เทวดาถูกเศรษฐีขับไล่ไม่มีที่อาศัย
เทวดานั้น ฟังคำของเศรษฐีผู้เป็นโสดาบันอริยสาวกแล้ว ไม่อาจ
ดำรงอยู่ได้ จึงพาทารกทั้งหลายออกไป, ก็แล ครั้นออกไปแล้วไม่ได้ที่อยู่
ในที่อื่น จึงคิดว่า " เราจักให้ท่านเศรษฐีอดโทษแล้วอยู่ในที่เดิมนั้น
เข้าไปหาเทพบุตรผู้รักษาพระนคร แจ้งความผิดที่ตนทำแล้ว กล่าวว่า
" เชิญมาเถิดท่าน, ขอท่านจงนำข้าพเจ้าไปยังสำนักของท่านเศรษฐี ให้
ท่านเศรษฐีอดโทษแล้วให้ที่อยู่ (แก่ข้าพเจ้า). "
เทพบุตรห้ามเทวดานั้นว่า " ท่านกล่าวคำไม่สมควร, ข้าพเจ้าไม่
อาจไปยังสำนักของเศรษฐีนั้นได้. "
เทวดานั้นจึงไปสู่สำนักของท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ถูกท่านเหล่านั้น
ห้ามไว้ จึงเข้าไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช กราบทูลเรื่องนั้น (ให้ทรงทราบ)
แล้ว ทูลวิงวอนอย่างน่าสงสารว่า " ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้ที่อยู่
ต้องจูงพวกทารกเที่ยวระหกระเหิน หาที่พึ่งมิได้. ขอได้โปรดให้เศรษฐี
ให้ที่อยู่แก่ข้าพระองค์เถิด."
ท้าวสักกะทรงแนะนำอุบายให้เทวดา
คราวนั้น ท้าวสักกะ ตรัสกะเทวดานั้นว่า " ถึงเราก็จักไม่อาจกล่าว
กะเศรษฐีเพราะเหตุแห่งท่านได้ (เช่นเดียวกัน). แต่จักบอกอุบายให้แก่
ท่านสักอย่างหนึ่ง. "
เทวดา. ดีละ เทพเจ้า ขอพระองค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกเถิด.
ท้าวสักกะ. ไปเถิดท่าน. จงแปลงเพศเป็นเสมียนของเศรษฐี ให้
ใครนำหนังสือ (สัญญากู้เงิน) จากมือเศรษฐีมาแล้ว (นำไป) ให้เขาชำระ
ทรัพย์ 18 โกฏิ ที่พวกค้าขายถือเอาไป ด้วยอานุภาพของตนแล้ว บรรจุ
ไว้ให้เต็มในห้องเปล่า. ทรัพย์ 18 โกฏิ ที่จมลงยังมหาสมุทรมีอยู่ก็ดี.
ทรัพย์ 8 โกฏิ ส่วนอื่น ซึ่งหาเจ้าของมิได้ มีอยู่ในที่โน้นก็ดี. จงรวบ
รวมทรัพย์ทั้งหมดนั้น บรรจุไว้ให้เต็มในห้องเปล่าของเศรษฐี ครั้นทำ
กรรมชื่อนี้ให้เป็นทัณฑกรรมแล้ว จึงขอขมาโทษเศรษฐี.
