เมนู

กล่าวว่า " พวกเธอ จงให้นางนั้นสึกเสีย. " นางภิกษุณีสาวนั้น ฟังคำนั้น
แล้ว กล่าวว่า " แม่เจ้า ขอแม่เจ้าทั้งหลาย อย่าให้ดิฉันฉิบหายเสียเลย.
ดิฉันมิได้บวชเจาะจงพระเทวทัต, แม่เจ้าทั้งหลาย จงมาเถิด จงนำดิฉัน
ไปสู่พระเชตวัน ซึ่งเป็นสำนักของพระศาสดา. " นางภิกษุณีเหล่านั้นพา
นางไปสู่พระเชตวัน กราบทูลแด่พระศาสดาแล้ว.

พระกุมารกัสสปเกิด


พระศาสดา แม้ทรงทราบอยู่ว่า " ครรภ์ตั้งขึ้นแล้ว ในเวลานาง
เป็นคฤหัสถ์ " เพื่อจะเปลื้องเสียซึ่งถ้อยคำของชนอื่น จึงรับสั่งให้เชิญ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านมหาอนาถบิณฑิกะ ท่านจุลอนาถบิณฑิกะ
นางวิสาขาอุบาสิกา และสกุลใหญ่อื่นๆ มาแล้ว ทรงบังคับพระอุบาลี
เถระว่า " เธอจงไป. จงชำระกรรมของภิกษุณีสาวนี้ให้หมดจด ในท่าม
กลางบริษัท 4. " พระเถระให้เชิญนางวิสาขามา ตรงพระพักตร์พระ-
ราชาแล้ว ให้สอบสวนอธิกรณ์นั้น. นางวิสาขานั้นให้คนล้อมเครื่องล้อม
คือม่าน ตรวจดูมือ เท้า สะดือ และที่สุดแห่งท้องของนางภิกษุณีนั้น
ภายในม่าน แล้วนับเดือนและวันดู ทราบว่า " นางได้มีครรภ์ในเวลาเป็น
คฤหัสถ์ " จึงบอกความนั้นแก่พระเถระ. ครั้งนั้น พระเถระยังความที่นาง
เป็นผู้บริสุทธิ์ ให้กลับตั้งขึ้นในท่ามกลางบริษัทแล้ว. โดยสมัยอื่น นาง
คลอดบุตรมีอานุภาพมาก ซึ่งมีความปรารถนาตั้งไว้ แทบบาทมูลของ
พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ.

มีกุมารนำหน้าเพราะพระราชาทรงเลี้ยง


ภายหลังวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไป ณ ที่ใกล้สำนักของนางภิกษุณี
ทรงสดับเสียงทารก จึงตรัสถามว่า " นี้เสียงอะไร ? " เมื่ออำมาตย์กราบ

ทูลว่า " พระเจ้าข้า บุตรของนางภิกษุณีนั่นเกิดแล้ว, นั่นเป็นเสียงของ
บุตรนางภิกษุณีนั้น. " ทรงนำกุมารนั้นไปสู่พระราชมนเฑียรของพระองค์
ได้ประทานให้แก่แม่นมทั้งหลาย. ก็ในวันตั้งชื่อ ชนทั้งหลายตั้งชื่อกุมาร
นั้นว่า " กัสสป " เพราะความที่กุมารนั้น เป็นผู้อันพระราชาทรงให้
เจริญแล้วด้วย เครื่องบริหารของพระกุมาร จึงรู้กันว่า " กุมารกัสสป." กุมาร
นั้นทุบตีเด็กในสนามกีฬาแล้ว. เมื่อพวกเด็กกล่าวว่า " พวกเราถูกคนไม่
มีแม่ไม่มีพ่อทุบตีแล้ว." จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลถามว่า " ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นสมมติเทพ พวกเด็กย่อมว่าหม่อมฉันว่า " ไม่มีมารดาและ
บิดา ขอพระองค์จงตรัสบอกมารดาแก่หม่อมฉัน. " เมื่อพระราชา
ทรงแสดงหญิงแม่นมทั้งหลาย ตรัสว่า " หญิงเหล่านี้เป็นมารดาของเจ้า."
จึงกราบทูลว่า " มารดาของหม่อมฉันไม่มีเท่านี้. อันมารดาของหม่อมฉัน
พึงมีคนเดียว, ขอพระองค์ตรัสบอกมารดานั้น แก่หม่อมฉันเถิด. "
พระราชาทรงดำริว่า " เราไม่อาจลวงกุมารนี้ได้ " จึงตรัสว่า " พ่อ
มารดาของเจ้าเป็นภิกษุณี เจ้า อันเรานำมาแต่สำนักนางภิกษุณี."

