เมนู

5. เรื่องพระสัมมัชชนเถระ [141]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสัมมัช-
ชนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา "
เป็นต้น.

ผู้ไม่ประมาทย่อมยังโลกให้สว่าง


ได้ยินว่า พระเถระนั้นไม่ทำเวลาให้เป็นประมาณว่า " เช้าหรือ
เย็น " ย่อมเที่ยวกวาดอยู่เนือง ๆ. วันหนึ่ง พระเถระนั้น ถือไม้กวาด
ไปสู่สำนักของพระเรวตเถระ ผู้นั่งในที่พักกลางวันแล้ว กล่าวว่า " พระ-
เถระนี้เป็นผู้เกียจคร้านมาก. บริโภคของที่ชนถวายด้วยศรัทธา แล้วมา
นั่งอยู่ ; การที่พระเถระนั้นถือเอาไม้กวาดแล้วกวาดที่แห่งหนึ่ง จะไม่ควร
หรือ ? " พระเถระคิดว่า " เราจักให้โอวาทแก่เธอ " ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
" มานี่แน่ะ คุณ."
พระสัมมัชชนเถระ. อะไร ? ขอรับ.
พระเรวตเถระ. ท่านจงไป. อาบน้ำแล้วจงมา.
พระสัมมัชชนเถระนั้น ได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
ลำดับนั้น พระเถระให้เธอนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่งแล้ว เมื่อจะกล่าว
สอน จึงกล่าวว่า " คุณ ธรรมดาภิกษุเที่ยวกวาดอยู่ตลอดทุกเวลา ไม่ควร,
ก็การที่ภิกษุกวาดแต่เช้าตรู่แล้ว เที่ยวบิณฑบาต กลับจากบิณฑบาตแล้ว
มานั่งในที่พักกลางคืนหรือในที่พักกลางวัน สาธยายอาการ 32 เริ่มตั้ง
ความสิ้นความเสื่อมในอัตภาพแล้ว ลุกขึ้นกวาดในเวลาเย็น จึงควร. อัน

ภิกษุไม่กวาดตลอดกาลเป็นนิตย์ แล้วพึงทำโอกาส ชื่อแม้แก่ตน." พระ-
สัมมัชชนเถระนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระแล้ว ไม่นานเท่าไรก็บรรลุ
พระอรหัต. ที่นั้น ๆได้รกรุงรังแล้ว.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะพระสัมมัชชนเถระนั้นว่า " สัมมัช-
ชนเถระผู้มีอายุ ที่นั้น ๆ รกรุงรัง. เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่กวาด ? "
พระสัมมัชชนเถระ. ท่านผู้เจริญ กระผมทำแล้วอย่างนั้น ในเวลา
ประมาท, บัดนี้ กระผมเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลแด่พระศาสดาว่า " พระเถระนี้ พยากรณ์
อรหัตผล. " พระศาสดาตรัสว่า " อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเรา
เที่ยวกวาดอยู่ในเวลาประมาทในก่อน. แต่บัดนี้ บุตรของเรายับยั้งอยู่
ด้วยความสุขซึ่งเกิดแต่มรรคผล จึงไม่กวาด " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-
5. โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตวา ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ
โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา.
" ผู้ใดประมาทในก่อน ภายหลังไม่ประมาท,
ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือนดวงจันทร์พ้น
แล้วจากหมอกฉะนั้น."

แก้อรรถ


บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
บุคคลใดประมาทแล้วในก่อน ด้วยการทำวัตรและวัตรตอบ หรือ
ด้วยการสาธยายเป็นต้น ภายหลังยับยั้งอยู่ด้วยสุขซึ่งเกิดแต่มรรคผล ชื่อว่า

ย่อมไม่ประมาท. บุคคลนั้น ย่อมยังโลกมีขันธ์เป็นต้นนี้ให้สว่าง คือย่อม
ทำให้แสงสว่างเป็นอันเดียวกันได้ด้วยมรรคญาณ เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้ว
จากหมอกเป็นต้น ยังโอกาสโลกให้สว่างอยู่ ฉะนั้น.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระสัมมัชชนเถระ จบ.

6. เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ [142]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอังคุลิ-
มาลเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ " เป็นต้น.

ต้นคดปลายตรงใช้ได้


เนื้อเรื่องบัณฑิตพึงทราบด้วยสามารถแห่งอังคุลิมาลสูตร1นั่นแล. ก็
พระเถระบวชในสำนักของพระศาสดา บรรลุพระอรหัตแล้ว. ครั้งนั้นแล
ท่านพระอังคุลิมาลไปแล้วในที่ลับหลีกเร้นอยู่ เสวยวิมุตติสุขแล้ว, เปล่ง
อุทานนี้ในเวลานั้นว่า :-
" ก็ผู้ใด ประมาทแล้วในก่อน ภายหลังไม่ประ-
มาท, ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือนดวงจันทร์
พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น. "

ครั้นเปล่งอุทานแล้ว ก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ พระเถระบังเกิดแล้ว
ณ ที่ไหนหนอแล ? พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอเป็นผู้นั่งประชุมกันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลว่า " ด้วยถ้อยคำปรารภถึงที่บังเกิดของพระอังคุลิมาลเถระ. พระ-
เจ้าข้า. " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราปรินิพพานแล้ว." เมื่อ
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า " พระอังคุลิมาลเถระฆ่ามนุษย์มีประมาณเท่านี้
ปรินิพพานแล้วหรือ ? พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย
เพราะอังคุลิมาลนั้นไม่ได้กัลยามิตรสักคนหนึ่ง จึงได้ทำบาปมีประมาณ
1. ม. ม. 13/477.

เท่านี้ในกาลก่อน. แต่ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย จึงได้เป็น
ผู้ไม่ประมาท; เหตุนั้น บาปกรรมนั้นอันบุตรของเราละได้แล้วด้วยกุศล"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
6. ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ กุสเลน ปิถียติ
โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา
" บุคคลใด ละบาปกรรมที่ตนทำไว้เเล้วได้ด้วย
กุศล, บุคคลนั้น ย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือน
ดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุสเลน พระศาสดาตรัสหมายเอาพระ-
อรหัตมรรค. คำที่เหลือ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น.
เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ จบ.

7. เรื่องธิดานายช่างหูก [143]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเจดีย์ชื่อว่าอัคคาฬวะ ทรงปรารภ
ธิดาของนายช่างหูกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อนฺธภูโต อยํ
โลโก "
เป็นต้น.

คนเจริญมรณสติไม่กลัวตาย


ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พวกชาวเมืองอาฬวี เมื่อพระศาสดา
เสด็จถึงเมืองอาฬวีแล้ว ได้ทูลนิมนต์ถวายทานแล้ว. พระศาสดาเมื่อจะ
ทรงทำอนุโมทนาในเวลาเสร็จภัตกิจ จึงตรัสว่า " ท่านทั้งหลายจงเจริญ
มรณสติอย่างนี้ว่า ' ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน, ความตายของเราแน่นอน, เรา
พึงตายแน่แท้. ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุด. ชีวิตของเราไม่เที่ยง.
ความตายเที่ยง; ก็มรณะอันชนทั้งหลายใดไม่เจริญแล้ว, ในกาลที่สุด
ชนทั้งหลายนั้น ย่อมถึงความสะดุ้ง ร้องอย่างขลาดกลัวอยู่ทำกาละ เหมือน
บุรุษเห็นอสรพิษแล้วกลัวฉะนั้น; ส่วนมรณะอันชนทั้งหลายใดเจริญแล้ว
ชนทั้งหลายนั้น ย่อมไม่สะดุ้งในกาลที่สุด ดุจบุรุษเห็นอสรพิษแต่ไกล
เทียว แล้วก็เอาท่อนไม้เขี่ยทิ้งไปยืนอยู่ฉะนั้น; เพราะฉะนั้นมรณสติอัน
ท่านทั้งหลายพึงเจริญ. "

