เมนู

ทำที่พึ่งแก่ตนเองแล จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เพราะบุคคลอาศัยคน
อื่น ไม่สามารถเพื่อจะมีสวรรค์หรือมรรคเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้, ฉะนั้น
ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน, คนอื่นจะทำอะไรได้ " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า:-
4. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.
" ตนแลเป็นที่พึ่งของตน. บุคคลอื่นใครเล่า พึง
เป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคล มีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้
พึ่ง ที่บุคคลได้โดยยาก. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโถ คือเป็นที่พำนัก พระผู้มีพระภาค-
เจ้า ตรัสคำนี้ไว้ว่า " บุคคลตั้งอยู่ในตน คือสมบูรณ์แล้วด้วยตน สามารถ
จะทำกุศลแล้วถึงสวรรค์ หรือเพื่อยังมรรคให้เจริญ หรือทำให้แจ้งซึ่งผล
ได้, เพราะเหตุนั้นแหละ ตนแลพึงเป็นที่พึ่งของตน. คนอื่นใครเล่า ?
พึงเป็นที่พึ่งของใครได้. เพราะบุคคลมีตนฝึกดีแล้ว คือมีความเสพผิด
ออกแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งบุคคลได้โดยยากกล่าวคือพระอรหัตผล. ก็คำว่า
" นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ " นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพระอรหัต.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ จบ.

5. เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล [131]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกผู้
โสดาบันคนหนึ่งชื่อมหากาล ตรัสพระธรรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตนา หิ
กตํ ปาปํ "
เป็นต้น.

มหากาลถูกหาว่าเป็นโจรเลยถูกทุบตาย


ได้ยินว่า มหากาลนั้นเป็นผู้รักษาอุโบสถ 8 วันต่อเดือน (เดือน
ละ 8 วัน) ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่งในวิหาร. ครั้งนั้นพวกโจรตัด
ที่ต่อในเรือนหลังหนึ่งในเวลากลางคืน ถือเอาห่อภัณฑะไป ถูกพวก
เจ้าของตื่นขึ้น เพราะเสียงภาชนะโลหะ (กระทบกัน) ติดตามแล้ว ทิ้งสิ่ง
ของที่ตนถือไว้แล้วก็หลบหนีไป.
ฝ่ายพวกเจ้าของ ติดตามโจรเหล่านั้นเรื่อยไป. พวกโจรเหล่านั้น
กระจัดกระจายหนีกันไปทั่วทิศ. ส่วนโจรคนหนึ่ง ถือเอาทางที่ไปยังวิหาร
ทิ้งห่อภัณฑะไว้ข้างหน้ามหากาล ผู้ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่ง ล้างหน้า
อยู่ริมสระโบกขรณีแต่เช้าตรู่แล้ว หลบหนีไป.
พวกมนุษย์ติดตามหมู่โจรมา พบห่อภัณฑะแล้ว จึงจับมหากาลนั้น
ไว้ ด้วยกล่าวว่า " แกตัดที่ต่อในเรือนของพวกฉัน ลักห่อภัณฑะไปแล้ว
เที่ยวเดินเหมือนฟังธรรมอยู่ " ได้ทุบให้ตายแล้วก็ทิ้งไว้เลยไป.

มหากาลตายสมแก่บุรพกรรม


ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายถือหม้อน้ำดื่มไปแต่เช้าตรู่
พบมหากาลนั้น กล่าวว่า " อุบาสกฟังธรรมกถาอยู่ในวิหาร ได้มรณะ
ไม่สมควร " ดังนี้แล้ว จึงได้กราบทูลแด่พระศาสดา.

พระศาสดา ตรัสว่า " อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย นายกาล1 ได้มรณะไม่
สมควรในอัตภาพนี้, แต่เขาได้มรณะสมควรแก่กรรมที่ทำไว้แล้วในกาล
ก่อนนั่นแล " อันภิกษุหนุ่มและสามเณรเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงตรัส
บุรพกรรมของมหากาลนั้นว่า:-

