณ์."
พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ท่านมาสู่นาของข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่
แผ้วถาง. แม้ข้าพเจ้าก็ได้พูดไว้ว่า " เมื่อข้าวกล้าเผล็ดผลแล้ว จักแบ่งส่วน
ถวายท่านบ้าง, ความปรารถนาในใจของข้าพเจ้าไม่สำเร็จเสียแล้ว; เพราะ
เหตุนั้น ความโศกจึงเกิดแล้วแก่ข้าพเจ้า, แม้ภัตข้าพเจ้าก็ไม่หิว. "
ตรัสเหตุแห่งความโศกและอุบายระงับความโศก
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า " พราหมณ์ ก็ท่าน
รู้ไหมว่า ความโศกเกิดแล้วแก่ท่าน เพราะอาศัยอะไร ? " เมื่อพราหมณ์
กราบทูลว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่ทราบ, ก็ท่านทราบหรือ ? "
จึงตรัสว่า " อย่างนั้น พราหมณ์ ความจริง ความโศกก็ดี ภัยก็ดี เมื่อ
จะเกิด ย่อมอาศัยตัณหาเกิดขึ้น " ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
6. ตณฺหาย ชายตี โสโก ตณฺหาย ชายตี ภยํ
ตณฺหาย วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศก ย่อมเกิดเพราะตัณหา, ภัยย่อมเกิด
เพราะตัณหา; ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษ
แล้วจากตัณหา. ภัยจักมีแต่ไหน. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตณฺหาย ได้แก่ ตัณหาอันเป็นไป
ในทวาร 6. อธิบายว่า ความโศกเป็นต้น ย่อมอาศัยตัณหานั่นเกิดขึ้น.
ในกาลจบเทศนา พราหมณ์ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ดังนี้แล.
เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง จบ.
7. เรื่องเด็ก 500 คน [171]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเวฬัวัน ทรงปรารภเด็ก 500
ในระหว่างทาง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สีลทสฺสนสสมฺปนฺนํ "
เป็นต้น.
พระศาสดาเสด็จบิณฑบาต พบเด็ก 500 คน
ความพิสดารว่า วันหนึ่งพระศาสดามีภิกษุ 500 เป็นบริวารพร้อม
ด้วยพระอสีติมหาเถระ เสด็จเข้าไปกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ได้ทอด
พระเนตรเห็นเด็ก 500 คน ยกกระเช้าขนมออกจากเมืองแล้วไปสวน ใน
วันมหรสพวันหนึ่ง แม้เด็กเหล่านั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้วก็หลีกไป.
ไม่กล่าวกะภิกษุแม้สักรูปหนึ่งว่า " ขอท่าน รับเอาขนม ? "
พระศาสดาตรัสกะภิกษุทั้งหลาย ในกาลที่ภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว ว่า
" ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจักฉันขนมไหม ? "
ภิกษุ. ขนมที่ไหน ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอทั้งหลายไม่เห็นพวกเด็กถือกระเช้าขนมเดินผ่านไป
แล้วดอกหรือ ?
ภิกษุ. พวกเด็กเห็นปานนั้น ไม่ถวายขนมแก่ใคร ๆ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย เด็กเหล่านั้นไม่นิมนต์เราหรือพวกเธอ
ด้วยขนมก็จริง. ถึงกระนั้น ภิกษุผู้เป็นเจ้าของขนม ก็กำลังมาข้างหลัง
ฉันขนมเสียก่อนแล้วไป จึงควร.
ตามธรรมดา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีความริษยาหรือความ
ประทุษร้ายแม้ในบุคคลคนหนึ่ง; เพราะฉะนั้น พระศาสดาตรัสคำนี้แล้ว
จึงพาภิกษุสงฆ์ไปประทับนั่งใต้ร่มเงาโคนไม้ต้นหนึ่ง.