พระศาสดาเสด็จประทานโอวาทธิดาช่างหูก


พวกชนที่เหลือฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้เป็นผู้ขวนขวายใน
กิจของตนอย่างเดียว. ส่วนธิดาของนายช่างหูกอายุ 16 ปีคนหนึ่ง คิดว่า
" โอ ธรรมดาถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอัศจรรย์, เราเจริญมรณสติ

จึงควร " ดังนี้แล้ว ก็เจริญมรณสติอย่างเดียวตลอดทั้งกลางวันกลางคืน.
ฝ่ายพระศาสดาเสด็จออกจากเมืองอาฬวีแล้ว ก็ได้เสด็จไปพระเชตวัน.
นางกุมาริกาแม้นั้น ก็เจริญมรณสติสิ้น 3 ปีทีเดียว. ต่อมาวันหนึ่ง พระ-
ศาสดาทรงตรวจดูโลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นนางกุมาริกานั้น เข้าไป
ในภายในข่าย คือพระญาติของพระองค์ ทรงใคร่ครวญว่า " เหตุอะไร
หนอ ? จักมี " ทรงทราบว่า นางกุมาริกานี้เจริญมรณสติแล้วสิ้น 3 ปี
ตั้งแต่วันที่ฟังธรรมเทศนาของเรา. บัดนี้ เราไปในที่นั้นแล้ว ถามปัญหา
4 ข้อกะนางกุมาริกานี้ เมื่อนางเเก้ปัญหาอยู่ จักให้สธุการในฐานะ 4
แล้วภาษิตคาถานี้. ในเวลาจบคาถา นางกุมาริกานั้น จักตั้งอยู่ในโสดา-
ปัตติผล, เพราะอาศัยนางกุมาริกานั้น เทศนาจักมีประโยชน์แม้แก่มหาชน
ดังนี้แล้ว มีภิกษุประมาณ 500 รูปเป็นบริวาร ได้เสด็จออกจากพระ-
เชตวัน ไปสู่อัคคาฬววิหารโดยลำดับ. ชาวเมืองอาฬวีทราบว่า " พระ-
ศาสดาเสด็จมาแล้ว " จึงไปวิหาร ทูลนิมนต์แล้ว. แม้นางกุมาริกานั้น ทราบ
การเสด็จมาของพระศาสดา มีใจยินดีว่า " ข่าวว่า พระมหาโคดมพุทธเจ้า
ผู้พระบิดา ผู้เป็นใหญ่ เป็นพระอาจารย์ ผู้มีพระพักตร์ดังพระจันทร์เพ็ญ
ของเราเสด็จมาแล้ว " จึงคิดว่า " พระศาสดา ผู้มีวรรณะดังทองคำ อัน
เราเคยเห็น ในที่สุด 3 ปี แต่วันนี้. บัดนี้ เราจักได้เห็นพระสรีระซึ่งมี
วรรณะดังทองคำ และฟังธรรมอันเป็นโอวาท ซึ่งโอชะอันไพเราะ
(จับใจ) ของพระศาสดานั้น. "
ฝ่ายบิดาของนาง เมื่อจะไปสู่โรงหูก ได้สั่งไว้ว่า " แม่ ผ้าสาฎก
ซึ่งเป็นของคนอื่น เรายกขึ้นไว้ (กำลังทอ), ผ้านั้นประมาณคืบหนึ่ง ยัง