บุรพกรรมของมหากาล


ดังได้สดับมา ในอดีตกาลพวกโจรซุ่มอยู่ที่ปากดงแห่งปัจจันตคาม2
แห่งหนึ่ง ในแคว้นของพระเจ้าพาราณสี. พระราชาทรงตั้งราชภัฏคน3
หนึ่งไว้ที่ปากดง. ราชภัฏนั้นรับค่าจ้างแล้ว ก็นำคนไปจากฟากข้างนี้ สู่
ฟากข้างโน้น. นำคนจากฟากข้างโน้นมาสู่ฟากข้างนี้.
ต่อมนุษย์คนหนึ่ง พาภริยารูปสวยของตนขึ้นสู่ยานน้อยแล้ว ได้
ไปถึงที่นั้น. ราชภัฏพอเห็นหญิงนั้น ก็เกิดสิเนหา เมื่อมนุษย์นั้น
แม้กล่าวว่า " นาย ขอท่านจงช่วยกระผมทั้งสองให้ผ่านพ้นดงเถิด. " ก็ตอบ
ว่า " บัดนี้ ค่ำมืดเสียแล้ว. เช้าตรู่เถอะ เราจักช่วยให้ท่านพ้นไป. "
มนุษย์. นาย ยังมีเวลา, ขอโปรดนำกระผมทั้งสอง ไปเดี๋ยวนี้เถอะ.
ราชภัฏ. กลับเถิดท่านผู้เจริญ อาหารและที่พักอาศัยจักมีในเรือน
ของเราทีเดียว.
มนุษย์นั้นไม่ปรารถนากลับเลย. ฝ่ายราชภัฏนอกนี้ ให้สัญญาแก่
พวกบุรุษ ยังยานน้อยให้กลับแล้ว ให้ที่พักอาศัยที่ซุ้มประตู ให้ตระเตรียม
อาหารแก่เขาผู้ไม่ปรารถนาเลย. ก็ในเรือนราชภัฏนั้นมีเเก้วมณีดวงหนึ่ง.
เขาให้เอาแก้วมณีนั้นซ่อนไว้ในซอกแห่งยานน้อย ของมนุษย์ผู้นั้นแล้ว
ในเวลาจวนรุ่ง ให้ทำเสียงเป็นพวกโจรเข้าไป (บ้าน).
1. น่ามีมหาด้วย. 2. บ้านตั้งอยู่ริมเขตแดน. 3. คนอันพระราชาชุบเลี้ยง ได้แก่ข้าราชการ

ลำดับนั้น พวกบุรุษแจ้งแก่เขาว่า " นาย แก้วมณีถูกพวกโจรลัก
เอาไปแล้ว. " เขาสั่งว่า " พวกเจ้าจงตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูบ้านทั้งหลาย
ตรวจค้นคนผู้ออกไปจากภายในบ้าน. " ฝ่ายมนุษย์นอกนี้ จัดยานน้อย
เสร็จแล้วก็ขับไปแต่เช้าตรู่. ทีนั้น พวกคนใช้ของราชภัฏ จึงค้นยานน้อย
ของมนุษย์นั้น พบแก้วมณีที่ตนซ่อนไว้จึงขู่พูดว่า " เจ้าลักเอาแก้วมณี
หนีไป " ดังนี้แล้ว ก็โบย แสดงแก่นายบ้านว่า " นาย พวกผมจับตัว
ได้เเล้ว." เขาพูดว่า " ตัวเราเป็นถึงนายราชภัฏ ให้พักอาศัยในเรือน
ให้ภัตแล้ว. มันยังลักแก้วมณีไปได้. พวกเจ้าจงจับอ้ายบุรุษชั่วช้านั้น "
ดังนี้แล้ว ให้ช่วยกันทุบตายแล้วให้ทิ้งเสีย. นี้เป็นบุรพกรรมของมหากาล
นั้น. ราชภัฏนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในอเวจี ไหม้อยู่ในอเวจี
นั้นสิ้นกาลนาน ถูกทุบถึงความตายอย่างนั้นแล ใน 100 อัตภาพ เพราะ
วิบากที่ยังเหลืออยู่.

บาปย่อมย่ำยีผู้ทำ


พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุรพกรรมของมหากาลอย่างนั้นแล้ว
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมอันตนทำไว้นั่นแล ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านี้
ในอบาย 4 อย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
5. อตฺตนา กตํ ปาปํ อตฺตชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ วชิรํวมฺหยํ มณึ.
" บาป อันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็น
แดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชร
ย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉะนั้น. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า วชิรํวมฺหยํ มณึ ความว่า
เปรียบดังเพชร (ย่ำยี) แก้วมณีที่เกิดแต่หิน. ท่านอธิบายคำนี้ไว้ว่า
" เพชรอันสำเร็จจากหิน มีหินเป็นแดนเกิด กัดแก้วมณีที่เกิดแต่หิน
คือแก้วมณีอันสำเร็จแต่หิน ซึ่งนับว่าเป็นที่ตั้งขึ้นของตนนั้นนั่นแล คือ
ทำให้เป็นช่องน้อยช่องใหญ่ ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ทำให้ใช้สอยไม่
ได้ ฉันใด; บาปอันตนทำไว้เเล้ว เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อม
ย่ำยี คือขจัดบุคคลผู้มีปัญญาทราม คือผู้ไร้ปัญญา ในอบาย 4 ฉันนั้น
เหมือนกัน ."
ในกาลจบเทศนา ภิกษุที่มาประชุมบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล จบ.

