ฤษีเหล่านั้น พูดกันว่า " น่าอัศจรรย์หนอ ! ท่านผู้เจริญ. อานุภาพ
แห่งสมณะ ชื่อเห็นปานนี้. พระสมณะนี้ทรมานนาคราชได้แล้ว " ได้ยืน
ล้อมพระเถระอยู่แล้ว.
ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมาแล้ว. พระเถระเห็นพระศาสดาแล้ว
ลุกขึ้นถวายบังคม. ลำดับนั้น ฤษีทั้งหลาย พูดกะพระเถระนั้นว่า " สมณะ
นี้ เป็นใหญ่แม้กว่าท่านหรือ ? "
พระเถระ. พระผู้มีพระภาคเจ้านั่น เป็นพระศาสดา, ข้าพเจ้าเป็น
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้.
พวกฤษีชมเชยพระศาสดา
พระศาสดาประทับนั่งบนยอดกองทรายแล้ว. หมู่ฤษีประคองอัญชลี
ชมเชยพระศาสดาว่า " อานุภาพของสาวกยังถึงเพียงนี้, ส่วนอานุภาพ
ของพระศาสดานี้ จักเป็นเช่นไร ? "
พระศาสดาตรัสเรียกอัคคิทัตมาแล้ว ตรัสว่า " อัคติทัต ท่านเมื่อ
ให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากทั้งหลายของท่าน ย่อมกล่าวว่า ' อย่างไร ? '
ให้. "
อัคคิทัต. ข้าพระองค์ให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากเหล่านั้น อย่าง
นี้ว่า ่ท่านทั้งหลาย จงถึงภูเขานั่นว่าเป็นที่พึ่ง, จงถึงป่า อาราม, จงถึง
ต้นไม้ ว่าเป็นที่พึ่ง; ด้วยว่าบุคคลถึงวัตถุทั้งหลาย มีภูเขาเป็นต้นนั้นว่า
เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.'
สรณะที่เกษมและไม่เกษม
พระศาสดาตรัสว่า " อัคคิทัต บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้น
นั่นว่าเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย, ส่วนบุคคลถึงพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นได้ "
ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
6. พหุํ เว สรณํ ยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ
อารามรุกฺขเจตฺยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ
เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.
โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ
อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมคามินํ
เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ
เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.
" มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อม
ถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง;
สรณะนั่นแลไม่เกษม, สรณะนั่นไม่อุดม, เพราะ
บุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ 4 (คือ) ทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรค
มีองค์ 8 อันประเสริฐ ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบ
แห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ; สรณะนั่นแลของ
บุคคลนั้นเกษม, สรณะนั่นอุดม, เพราะบุคคลอาศัย
สรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุํ ได้แก่ พหู แปลว่ามาก. บทว่า
ปพฺพตานิ เป็นต้น ความว่า มนุษย์เหล่านั้นๆ อันภัยนั้นๆ คุกคามแล้ว
อยากพ้นจากภัย หรือปรารถนาลาภทั้งหลาย มีการได้บุตรเป็นต้น ย่อม
ถึงภูเขา มีภูเขาชื่ออิสิคิลิ เวปุลละและเวภาระเป็นต้น ป่าทั้งหลาย มีป่า
มหาวัน ป่าโคสิงคสาลวันเป็นต้น อารามทั้งหลาย มีเวฬุวันและชีวกัมพวัน
เป็นต้น และรุกขเจดีย์ทั้งหลาย มีอุเทนเจดีย์และโคตมเจดีย์เป็นต้นในที่
นั้น ๆ ว่าเป็นที่พึ่ง.
สองบทว่า เนตํ สรณํ ความว่า ก็สรณะแม้ทั้งหมดนั่นไม่เกษม
ไม่อุดม. ด้วยว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นต้น เป็นธรรมดาแม้
ผู้หนึ่ง อาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง มีชาติเป็นต้นได้.
คำว่า โย จ เป็นต้นนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสรณะอันไม่
เกษม ไม่อุดมแล้ว ปรารภไว้เพื่อจะทรงแสดงสรณะอันเกษม อันอุดม.