ไม่สำเร็จ; เราจะให้ผ้านั้นเสร็จในวันนี้. เจ้ากรอด้ายหลอดแล้ว พึงนำ
มาให้แก่พ่อโดยเร็ว. " นางกุมาริกานั้นคิดว่า " เราใคร่จะฟังธรรมของ
พระศาสดา ก็บิดาสั่งเราไว้อย่างนี้; เราจะฟังธรรมของพระศาสดาหรือ
หนอแล หรือจะกรอด้ายหลอดแล้วนำไปให้แก่บิดา ? " ครั้งนั้น นาง
กุมาริกานั้น ได้มีความปริวิตกอย่างนั้นว่า " เมื่อเราไม่นำด้ายหลอดไปให้
บิดาพึงโบยเราบ้าง พึงตีเราบ้าง. เพราะฉะนั้น เรากรอด้ายหลอดให้เเก่
ท่านแล้ว จึงจักฟังธรรมในภายหลัง " ดังนี้แล้ว จึงนั่งกรอด้ายหลอดอยู่
บนตั่ง แม้พวกชาวเมืองอาฬวีอังคาสพระศาสดาแล้ว ได้รับบาตร ยืนอยู่
เพื่อต้องการอนุโมทนา. พระศาสดาประทับนั่งแล้ว ด้วยทรงดำริว่า " เรา
อาศัยกุลธิดาใดมาแล้วสิ้นทาง 30 โยชน์, กุลธิดานั้น ไม่มีโอกาสแม้ใน
วันนี้. เมื่อกุลธิดานั้นได้โอกาสเราจักทำอนุโมทนา. " ก็ใครๆในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก ย่อมไม่อาจเพื่อจะทูลอะไร ๆ กะพระศาสดา ผู้ทรงนิ่ง
อย่างนั้นได้. แม้นางกุมาริกานั้นแล กรอด้ายหลอดแล้วใส่ในกระเช้า
เดินไปสู่สำนักของบิดา ถึงที่สุดของบริษัทแล้ว ก็ได้เดินแลดูพระศาสดา
ไป. แม้พระศาสดา ก็ทรงชะเง้อ1ทอดพระเนตรนางกุมาริกานั้น. ถึงนาง
กุมาริกานั้นก็ได้ทราบแล้ว โดยอาการที่พระศาสดาทอดพระเนตรเหมือน
กันว่า " พระศาสดา ประทับนั่งอยู่ในท่ามกลางบริษัทเห็นปานนั้น ทอด
พระเนตรเราอยู่ ย่อมทรงหวังการมาของเรา ย่อมทรงหวังการมาสู่สำนัก
ของพระองค์ทีเดียว. " นางวางกระเช้าด้ายหลอด แล้วได้ไปยังสำนักของ
พระศาสดา.
1. คีวํ อุกฺขิปิตฺวา.

ถามว่า " ก็เพราะเหตุอะไร ? พระศาสดา จึงทอดพระเนตรนาง
กุมาริกานั้น."
แก้ว่า " ได้ยินว่า พระองค์ได้ทรงปริวิตกอย่างนี้ว่า " นางกุมาริกา
นั้น เมื่อไปจากที่นี้ ทำกาลกิริยาอย่างปุถุชนแล้ว จักเป็นผู้มีคติไม่แน่นอน.
แต่มาสู่สำนักของเราแล้วไปอยู่ บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว จักเป็นผู้มีคติ
แน่นอน เกิดในดุสิตวิมาน." นัยว่า ในวันนั้น ชื่อว่าความพ้นจากความ
ตายไม่มีแก่นางกุมาริกานั้น.
นางกุมาริกานั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ด้วยเครื่องหมายอันพระศาสดา
ทอดพระเนตรนั่นแล เข้าไปสู่ระหว่างแห่งรัศมี มีพรรณะ 6 ถวายบังคม
แล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.

พระศาสดาตรัสถามปัญหากะธิดาช่างหูก


ในขณะที่นางกุมาริกานั้น ถวายบังคมพระศาสดาผู้ประทับนั่งนิ่งใน
ท่ามกลางบริษัทเห็นปานนั้นแล้ว ยืนอยู่นั่นแล พระศาสดาตรัสกะนางว่า
" กุมาริกา เธอมาจากไหน ? "
กุมาริกา. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอจักไปที่ไหน ?
กุมาริกา. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอไม่ทราบหรือ ?
กุมาริกา. ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอทราบหรือ ?
กุมาริกา. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.