เศรษฐีกลับรวยอย่างเดิม
เทวดานั้น รับว่า " ดีละ เทพเจ้า " แล้วทำกรรมทุก ๆ อย่างตาม
นัยที่ท้าวสักกะตรัสบอกแล้วนั่นแล ยังห้องอันเป็นสิริของท่านเศรษฐีให้
สว่างไสว ดำรงอยู่ในอากาศ เมื่อท่านเศรษฐีกล่าวว่า " นั่น ใคร " จึง
ตอบว่า " ข้าพเจ้าเป็นเทวดาอันธพาล ซึ่งสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ 4 ของ
ท่าน. คำใด อันข้าพเจ้ากล่าวแล้วในสำนักของท่านด้วยความเป็นอันธ-
พาล. ขอท่านจงอดโทษคำนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด. เพราะข้าพเจ้าได้ทำทัณฑ-
กรรมด้วยการรวบรวมทรัพย์ 54 โกฏิ มาบรรจุไว้เต็มห้องเปล่า ตาม
บัญชาของท้าวสักกะ. ข้าพเจ้าเมื่อไม่ได้ที่อยู่ ย่อมลำบาก. "
เศรษฐีอดโทษแก่เทวดา
อนาถบิณฑิกเศรษฐี จินตนาการว่า " เทวดานี้ กล่าวว่า "ทัณฑ-
กรรม อันข้าพเจ้ากระทำแล้ว" ดังนี้. และรู้สึกโทษ (ความผิด) ของตน.
เราจักแสดงเทวดานั้นแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า." ท่านเศรษฐี นำเทวดา
นั้นไปสู่สำนักของพระศาสดา กราบทูลกรรมอันเทวดานั้นทำแล้ว
ทั้งหมด.
เทวดาหมอบลงด้วยเศียรเกล้า แทบพระบาทยุคลแห่งพระศาสดา
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ทราบพระคุณทั้งหลาย
ของพระองค์ ได้กล่าวคำใดอันชั่วช้า เพราะความเป็นอันธพาล. ขอ
พระองค์ทรงงดโทษคำนั้นแก่ข้าพระองค์ ให้พระศาสดาทรงอดโทษแล้ว
จึงให้ท่านมหาเศรษฐีอดโทษให้ (ในภายหลัง).
เมื่อกรรมให้ผล คนโง่จึงเห็นถูกต้อง
พระศาสดา เมื่อจะทรงโอวาทเศรษฐีและเทวดา ด้วยสามารถวิบาก
แห่งกรรมดีและชั่วนั่นแล จึงตรัสว่า " ดูก่อนคฤหบดี แม้บุคคลผู้ทำบาป
ในโลกนี้ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล. แต่เมื่อใด
บาปของเขาเผล็ดผล, เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่วเเท้ ๆ; ฝ่ายบุคคล
ผู้ทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล,
แต่เมื่อใด กรรมดีของเขาเผล็ดผล. เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่า
ดีจริง ๆ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ภาษิตพระ-
คาถาเหล่านี้ว่า
4. ปาโปปิ ปสฺสติ ภทฺรํ ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจติ ปาปํ อถ (ปาโป) ปาปานิ ปสฺสติ.
ภโทฺรปิ ปสฺสติ ปาปํ ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจติ ภทฺรํ อถ (ภโทฺร) ภทฺรานิ ปสฺสติ.
" แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาล
ที่บาปยังไม่เผล็ดผล, แต่เมื่อใด บาปเผล็ดผล,
เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว, ฝ่ายคนทำกรรมดี
ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ด
ผล แต่เมื่อใด กรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อม
เห็นกรรมดีว่าดี."
แก้อรรถ
บุคคลผู้ประกอบบาปกรรมมีทุจริตทางกายเป็นต้น ชื่อว่าคนผู้บาป
ในพระคาถานั้น.
ก็บุคคลแม้นั้น เมื่อยังเสวยสุขอันเกิดขึ้น ด้วยอานุภาพแห่งสุจริต
กรรมในปางก่อนอยู่ ย่อมเห็นแม้บาปกรรมว่าดี.
บาทพระคาถาว่า ยาว ปาปํ น ปจฺจติ เป็นต้น ความว่า บาปกรรม
ของเขานั้น ยังไม่ให้ผลในปัจจุบันภพหรือสัมปรายภพเพียงใด. (ผู้ทำ
บาป ย่อมเห็นบาปว่าดี เพียงนั้น). แต่เมื่อใดบาปกรรมของเขานั้นให้ผล
ในปัจจุบันภพหรือในสัมปรายภพ. เมื่อนั้น ผู้ทำบาปนั้น เมื่อเสวยกรรม-
กรณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันภพ และทุกข์ในอบายในสัมปรายภพอยู่ ย่อมเห็น
บาปว่าชั่วถ่ายเดียว.