เนื้อความแห่งคำว่า โย จ เป็นต้นนั้น (ดังต่อไปนี้) :-
ส่วนบุคคลใด เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม อาศัยกัมมัฎ-
ฐาน คือการตามระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้นว่า
" แม้เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ถึงพระพุทธ พระธรรม เเละพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ด้วย
สามารถแห่งความเป็นวัตถุอันประเสริฐ, การถึงสรณะนั้น ของบุคคลแม้
นั้น ยังกำเริบ ยังหวั่นไหว ด้วยกิจทั้งหลายมีการไหว้อัญเดียรถีย์เป็นต้น,
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงความที่การถึงสรณะนั้นไม่หวั่นไหว
เมื่อจะทรงประกาศสรณะอันมาแล้วโดยมรรคนั่นแล จึงตรัสว่า ' ย่อมเห็น
อริยสัจ 4 ด้วยปัญญาชอบ.' ด้วยว่าบุคคลใดถึงรัตนะทั้งหลาย มีพระพุทธ-
รัตนะเป็นต้นนั่นว่า เป็นที่พึ่ง ด้วยสามารถแห่งการเห็นสัจจะเหล่านั้น,
สรณะนั้นของบุคคลนั้น เกษมและอุดม. และบุคคลนั้นอาศัยสรณะนั่น
ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะแม้ทั้งสิ้นได้; เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า เอตํ โข สรณํ เขมํ เป็นต้น
ในกาลจบเทศนา ฤษีเหล่านั้นแม้ทั้งหมด บรรลุพระอรหัตพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ทูลขอบรรพชาแล้ว.
พระศาสดา ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกจากกลีบจีวร ตรัสว่า " ท่าน
ทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์."
ชาวเมืองเข้าใจว่าอัคคิทัตใหญ่กว่าพระศาสดา
ในขณะนั้นเอง ฤษีเหล่านั้นได้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร 8 ดุจพระ-
เถระมีพรรษาตั้งร้อย. ก็วันนั้นได้เป็นวันที่ชาวแคว้นอังคะ แคว้นมคธะ
และแคว้นกุรุ แม้ทั้งปวงถือเครื่องสักการะมา. ชนเหล่านั้นถือเครื่อง
สักการะมาแล้ว เห็นฤษีเหล่านั้นแม้ทั้งหมดบวชแล้ว คิดว่า " อัคคิทัต
พราหมณ์ของพวกเราเป็นใหญ่ หรือพระสมณโคดมเป็นใหญ่หนอแล ? "
ได้สำคัญว่า " อัคคิทัต เป็นใหญ่แน่ เพราะเหตุที่พระสมณโคดมมาหา."
อัคคิทัตตัดความสงสัยของชาวเมือง
พระศาสดา ทรงตรวจดูอัธยาศัยของชนเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า
" อัคคิทัต เธอจงตัดความสงสัยของบริษัท. " พระอัคคิทัตนั้นกราบทูลว่า
" แม้ข้าพระองค์ ก็หวังเหตุมีประมาณเพียงนั้นเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว
เหาะขึ้นไปสู่เวหาสด้วยกำลังฤทธิ์ แล้วลงมาถวายบังคมพระศาสดาบ่อย ๆ
ถึง 7 ครั้งแล้ว กล่าวประกาศความที่ตนเป็นสาวกว่า " ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์. ข้าพระองค์เป็น
สาวก " ดังนี้แล.
เรื่องปุโรหิตชื่ออัคคิทัต จบ.
7. เรื่องปัญหาพระอานนทเถระ [151]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปัญหาของ
พระอานนทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ทุลฺลโภ ปุริสาชญฺโญ "
เป็นต้น.
พระเถระรำพึงถึงที่เกิดของบุรุษอาชาไนย
ความพิสดารว่า วันหนึ่งพระเถระนั่งในที่พักกลางวัน คิดว่า " พระ-
ศาสดาเมื่อตรัสคำว่า ' ช้างอาชาไนย เกิดขึ้นในตระกูลช้างฉัททันต์ หรือ
ในตระกูลช้างอุโบสถ, ม้าอาชาไนยเกิดขึ้นในตระกูลม้าสินธพ หรือใน
ตระกูลพระยาม้าวลาหก, โคอาชาไนย เกิดขึ้นในทักขิณาปถชนบท '
เป็นต้น เป็นอันตรัสสถานที่เกิดขึ้นแห่งสัตว์ประเสริฐ มีช้างอาชาไนย
เป็นต้นแล้ว, ส่วนบุรุษอาชาไนย ย่อมบังเกิดขึ้นในที่ไหนหนอ ? "
พระเถระเข้าไปทูลถามพระศาสดา
พระเถระนั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วทูลถามเรื่อง
นั้น. พระศาสดาตรัสว่า " อานนท์ ขึ้นชื่อว่าบุรุษอาชาไนย ย่อมไม่
บังเกิดในที่ทั่วไป, แต่บังเกิดขึ้นในที่อันเป็นมัชฌิมประเทศ (วัด) โดย
ตรงยาว 300 โยชน์ โดยรอบประมาณ 900 โยชน์ ก็เมื่อจะบังเกิดขึ้น
ก็ย่อมไม่บังเกิดขึ้นในตระกูลสามัญ, ย่อมบังเกิดขึ้นในตระกูลขัตติยมหา-
ศาลและพราหมณมหาศาล ตระกูลใดตระกูลหนึ่งเท่านั้น " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า :-
7. ทุลฺลโภ ปุริสาชญฺโญ น โส สพฺพ ชายติ
ยตฺถ โส ชายตี ธีโร ตํ กุลํ สุขเมธติ.