พระศาสดาตรัสถามปัญหา 4 ข้อกะนางกุมาริกานั้น ด้วยประการ
ฉะนี้.
มหาชนโพนทะนาว่า " ผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู, ธิดา
ของช่างหูกนี้ พูดคำอันตนปรารถนาแล้ว ๆ กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า;
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ' เธอมาจากไหน ? ' ธิดาของช่างหูกนี้
ควรพูดว่า ' จากเรือนของช่างหูก, ' เมื่อตรัสว่า ' เธอ จะไปไหน ? '
ก็ควรกล่าวว่า ' ไปโรงของช่างหูก ' มิใช่หรือ ?. พระศาสดาทรงกระทำ
มหาชนให้เงียบเสียงแล้ว ตรัสถามว่า ' กุมาริกา เธอ เมื่อเรากล่าวว่า
' มาจากไหน ? ' เพราะเหตุไรเธอจึงตอบว่า ่ ไม่ทราบ '
กุมาริกา. " พระเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบความที่หม่อมฉันมา
จากเรือนช่างหูก. แต่พระองค์เมื่อตรัสถามว่า ' เธอมาจากไหน ? ' ย่อม
ตรัสถามว่า 'เธอมาจากที่ไหน จึงเกิดแล้วในที่นี้ ? ' แต่หม่อมฉัน
ย่อมไม่ทราบว่า ' ก็เรามาแล้วจากไหน จึงเกิดในที่นี้ ? '
ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการเป็นครั้งแรกแก่นางกุมาริกา
นั้นว่า " ดีละ ดีละ กุมาริกา ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล อันเธอแก้
ได้แล้ว " แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไปว่า " เธอ อันเราถามแล้วว่า ' เธอ
จะไป ณ ที่ไหน ? ่ เพราะเหตุไร จึงกล่าวว่า ' ไม่ทราบ ? '
กุมาริกา. " พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบหม่อมฉันผู้ถือกระเช้า
ด้ายหลอดเดินไปยังโรงของช่างหูก, พระองค์ย่อมตรัสถามว่า ' ก็เธอไป
จากโลกนี้แล้ว จักเกิดในที่ไหน ?' ก็หม่อมฉันจุติจากโลกนี้แล้วย่อม
ไม่ทราบว่า 'จักไปเกิดในที่ไหน ? "

ลำดับนั้น พระศาสดา ประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ 2 ว่า
" ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว " แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไป
ว่า " เมื่อเช่นนั้น. เธอ อันเราถามว่า ' ไม่ทราบหรือ ? ;' เพราะเหตุไร
จึงกล่าวว่า 'ทราบ? "
กุมาริกา. พระเจ้าข้า หม่อมฉันย่อมทราบภาวะคือความตายของ
หม่อมฉันเท่านั้น, เหตุนั้น จึงกราบทูลอย่างนั้น.
ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ 3 ว่า
" ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว " แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไป
ว่า " เมื่อเป็นเช่นนั้น, เธอ อันเราถามว่า ' เธอย่อมทราบหรือ ?' เพราะ
เหตุไร จึงพูดว่า 'ไม่ทราบ ? '
กุมาริกา. หม่อมฉันย่อมทราบแต่ภาวะคือความตายของหม่อมฉัน
เท่านั้น พระเจ้าข้า แต่ย่อมไม่ทราบว่า จักตายในเวลากลางคืน กลางวัน
หรือเวลาเช้าเป็นต้น ในกาลชื่อโน้น เพราะเหตุนั้น จึงพูดอย่างนั้น. "

คนมีปัญญาชื่อว่ามีจักษุ


ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการครั้งที่ 4 แก่นางว่า " ปัญหา
อันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว " แล้วตรัสเตือนบริษัทว่า
พวกท่านย่อมไม่ทราบถ้อยคำชื่อมีประมาณเท่านี้ ที่นางกุมาริกานี้กล่าว
แล้ว, ย่อมโพนทะนาอย่างเดียวเท่านั้น; เพราะจักษุ คือปัญญาของชน
เหล่าใดไม่มี. ชนเหล่านั้นเป็น (ดุจ) คนบอดทีเดียว; จักษุคือปัญญา
ของชนเหล่าใดมีอยู่. ชนเหล่านั้นนั่นแล เป็นผู้มีจักษุ " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า :-