ในพระคาถาที่ 2 (พึงทราบเนื้อความดังต่อไปนี้). บุคคลผู้ประ-
กอบกรรมดีมีทุจริตทางกายเป็นต้น ชื่อว่าคนทำกรรมดี. คนทำกรรมดี
แม้นั้น เมื่อเสวยทุกข์อันเกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งทุจริตในปางก่อน ย่อม
เห็นกรรมดีว่าชั่ว.
บาทพระคาถาว่า ยาว ภทฺรํ น ปจฺจิต เป็นต้น ความว่ากรรมดี
ของเขานั้น ยังไม่ให้ผล ในปัจจุบันภพหรือในสัมปรายภพเพียงใด. (คน
ทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่วอยู่ เพียงนั้น). แต่เมื่อใด กรรมดีนั้น
ให้ผล, เมื่อนั้นคนทำกรรมดีนั้น เมื่อเสวยสุขที่อิงอามิส มีลาภและสักการะ
เป็นต้นในปัจจุบันภพ และสุขที่อิงสมบัติ อันเป็นทิพย์ในสัมปรายภพอยู่
ย่อมเห็นกรรมดีว่า ดีจริง ๆ ดังนี้.
ในกาลจบเทศนา เทวดานั้น ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. พระธรรม-
เทศนา ได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้มาประชุมกัน ดังนี้เเล.
เรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐี จบ.
5. เรื่องภิกษุไม่ถนอมบริขาร [99]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ผู้ไม่ถนอมบริขาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " มาวมญฺเญถ ปาปสฺส "
เป็นต้น.
ของสงฆ์ใช้เเล้วควรรีบเก็บ
ได้ยินว่า ภิกษุนั้น ใช้สอยบริขารอันต่างด้วยเตียงและตั่งเป็นต้น
อย่างใดอย่างหนึ่ง ในภายนอกแล้ว ทิ้งไว้ในที่นั้นนั่นเอง. บริขารย่อม
เสียหายไป เพราะฝนบ้าง แดดบ้าง พวกสัตว์มีปลวกเป็นต้นบ้าง. ภิกษุ
นั้น เมื่อพวกภิกษุกล่าวเตือนว่า " ผู้มีอายุ ธรรมดาบริขาร ภิกษุควร
เก็บงำมิใช่หรือ ? " กลับกล่าวว่า " กรรมที่ผมทำนั่นนิดหน่อย ผู้มีอายุ,
บริขารนั่นไม่มีจิต, ความวิจิตรก็ไม่มี " ดังนี้แล้ว (ยังขืน) ทำอยู่อย่างนั้น
นั่นแลอีก. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลกิริยา (การ) ของเธอแด่พระศาสดา.
พระศาสดารับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุ ข่าวว่า
เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ ? " เธอแม้ถูกพระศาสดาตรัสถามแล้ว ก็กราบ-
ทูลอย่างดูหมิ่นอย่างนั้นนั่นแหละว่า " ข้าเเต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนั้น
จะเป็นอะไร, ข้าพระองค์ทำกรรมเล็กน้อย. บริขารนั้น ไม่มีจิต. ความ
วิจิตรก็ไม่มี. "
อย่าดูหมิ่นกรรมชั่วว่านิดหน่อย
ทีนั้น พระศาสดาตรัสกับเธอว่า " อันภิกษุทั้งหลายทำอย่างนั้น
ย่อมไม่ควร, ขึ้นชื่อว่าบาปกรรม ใคร ๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่า นิดหน่อย;
เหมือนอย่างว่า ภาชนะที่เขาเปิดปากตั้งไว้กลางแจ้ง เมื่อฝนตกอยู่ ไม่
เต็มได้ด้วยหยาดน้ำหยาดเดียวโดยแท้, ถึงกระนั้น เมื่อฝนตกอยู่บ่อย ๆ
ภาชนะนั้นย่อมเต็มได้เเน่ ๆ ฉันใด. บุคคลผู้ทำบาปกรรมอยู่ ย่อมทำกอง
บาปให้ใหญ่โตขึ้นโดยลำดับได้อย่างแน่ ๆ ฉันนั้นเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว.