6. เรื่องพระเทวทัต [132]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ " เป็นต้น.

สนทนาเรื่องลามกของพระเทวทัต


ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง พวกภิกษุ สนทนากันในโรงธรรมว่า
" ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก เกลี้ยกล่อม
พระเจ้าอชาตศัตรู ยังลาภสักการะเป็นอันมากให้เกิดขึ้น ชักชวนพระเจ้า
อชาตศัตรู ในการฆ่าพระราชบิดา เป็นผู้ร่วมคิดกับพระเจ้าอชาตศัตรูนั้น
ตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระตถาคตเจ้าด้วยประการต่าง ๆ เพราะตัณหา
อันเจริญขึ้นแล้ว ด้วยเหตุคือความเป็นผู้ทุศีลนั่นเอง. "
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่ง
สนทนากันด้วยกถาอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " ด้วย
กถาชื่อนี้, " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น. ถึงใน
กาลก่อน เทวทัตก็ตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเราด้วยประการต่าง ๆ เหมือน
กัน " ดังนี้แล้ว จึงตรัสชาดกทั้งหลาย มีกุรุงคชาดกเป็นต้น แล้วตรัส
ว่า " ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาอันเกิดขึ้นเพราะเหตุคือเป็นผู้ทุศีลหุ้มห่อ
รวบรัดซัดซึ่งบุคคลผู้ทุศีลล่วงส่วน ไปในอบายทั้งหลายมีนรกเป็นต้น
เหมือนเถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละจนหักรานลงฉะนั้น " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า :-

6. ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺย. มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ
กโรติ โส ตถตฺตานํ ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโส.
" ความเป็นผู้ทุศีลล่วงส่วน รวบรัด (อัตภาพ)
ของบุคคลใด ดุจเถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละ ฉะนั้น,
บุคคลนั้น ย่อมทำตนอย่างเดียวกันกับที่โจรหัวโจก
ปรารถนาทำให้ตนฉะนั้น. "

แก้อรรถ


ความเป็นผู้ทุศีลโดยส่วนเดียว ชื่อว่า อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ ในพระคาถา
นั้น. บุคคลผู้เป็นคฤหัสถ์ ทำอกุศลกรรมบถ 10 ตั้งแต่เกิดก็ดี. ผู้เป็น
บรรพชิต ต้องครุกาบัติ1 ตั้งแต่วันอุปสมบทก็ดี ชื่อว่า ผู้ทุศีลล่วงส่วน.
แต่บทว่า อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในพระคาถา
นี้ ทรงหมายเอาความเป็นผู้ทุศีลอันมาแล้วตามคติของบุคคลผู้ทุศีลใน
2 - 3 อัตภาพ.
อนึ่ง ตัณหาอันอาศัยทวาร 6 ของผู้ทุศีลเกิดขึ้น บัณฑิตพึงทราบว่า
" ความเป็นผู้ทุศีล " ในพระคาถานี้.
บาทพระคาถาว่า มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ ความว่า ความเป็นผู้ทุศีล
กล่าวคือตัณหา รวบรัด คือหุ้มห่ออัตภาพของบุคคลใดตั้งอยู่. เหมือน
เถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละ. คือปกคลุมทั่วทั้งหมดทีเดียว ด้วยสามารถรับ
น้ำด้วยใบในเมื่อฝนตก แล้วหักรานลงฉะนั้นแล. บุคคลนั้นคือผู้ถูกตัณหา
กล่าวคือความเป็นผู้ทุศีลนั้นหักราน ให้ตกไปในอบายทั้งหลาย เหมือน
1. แปลว่า อาบัติหนัก ได้แก่ ปราชิก และสังฆาทิเสส.

ต้นไม้ถูกเถาย่านทรายหักราน ให้โค่นลงเหนือแผ่นดินฉะนั้น. ชื่อว่า
ย่อมทำตนอย่างเดียวกันกับที่โจรหัวโจกผู้ใคร่ความพินาศปรารถนาทำให้
ฉะนั้น.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเทวทัต จบ.

7. เรื่องกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ [133]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวันทรงปรารภการกระเสือก
กระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุกรานิ " เป็นต้น.