พวกเด็ก เห็นพระมหากัสสปเถระเดินมาข้างหลัง เกิดความรักขึ้น
มีสรีระเต็มเปี่ยมด้วยกำลังแห่งปีติ วางกระเช้า ไหว้พระเถระด้วยเบญ-
จางคประดิษฐ์ ยกขนมพร้อมทั้งกระเช้าทีเดียวแล้ว กล่าวกะพระเถระว่า
" นิมนต์รับเถิด ขอรับ. "
ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเด็กเหล่านั้นว่า " นั่น พระศาสดาพา
พระภิกษุสงฆ์ไปประทับนั่งแล้วที่โคนไม้, พวกเธอจงถือไทยธรรมไป
แบ่งส่วนถวายภิกษุสงฆ์." พวกเด็กรับคำว่า " ดีละ ขอรับ " แล้วกลับ
ไปพร้อมกับพระเถระทีเดียว ถวายขนมแล้ว ยืนมองดูอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
แล้ว ได้ถวายน้ำในเวลาฉันเสร็จ.
พวกภิกษุโพทะนาพวกเด็กผู้ถวายขนม
ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า " พวกเด็กถวายภิกษาเพราะเห็นแก่หน้า,
ไม่ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระมหาเถระทั้งหลายด้วยขนม เห็น
พระมหากัสสปเถระแล้ว ถือเอาขนมพร้อมด้วยกระเช้านั่นแลมาแล้ว."
พระศาสดาทรงยกพระมหากัสสปเป็นนิทัศนะ
พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุผู้เช่นกับมหากัสสปผู้บุตรของเรา ย่อมเป็นที่รักของเหล่า
เทวดาและมนุษย์ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมทำบูชาด้วยปัจจัย 4 แก่
เธอโดยแท้ " ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
7. สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ ธมฺมฏฺฐ สจฺจวาทินํ
อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ ตญฺชโน กุรุเต ปิยํ.
" ชน ย่อมทำท่านผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและทัสสนะ
ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้มีปกติกล่าวแต่วาจาสัตย์ ผู้กระทำ
การงานของตนนั้น ให้เป็นที่รัก. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ ความว่า ผู้ถึง
พร้อมด้วยจตุปาริสุทธิศีล และความเห็นชอบอันสัมปยุตด้วยมรรคและผล.
บทว่า ธมฺมฏฺฐ ความว่า ผู้ตั้งอยู่ในโลกุตรธรรม 9 ประการ.
อธิบายว่า ผู้มีโลกุตรธรรมอันทำให้แจ้งแล้ว.
บทว่า สจฺจวาทินํ ความว่า ชื่อว่าผู้มีปกติกล่าววาจาสัตย์ด้วย
สัจญาณ เพราะความที่สัจจะ 4 อันท่านทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ 16.
บาทพระคาถาว่า อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ ความว่า สิกขา 3
ชื่อว่าการงานของตน, ผู้บำเพ็ญสิกขา 3 นั้น.
สองบทว่า ตํ ชโน ความว่า โลกิยมหาชน ย่อมทำบุคคลนั้น
ให้เป็นที่รัก คือเป็นผู้ใคร่จะเห็น ใคร่จะไหว้ ใคร่จะบูชาด้วยปัจจัย 4
โดยแท้.
ในกาลจบเทศนา เด็กเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ตั้งอยู่แล้วในโสดา-
ปัตติผล ดังนี้แล.
เรื่องเด็ก 500 คน จบ.
8. เรื่องพระอนาคามิเถระ [172]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระผู้
อนาคามีองค์หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ฉนฺทชาโต " เป็นต้น.
พระเถระบรรลุอนาคามิผล
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พวกสัทธิวิหาริกถามพระเถระนั้นว่า
" ท่านขอรับ ก็การบรรลุธรรมพิเศษของท่าน มีอยู่หรือ ? "
พระเถระ ละอายอยู่ว่า " แม้คฤหัสถชนก็ยังบรรลุพระอนาคามิผล
ได้, ในเวลาบรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล เราจักบอกกับสัทธิวิหาริกเหล่า
นั้น " ดังนี้แล้ว ไม่กล่าวอะไร ๆ เลย ทำกาละแล้วเกิดในเทวโลกชั้น
สุทธาวาส.