" บุรุษอาชาไนยหาได้ยาก, (เพราะว่า) บุรุษ
อาชาไนยนั้น ย่อมไม่เกิดในที่ทั่วไป; บุรุษอาชาไนย
นั้นเป็นนักปราชญ์ ย่อมเกิดในตระกูลใด, ตระกูล
นั้น ย่อมถึงความสุข. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุลฺลโภ เป็นต้น ความว่า บุรุษอาชา-
ไนยแล เป็นผู้อันบุคคลหาได้ยาก. คือหาได้ง่ายเหมือนช้างอาชาไนยเป็น
ต้นก็หาไม่. บุรุษอาชาไนยนั้น ย่อมไม่เกิดในที่ทั่วไปคือ ในปัจจันต-
ประเทศ หรือในตระกูลต่ำ, แต่ย่อมเกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง บรรดา
ตระกูลกษัตริย์และตระกูลพราหมณ์ ในที่ทำสักการะมีอภิวาทเป็นต้น
แห่งมหาชนในมัชฌิมประเทศเท่านั้น. ก็บุรุษอาชาไนยนั้นเป็นนักปราชญ์
คือเป็นผู้มีปัญญาสูงสุด ได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะเกิดอย่างนั้น
ย่อมเกิดในตระกูลใดตระกูลนั้น ย่อมถึงความสุข คือย่อมเป็นตระกูลที่
บรรลุความสุขแท้.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ จบ.
8. เรื่องสัมพหุลภิกขุ [155]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภการสนทนา
ของภิกษุมากรูปด้วยกัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุโข พุทฺธาน-
มุปฺปาโท " เป็นต้น.
ความเห็นในปัญหาต่าง ๆ กัน
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง ภิกษุ 500 รูปนั่งในศาลาเป็นที่บำรุง
สนทนากันว่า " ผู้มีอายุทั้งหลาย อะไรหนอแล เป็นสุขในโลกนี้ ? "
บรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกกล่าวว่า " ชื่อว่าสุข เช่นกับด้วยสุข
ในราชสมบัติ ย่อมไม่มี. " บางพวกกล่าวว่า " ชื่อว่าสุข เช่นกับด้วยสุข
ในกาม ย่อมไม่มี. " บางพวกกล่าวว่า " ชื่อว่าสุข เช่นกับด้วยสุขอันเกิด
แต่การบริโภคข้าวสาลีและเนื้อ ย่อมไม่มี. "
พระศาสดาทรงแก้ปัญหานั้น
พระศาสดา เสด็จมาสู่ที่ ๆ ภิกษุเหล่านั้นนั่งแล้ว ตรัสถามว่า
" ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ ? " เมื่อ
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า " ด้วยถ้อยคำชื่อนี้, " จึงตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเธอกล่าวอะไร ? ก็ความสุขนี้แม้ทั้งหมด นับเนื่องด้วยทุกข์
ในวัฏฏะทั้งนั้น. แต่เหตุนี้เท่านั้นคือ ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า การ
ฟังธรรม ความพร้อมเพรียงของหมู่ ความเป็นผู้ปรองดองกัน เป็นสุขใน
โลกนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
8. สุโข พุทฺธานํ อุปฺปาโท สุขา สทฺธมฺมเทสนา
สุขา สงฺฆส ส สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโข.