กุมารกัสสปออกบวชบรรลุพระอรหัต


กุมารนั้น มีความสังเวชเกิดขึ้นพร้อมแล้ว ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น
นั่นแหละ กราบทูลว่า " ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้หม่อมฉัน
บวชเถิด " พระราชาทรงรับว่า " ดีละ พ่อ " แล้วยังกุมารนั้นให้บวชใน
สำนักของพระศาสดา ด้วยสักการะเป็นอันมาก.
กุมารกัสสปนั้นได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่า " พระกุมารกัสสป-
เถระ. " ท่านเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา เข้าไปสู่ป่าพยายามแล้ว
ไม่สามารถจะให้คุณวิเศษบังเกิดได้ จึงคิดว่า " เราจะเรียนกัมมัฏฐานให้

วิเศษอีก " มาสู่สำนักของพระศาสดา อยู่ในป่าอันธวันแล้ว. ครั้งนั้นภิกษุ
ผู้ทำสมณธรรมร่วมกัน ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า บรรลุอนาคามิผล
แล้ว บังเกิดในพรหมโลก มาจากพรหมโลกถามปัญหา 15 ข้อ กะพระ-
กุมารกัสสปนั้นแล้ว ส่งไปด้วยคำว่า " คนอื่นยกพระศาสดาเสีย ที่สามารถ
เพื่อจะพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ไม่มี. ท่านจงไป จงเรียนเนื้อความของ
ปัญหาเหล่านั้นในสำนักของพระศาสดาเถิด. " ท่านทำเหมือนอย่างนั้น
บรรลุพระอรหัตผลในเวลาที่พระศาสดาทรงแก้ปัญหาจบ.

มารดาพระกุมารกัสสปบรรลุพระอรหัต


ก็ตั้งแต่วันที่พระเถระนั้นออกไปแล้ว น้ำตาไหลออกจากนัยน์ตาทั้ง
สองของนางภิกษุณีผู้เป็นมารดาตลอด 12 ปี. นางมีทุกข์เพราะพลัดพราก
จากบุตร มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตาทีเดียว เที่ยวไปเพื่อภิกษา พอเห็น
พระเถระในระหว่างแห่งถนน จึงร้องว่า " ลูก ลูก " วิ่งเข้าไปเพื่อจะจับ
พระเถระ ซวนล้มลงแล้ว. นางมีถันหลั่งน้ำนมอยู่ ลุกขึ้น มีจีวรเปียก ไป
จับพระเถระแล้ว พระเถระคิดว่า " ถ้ามารดานี้จักได้ถ้อยคำอันไพเราะจาก
สำนักของเรา. นางจักฉิบหายเสีย; เราจักเจรจากับมารดานี้ ทำให้กระด้าง
เทียว. " ทีนั้น พระเถระกล่าวกะนางภิกษุณีผู้เป็นมารดานั้นว่า " ท่าน
เที่ยวทำอะไรอยู่ ? จึงไม่อาจตัดแม้มาตรว่าความรักได้. " นางคิดว่า " โอ
ถ้อยคำของพระเถระหยาบคาย, " จึงกล่าวว่า " พ่อ พ่อพูดอะไร ? " ถูก
พระเถระว่าเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละอีก จึงคิดว่า " เราไม่อาจอดกลั้น
น้ำตาไว้ได้สิ้น 12 ปี เพราะเหตุแห่งบุตรนี้. แต่บุตรของเรานี้ มีหัวใจ
กระด้าง ประโยชน์อะไรของเราด้วยบุตรนี้ " ตัดความเสน่หาในบุตร
แล้ว บรรลุพระอรหัตผลในวันนั้นนั่นเอง.