ลำดับนั้น พวกสัทธิวิหาริกของท่าน ร้องไห้คร่ำครวญไปสู่สำนัก
พระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ร้องไห้อยู่ทีเดียว นั่งแล้ว ณ
ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอร้องไห้ทำไม ? "
ภิกษุ. อุปัชฌายะของข้าพระองค์ทำกาละแล้ว พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ช่างเถิด ภิกษุทั้งหลาย, เธอทั้งหลายอย่าคิดเลย,
นั่นชื่อว่าเป็นธรรมที่ยั่งยืน.
ภิกษุ. พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่,
แต่พวกข้าพระองค์ ได้ถามถึงการบรรลุธรรมพิเศษ กะพระอุปัชฌายะ,
ท่านไม่บอกอะไร ๆ เลย ทำกาละแล้ว, เหตุนั้น พวกข้าพระองค์จึงถึง
ความทุกข์.
ลักษณะของผู้ชื่อว่ามีกระแสในเบื้องบน
พระศาสดาตรัสว่า " อย่าคิดเลย ภิกษุทั้งหลาย, อุปัชฌายะของ
พวกเธอ บรรลุอนาคามิผลแล้ว, เธอละอายอยู่ว่า ' แม้พวกคฤหัสถ์ก็
บรรลุอนาคามิผลนั่น.' เราต่อบรรลุอรหัตแล้ว จึงจักบอกแก่พวก
สัทธิวิหาริกนั้น ไม่บอกอะไร ๆ แก่พวกเธอเลย ทำกาละแล้วเกิดใน
ชั้นสุทธาวาส; วางใจเสียเถิด ภิกษุทั้งหลาย อุปัชฌายะของพวกเธอ
ถึงความเป็นผู้มีจิต ไม่เกี่ยวเกาะในกามทั้งหลาย มีกระแสในเบื้องบน " ดัง
นี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
8. ฉนฺทชาโต อนฺกขาเต มนฺสา จ ผุโฐ สิยา
กาเม จ อปฺปฏิพทฺธจิตฺโต อุทฺธํโสโตติ วุจฺจติ.
" ภิกษุ ผู้มีฉันทะเกิดแล้ว ในพระนิพพานอัน
ใคร ๆ บอกไม่ได้ พึงเป็นผู้อันใจถูกต้องแล้วก็ดี ผู้
มีจิตไม่เกี่ยวเกาะในกามทั้งหลายก็ดี ท่านเรียกว่า
ผู้มีกระแสในเบื้องบน."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺทชาโต ความว่า มีฉันทะเกิด
แล้ว ด้วยอำนาจความพอใจ ในความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ คือถึงความ
อุตสาหะแล้ว.
บทว่า อนฺกขาเต คือ ในพระนิพพาน. แท้จริง พระนิพพาน
นั้น ชื่อว่า อนักขาตะ เพราะความเป็นธรรมชาติอันใคร ๆ บอกไม่ได้ว่า
" อันปัจจัยโน้นทำ หรือบรรดาสีต่าง ๆ มีสีเขียวเป็นต้น เห็นปานนี้."
บาทพระคาถาว่า มนฺสา จ ผุโฏ1 สิยา ความว่า พึงเป็นผู้อัน
จิตที่สัมปยุตด้วยมรรคผล 3 เบื้องต่ำถูกต้องแล้ว คือให้เต็มแล้ว.
บทว่า อปฺปฏิพทฺธจิตฺโต ความว่า มีจิตไม่เกี่ยวเกาะในกาม
ทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระอนาคามิมรรคก็ดี.
บทว่า อุทฺธํโสโต ความว่า ภิกษุเห็นปานนี้ เกิดแล้วในภพ
อวิหา ถัดนั้นไป ก็ไปสู่อกนิษฐภพ ด้วยอำนาจปฏิสนธิ ท่านเรียกว่า
' ผู้มีกระแสในเบื้องบน ' พระอุปัชฌาย์ของพวกเธอ ก็เป็นผู้เช่นนั้น.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นตั้งอยู่แล้วในอรหัตผล. เทศนาได้
มีประโยชน์แม้เเก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องพระอนาคามิเถระ จบ.
1. บาลีเป็น ผโฐ.