พระเทวทัตพยายามทำลายสงฆ์


ความพิสดารว่า พระเทวทัตกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ วัน
หนึ่ง เห็นท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ บอกความประสงค์ของ
ตนแล้ว. พระเถระฟังข่าวนั้นแล้วไปสู่สำนักของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " พระเจ้าข้า เวลาเช้า ข้าพระองค์ครองสบงที่
เวฬุวันนี้แล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต. พระเจ้าข้า
พระเทวทัตได้เห็นข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์แล้วแลตาม
เข้าไปหาข้าพระองค์ ได้กล่าวคำนี้ว่า 'อาวุโส อานนท์ จำเดิมแต่วันนี้
ฉันจักทำอุโบสถและสังฆกรรมแยกจากพระผู้มีพระภาคเจ้า แยกจากภิกษุ
สงฆ์; ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า วันนี้ พระเทวทัตจักทำลายสงฆ์. คือ
จักทำอุโบสถและสังฆกรรม. "

ความดีคนทำง่าย


เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาทรงเปล่ง
พระอุทานว่า:-
" ความดีคนดีทำง่าย, ความดีคนชั่วทำยาก, ความ
คนชั่วทำง่าย, ความชั่วอริยบุคคลทำได้ยาก "

แล้วตรัสว่า " อานนท์ ขึ้นชื่อว่ากรรมอัน ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน
ทำได้ง่าย. กรรมอันเป็นประโยชน์แก่ตนทำยากนักหนา " แล้วตรัสพระ-
คาถานี้ว่า:-
7. สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ
ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ.
" กรรมอันไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน คน
ทำง่าย; กรรมใดแลเป็นประโยชน์แก่ตนและดี,
กรรมนั้นแลทำยากอย่างยิ่ง."

แก้อรรถ


ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
" กรรมเหล่าใดไม่ดี คือมีโทษและเป็นไปเพื่ออบาย ชื่อว่าไม่เป็น
ประโยชน์แก่คนเพราะทำนั่นแล กรรมเหล่านั้นทำง่าย. ฝ่ายกรรมใดชื่อ
ว่าเป็นประโยชน์แก่ตนเพราะทำ และชื่อว่าดี ด้วยอรรถว่าหาโทษมิได้คือ
เป็นไปเพื่อสุคติ และเป็นไปเพื่อพระนิพพาน. กรรมนั้นทำแสนยาก
ราวกับทดน้ำแม่คงคาอันไหลไปทิศตะวันออก ทำให้ไหลกลับฉะนั้น. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากได้บรรลุโลกุตรผล มีโสดาปัตติ-
ผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องกระเสือกกระสนเพื่อจะทำลายสงฆ์ จบ.

8. เรื่องพระกาลเถระ [134]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระกาลเถระ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย สาสนํ " เป็นต้น.

พระเถระไม่ให้อุปัฏฐายิกาไปฟังธรรม


ดังได้ยินมา หญิงคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ตั้งอยู่ในที่แห่งมารดา
ทำนุบำรุงพระเถระนั้นอยู่. พวกคนในเรือนแห่งผู้คุ้นเคยของหญิงนั้น
ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้ว กลับมาเรือนแล้ว สรรเสริญอยู่ว่า
" โอ ชื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอัศจรรย์. โอ พระธรรมเทศนาก็
ไพเราะ. " หญิงนั้น ฟังถ้อยคำของคนพวกนั้นแล้ว จึงบอกแก่พระกาละ
ว่า " ท่านเจ้าข้า ดิฉันอยากจะฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาบ้าง. " เธอ
ห้ามเขาว่า " อย่าไปที่นั่นเลย." หญิงนั้นในวันรุ่งขึ้นก็ขออีก แม้อัน
พระกาละนั้นห้ามอยู่ถึง 3 ครั้งก็ยังอยากจะฟังอยู่นั้นแล. มีคำถามสอดเข้า
มาว่า " ก็เหตุไฉน ? เธอจึงได้ห้ามเขาเสีย." แก้ว่า " ได้ยินว่า เธอ
ได้มีความเห็นเช่นนี้ว่า " อุบาสิกานี้ ได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาแล้ว
จักแตกจากเรา " เหตุนั้น เธอจึงได้ห้ามเขาเสีย.
วันหนึ่ง หญิงนั้นบริโภคอาหารเสร็จสมาทานอุโบสถแล้ว สั่งบุตรี
ไว้ว่า " แม่ จงอังคาสพระผู้เป็นเจ้าให้ดี " แล้วได้ไปวิหารแต่เช้าเทียว.
ฝ่ายบุตรีของเขาก็อังคาสพระกาละโดยเรียบร้อย ในกาลเธอมาถึง เธอ
ถามว่า " อุบาสิกาผู้ใหญ่ไปไหน ? " (นาง) ตอบว่า " ไปวิหารเพื่อฟัง
ธรรม. " เธอพอได้ฟังข่าวนั้น ทุรนทุรายอยู่เพราะความกลัดกลุ้มอันตั้ง
ขึ้นในท้อง (ควรจะเป็น อนฺโต ในภายใน) นึกว่า " เดี๋ยวนี้ อุบาสิกา