พวกภิกษุพากันสรรเสริญพระพุทธคุณ


โดยสมัยอื่น ภิกษุทั้งหลายสนทนากัน ในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย พระกุมารกัสสปและพระเถรี ผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยอย่างนี้ ถูก
พระเทวทัตให้ฉิบหายแล้ว. ส่วนพระศาสดาเกิดเป็นที่พึ่งของท่านทั้งสอง
นั้น; โอ ! น่าอัศจรรย์ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้
อนุเคราะห์โลก. "
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ
นั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า
" ด้วยเรื่องชื่อนี้ " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นปัจจัย เป็นที่พำนัก
ของคนทั้งสองนี้ ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่. แม้ในกาลก่อน เราก็ได้เป็นที่
พำนักของคนทั้งสองนั้นเหมือนกัน " ดังนี้แล้วจึงตรัสนิโครธชาดก1นี้โดย
พิสดารว่า:-
" เจ้าหรือคนอื่น พึงคบเนื้อชื่อว่านิโครธผู้เดียว
อย่าเข้าไปคบเนื้อชื่อว่าสาขะ; ความตายในสำนัก
ของเนื้อชื่อว่านิโครธประเสริฐกว่า. ความเป็นอยู่ใน
สำนักของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้นจะประเสริฐอะไร."

ทรงประชุมชาดกว่า "เนื้อชื่อว่าสาขะในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต
(ในบัดนี้). เเม้บริษัทของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้น (ก็) เป็นบริษัทของพระ-
เทวทัตนั่นแหละ. แม่เนื้อตัวถึงวาระได้เป็นพระเถรี. บุตรได้เป็นกุมาร-
กัสสป. ส่วนพระยาเนื้อนามว่านิโครธ ผู้ไปสละชีวิตแก่แม่เนื้อตัวมีครรภ์
คือเราเอง, " เมื่อจะทรงประกาศความที่พระเถรีตัดความรักในบุตรแล้ว
1. ขุ. ชา. เอก. 27/5. อรรถกถา. 1/232.

ทำที่พึ่งแก่ตนเองแล จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เพราะบุคคลอาศัยคน
อื่น ไม่สามารถเพื่อจะมีสวรรค์หรือมรรคเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้, ฉะนั้น
ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน, คนอื่นจะทำอะไรได้ " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า:-
4. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.
" ตนแลเป็นที่พึ่งของตน. บุคคลอื่นใครเล่า พึง
เป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคล มีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้
พึ่ง ที่บุคคลได้โดยยาก. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโถ คือเป็นที่พำนัก พระผู้มีพระภาค-
เจ้า ตรัสคำนี้ไว้ว่า " บุคคลตั้งอยู่ในตน คือสมบูรณ์แล้วด้วยตน สามารถ
จะทำกุศลแล้วถึงสวรรค์ หรือเพื่อยังมรรคให้เจริญ หรือทำให้แจ้งซึ่งผล
ได้, เพราะเหตุนั้นแหละ ตนแลพึงเป็นที่พึ่งของตน. คนอื่นใครเล่า ?
พึงเป็นที่พึ่งของใครได้. เพราะบุคคลมีตนฝึกดีแล้ว คือมีความเสพผิด
ออกแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งบุคคลได้โดยยากกล่าวคือพระอรหัตผล. ก็คำว่า
" นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ " นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพระอรหัต.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ จบ.

5. เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล [131]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกผู้
โสดาบันคนหนึ่งชื่อมหากาล ตรัสพระธรรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตนา หิ
กตํ ปาปํ "
เป็นต้น.

มหากาลถูกหาว่าเป็นโจรเลยถูกทุบตาย


ได้ยินว่า มหากาลนั้นเป็นผู้รักษาอุโบสถ 8 วันต่อเดือน (เดือน
ละ 8 วัน) ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่งในวิหาร. ครั้งนั้นพวกโจรตัด
ที่ต่อในเรือนหลังหนึ่งในเวลากลางคืน ถือเอาห่อภัณฑะไป ถูกพวก
เจ้าของตื่นขึ้น เพราะเสียงภาชนะโลหะ (กระทบกัน) ติดตามแล้ว ทิ้งสิ่ง
ของที่ตนถือไว้แล้วก็หลบหนีไป.
ฝ่ายพวกเจ้าของ ติดตามโจรเหล่านั้นเรื่อยไป. พวกโจรเหล่านั้น
กระจัดกระจายหนีกันไปทั่วทิศ. ส่วนโจรคนหนึ่ง ถือเอาทางที่ไปยังวิหาร
ทิ้งห่อภัณฑะไว้ข้างหน้ามหากาล ผู้ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่ง ล้างหน้า
อยู่ริมสระโบกขรณีแต่เช้าตรู่แล้ว หลบหนีไป.
พวกมนุษย์ติดตามหมู่โจรมา พบห่อภัณฑะแล้ว จึงจับมหากาลนั้น
ไว้ ด้วยกล่าวว่า " แกตัดที่ต่อในเรือนของพวกฉัน ลักห่อภัณฑะไปแล้ว
เที่ยวเดินเหมือนฟังธรรมอยู่ " ได้ทุบให้ตายแล้วก็ทิ้งไว้เลยไป.

มหากาลตายสมแก่บุรพกรรม


ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายถือหม้อน้ำดื่มไปแต่เช้าตรู่
พบมหากาลนั้น กล่าวว่า " อุบาสกฟังธรรมกถาอยู่ในวิหาร ได้มรณะ
ไม่สมควร " ดังนี้แล้ว จึงได้กราบทูลแด่พระศาสดา.

พระศาสดา ตรัสว่า " อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย นายกาล1 ได้มรณะไม่
สมควรในอัตภาพนี้, แต่เขาได้มรณะสมควรแก่กรรมที่ทำไว้แล้วในกาล
ก่อนนั่นแล " อันภิกษุหนุ่มและสามเณรเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงตรัส
บุรพกรรมของมหากาลนั้นว่า:-

บุรพกรรมของมหากาล


ดังได้สดับมา ในอดีตกาลพวกโจรซุ่มอยู่ที่ปากดงแห่งปัจจันตคาม2
แห่งหนึ่ง ในแคว้นของพระเจ้าพาราณสี. พระราชาทรงตั้งราชภัฏคน3
หนึ่งไว้ที่ปากดง. ราชภัฏนั้นรับค่าจ้างแล้ว ก็นำคนไปจากฟากข้างนี้ สู่
ฟากข้างโน้น. นำคนจากฟากข้างโน้นมาสู่ฟากข้างนี้.
ต่อมนุษย์คนหนึ่ง พาภริยารูปสวยของตนขึ้นสู่ยานน้อยแล้ว ได้
ไปถึงที่นั้น. ราชภัฏพอเห็นหญิงนั้น ก็เกิดสิเนหา เมื่อมนุษย์นั้น
แม้กล่าวว่า " นาย ขอท่านจงช่วยกระผมทั้งสองให้ผ่านพ้นดงเถิด. " ก็ตอบ
ว่า " บัดนี้ ค่ำมืดเสียแล้ว. เช้าตรู่เถอะ เราจักช่วยให้ท่านพ้นไป. "
มนุษย์. นาย ยังมีเวลา, ขอโปรดนำกระผมทั้งสอง ไปเดี๋ยวนี้เถอะ.
ราชภัฏ. กลับเถิดท่านผู้เจริญ อาหารและที่พักอาศัยจักมีในเรือน
ของเราทีเดียว.
มนุษย์นั้นไม่ปรารถนากลับเลย. ฝ่ายราชภัฏนอกนี้ ให้สัญญาแก่
พวกบุรุษ ยังยานน้อยให้กลับแล้ว ให้ที่พักอาศัยที่ซุ้มประตู ให้ตระเตรียม
อาหารแก่เขาผู้ไม่ปรารถนาเลย. ก็ในเรือนราชภัฏนั้นมีเเก้วมณีดวงหนึ่ง.
เขาให้เอาแก้วมณีนั้นซ่อนไว้ในซอกแห่งยานน้อย ของมนุษย์ผู้นั้นแล้ว
ในเวลาจวนรุ่ง ให้ทำเสียงเป็นพวกโจรเข้าไป (บ้าน).
1. น่ามีมหาด้วย. 2. บ้านตั้งอยู่ริมเขตแดน. 3. คนอันพระราชาชุบเลี้ยง ได้แก่ข้าราชการ