" ความเกิดขึ้นเเห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็น
เหตุนำสุขมา, การแสดงธรรมของสัตบุรุษ เป็นเหตุ
นำสุขมา, ความพร้อมเพรียงของหมู่ เป็นเหตุนำสุข
มา, ความเพียรของชนผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นเหตุนำ
สุขมา."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธานมุปฺปาโท1 ความว่า พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อทรงอุบัติขึ้น ย่อมยังมหาชนให้ข้ามจากความกันดาร
ทั้งหลาย มีความกันดารคือราคะเป็นต้น เหตุใด. เหตุนั้น ความเกิดขึ้น
แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงชื่อว่าเป็นเหตุนำสุขมา. สัตว์ทั้งหลายผู้มีทุกข์
มีชาติเป็นต้นเป็นธรรม. อาศัยการแสดงธรรมของสัตบุรุษ ย่อมพ้นจาก
ทุกข์ทั้งหลาย มีชาติเป็นต้น เหตุใด. เหตุนั้น การแสดงธรรมของสัตบุรุษ
จึงชื่อว่าเป็นเหตุนำสุขมา. ความเป็นผู้มีจิตเสมอกัน ชื่อว่าสามัคคี. แม้
สามัคคีนั้น ก็ชื่อว่าเป็นเหตุนำสุขมาโดยแท้. อนึ่ง การเรียนพระพุทธพจน์
ก็ดี การรักษาธุดงค์ทั้งหลายก็ดี การทำสมณธรรมก็ดี ของเหล่าชนผู้
พร้อมเพรียงกัน คือผู้มีจิตเป็นอันเดียวกัน เป็นเหตุนำสุขมา เหตุใด,
เหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า " สมคฺคานํ ตโป สุโข. " เพราะเหตุนั้น
นั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า2 " ภิกษุทั้งหลาย ก็พวก
ภิกษุจักพร้อมเพรียงกันประชุม, จักพร้อมเพรียงกันเลิก (ประชุม), จัก
พร้อมเพรียงกันทำกิจที่ควรทำของหมู่, ตลอดกาลเพียงใด; ภิกษุทั้งหลาย
1. บาลีเป็น พุทฺธานํ อุปฺปาโท. 2. ยัง. สัตตก. 23/21.
ความเจริญฝ่ายเดียว อันภิกษุทั้งหลายพึงหวังได้, ความเสื่อมอันภิกษุ
ทั้งหลายไม่พึงหวังได้ ตลอดกาลเพียงนั้น. "
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเป็นอันมากตั้งอยู่ในอรหัตผลแล้ว. เทศนา
ได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องสัมพหุลภิกขุ จบ.
9. เรื่องพระจดีย์ทองของพระกัสสปทสพล [156]
ข้อความเบื้องต้น
พระบรมศาสดาเมื่อเสด็จจาริกไป ทรงปรารภพระเจดีย์ทองของ
พระกัสสปทสพล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปูชารเห " เป็นต้น.
ความพิสดารว่า พระตถาคตเจ้ามีพระสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นพุทธบริวาร
เสด็จออกจากเมืองสาวัตถีแล้วเสด็จไปเมืองพาราณสีโดยลำดับ เสด็จถึง
เทวสถานแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้บ้านโตไทยคาม ในระหว่างทาง. พระสุคต-
เจ้าได้ประทับใกล้เทวสถานนั้น ทรงส่งพระธรรมภัณฑาคาริก (คือพระ-
อานนท์ผู้เป็นขุนคลังแห่งพระธรรม) ให้บอกพราหมณ์ซึ่งกำลังทำกสิกรรม
อยู่ในที่ไม่ไกลมาเฝ้า. พราหมณ์นั้นมาแล้วไม่ถวายอภิวาทแด่พระตถาคต
แต่ไหว้เทวสถานนั้นอย่างเดียว แล้วยืนอยู่. แม้พระสุคตเจ้าก็ตรัสว่า
" ดูก่อนพราหมณ์ ท่านสำคัญประเทศนี้ว่าเป็นที่อะไร ? " พราหมณ์จึง
กราบทูลว่า " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าไหว้ด้วยตั้งใจว่า ที่นี้เป็น
เจติยสถานตามประเพณีของพวกข้าพเจ้า. " พระสุคตเจ้าจึงให้พราหมณ์นั้น
ซื่นชมยินดีว่า " ดูก่อนพราหมณ์ ท่านไหว้สถานที่นี้ ได้ทำกรรมที่ดีแล้ว."
ภิกษุทั้งหลายได้สดับพระพุทธดำรัสนั้นแล้วจึงเกิดสงสัยขึ้นว่า " พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงให้พราหมณ์ชื่นชมยินดีอย่างนี้ ด้วยเหตุอะไรหนอ."
ลำดับนั้น พระตถาคตเจ้า เพื่อทรงปลดเปลื้องความสงสัยของภิกษุเหล่านั้น
จึงตรัสเทศนา ฆฏิการสูตร ในมัชฌิมนิกาย แล้วทรงนิรมิตพระเจดีย์ทอง
ของพระกัสสปทศพล สูงหนึ่งโยชน์ และพระเจดีย์ทองอีกหนึ่งองค์ไว้ใน