ลำดับนั้น พวกบุรุษแจ้งแก่เขาว่า " นาย แก้วมณีถูกพวกโจรลัก
เอาไปแล้ว. " เขาสั่งว่า " พวกเจ้าจงตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูบ้านทั้งหลาย
ตรวจค้นคนผู้ออกไปจากภายในบ้าน. " ฝ่ายมนุษย์นอกนี้ จัดยานน้อย
เสร็จแล้วก็ขับไปแต่เช้าตรู่. ทีนั้น พวกคนใช้ของราชภัฏ จึงค้นยานน้อย
ของมนุษย์นั้น พบแก้วมณีที่ตนซ่อนไว้จึงขู่พูดว่า " เจ้าลักเอาแก้วมณี
หนีไป " ดังนี้แล้ว ก็โบย แสดงแก่นายบ้านว่า " นาย พวกผมจับตัว
ได้เเล้ว." เขาพูดว่า " ตัวเราเป็นถึงนายราชภัฏ ให้พักอาศัยในเรือน
ให้ภัตแล้ว. มันยังลักแก้วมณีไปได้. พวกเจ้าจงจับอ้ายบุรุษชั่วช้านั้น "
ดังนี้แล้ว ให้ช่วยกันทุบตายแล้วให้ทิ้งเสีย. นี้เป็นบุรพกรรมของมหากาล
นั้น. ราชภัฏนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในอเวจี ไหม้อยู่ในอเวจี
นั้นสิ้นกาลนาน ถูกทุบถึงความตายอย่างนั้นแล ใน 100 อัตภาพ เพราะ
วิบากที่ยังเหลืออยู่.

บาปย่อมย่ำยีผู้ทำ


พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุรพกรรมของมหากาลอย่างนั้นแล้ว
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมอันตนทำไว้นั่นแล ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านี้
ในอบาย 4 อย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
5. อตฺตนา กตํ ปาปํ อตฺตชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ วชิรํวมฺหยํ มณึ.
" บาป อันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็น
แดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชร
ย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉะนั้น. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า วชิรํวมฺหยํ มณึ ความว่า
เปรียบดังเพชร (ย่ำยี) แก้วมณีที่เกิดแต่หิน. ท่านอธิบายคำนี้ไว้ว่า
" เพชรอันสำเร็จจากหิน มีหินเป็นแดนเกิด กัดแก้วมณีที่เกิดแต่หิน
คือแก้วมณีอันสำเร็จแต่หิน ซึ่งนับว่าเป็นที่ตั้งขึ้นของตนนั้นนั่นแล คือ
ทำให้เป็นช่องน้อยช่องใหญ่ ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ทำให้ใช้สอยไม่
ได้ ฉันใด; บาปอันตนทำไว้เเล้ว เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อม
ย่ำยี คือขจัดบุคคลผู้มีปัญญาทราม คือผู้ไร้ปัญญา ในอบาย 4 ฉันนั้น
เหมือนกัน ."
ในกาลจบเทศนา ภิกษุที่มาประชุมบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล จบ.

6. เรื่องพระเทวทัต [132]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ " เป็นต้น.

สนทนาเรื่องลามกของพระเทวทัต


ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง พวกภิกษุ สนทนากันในโรงธรรมว่า
" ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก เกลี้ยกล่อม
พระเจ้าอชาตศัตรู ยังลาภสักการะเป็นอันมากให้เกิดขึ้น ชักชวนพระเจ้า
อชาตศัตรู ในการฆ่าพระราชบิดา เป็นผู้ร่วมคิดกับพระเจ้าอชาตศัตรูนั้น
ตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระตถาคตเจ้าด้วยประการต่าง ๆ เพราะตัณหา
อันเจริญขึ้นแล้ว ด้วยเหตุคือความเป็นผู้ทุศีลนั่นเอง. "
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่ง
สนทนากันด้วยกถาอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " ด้วย
กถาชื่อนี้, " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น. ถึงใน
กาลก่อน เทวทัตก็ตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเราด้วยประการต่าง ๆ เหมือน
กัน " ดังนี้แล้ว จึงตรัสชาดกทั้งหลาย มีกุรุงคชาดกเป็นต้น แล้วตรัส
ว่า " ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาอันเกิดขึ้นเพราะเหตุคือเป็นผู้ทุศีลหุ้มห่อ
รวบรัดซัดซึ่งบุคคลผู้ทุศีลล่วงส่วน ไปในอบายทั้งหลายมีนรกเป็นต้น
เหมือนเถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละจนหักรานลงฉะนั้น " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า :-

6. ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺย. มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ
กโรติ โส ตถตฺตานํ ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโส.
" ความเป็นผู้ทุศีลล่วงส่วน รวบรัด (อัตภาพ)
ของบุคคลใด ดุจเถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละ ฉะนั้น,
บุคคลนั้น ย่อมทำตนอย่างเดียวกันกับที่โจรหัวโจก
ปรารถนาทำให้ตนฉะนั้น. "

แก้อรรถ


ความเป็นผู้ทุศีลโดยส่วนเดียว ชื่อว่า อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ ในพระคาถา
นั้น. บุคคลผู้เป็นคฤหัสถ์ ทำอกุศลกรรมบถ 10 ตั้งแต่เกิดก็ดี. ผู้เป็น
บรรพชิต ต้องครุกาบัติ1 ตั้งแต่วันอุปสมบทก็ดี ชื่อว่า ผู้ทุศีลล่วงส่วน.
แต่บทว่า อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในพระคาถา
นี้ ทรงหมายเอาความเป็นผู้ทุศีลอันมาแล้วตามคติของบุคคลผู้ทุศีลใน
2 - 3 อัตภาพ.
อนึ่ง ตัณหาอันอาศัยทวาร 6 ของผู้ทุศีลเกิดขึ้น บัณฑิตพึงทราบว่า
" ความเป็นผู้ทุศีล " ในพระคาถานี้.
บาทพระคาถาว่า มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ ความว่า ความเป็นผู้ทุศีล
กล่าวคือตัณหา รวบรัด คือหุ้มห่ออัตภาพของบุคคลใดตั้งอยู่. เหมือน
เถาย่านทรายรัดรึงต้นสาละ. คือปกคลุมทั่วทั้งหมดทีเดียว ด้วยสามารถรับ
น้ำด้วยใบในเมื่อฝนตก แล้วหักรานลงฉะนั้นแล. บุคคลนั้นคือผู้ถูกตัณหา
กล่าวคือความเป็นผู้ทุศีลนั้นหักราน ให้ตกไปในอบายทั้งหลาย เหมือน
1. แปลว่า อาบัติหนัก ได้แก่ ปราชิก และสังฆาทิเสส.