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
5. มาวมญฺเญถ ปาปสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส โถกํ โถกํปิ อาจินํ.
" บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบาปว่า ่บาปมีประมาณ
น้อยจักไม่มาถึง ' แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่
ตกลง (ทีละหยาดๆ) ได้ฉันใด, ชนพาลเมื่อสั่งสม
บาปแม้ทีละน้อย ๆ ย่อมเต็มด้วยบาปได้ ฉันนั้น. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาวมญฺเญถ ความว่า บุคคลไม่ควร
ดูหมิ่น.
บทว่า ปาปสฺส แปลว่า ซึ่งบาป.
บาทพระคาถาว่า น มตฺตํ อาคมิสฺสติ ความว่า บุคคลไม่ควรดูหมิ่น
บาปอย่างนั้นว่า " เราทำบาปมีประมาณน้อย, เมื่อไร บาปนั่นจักเผล็ด
ผล ? "
บทว่า อุทกุมฺโภปิ ความว่า ภาชนะดินชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่เขา
เปิดปากทิ้งไว้ในเมื่อฝนตกอยู่ ย่อมเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงแม้ทีละหยาดๆ
โดยลำดับได้ฉันใด. บุคคลเขลา เมื่อสั่งสมคือเมื่อพอกพูนบาปแม้ทีละ
น้อย ๆ ย่อมเต็มด้วยบาปได้ฉันนั้นเหมือนกัน.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้นแล้ว. แม้พระศาสดา ก็ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า " ภิกษุ
ลาดที่นอน (ของสงฆ์) ไว้ในที่แจ้งแล้ว ไม่เก็บไว้ตามเดิมต้องอาบัติชื่อนี้ "
ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุไม่ถนอมบริขาร จบ.
6. เรื่องเศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ [100]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเศรษฐีชื่อ
พิฬาลปทกะ (เศรษฐีตีนแมว) ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " มาวมญฺเญถ
ปุญฺญสฺส เป็นต้น.
ให้ทานองและชวนคนอื่น ได้สมบัติ 2 อย่าง
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง ชาวเมืองสาวัตถีพากันถวายทานแด่
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน โดยเนื่องเป็นพวกเดียวกัน. อยู่มา
วันหนึ่ง พระศาสดา เมื่อจะทรงทำอนุโมทนา ตรัสอย่างนี้ว่า " อุบาสก
อุบาสิกาทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานด้วยตน, (แต่) ไม่ชัก-
ชวนผู้อื่น. เขาย่อมได้โภคสมบัติ, (แต่) ไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่ง
ตนเกิดแล้ว ๆ; บางคนไม่ให้ทานด้วยตน. ชักชวนแต่คนอื่น. เขาย่อม
ได้บริวารสมบัติ (แต่) ไม่ได้โภคสมบัติในที่แห่งตนเกิดแล้ว ๆ; บางคน
ไม่ให้ทานด้วยตนด้วย ไม่ชักชวนคนอื่นด้วย. เขาย่อมไม่ได้โภคสมบัติ
ไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้ว ๆ; เป็นคนเที่ยวกินเดน บาง
คน ให้ทานด้วยคนด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย,. เขาย่อมได้ทั้งโภคสมบัติ
และบริวารสมบัติ ในที่แห่งคนเกิดแล้ว ๆ."
บัณฑิตเรี่ยไรของทำบุญ
ครั้งนั้น บัณฑิตบุรุษผู้หนึ่ง ฟังธรรมเทศนานั้นแล้ว คิดว่า " โอ !
เหตุนี้น่าอัศจรรย์, บัดนี้ เราจักทำกรรมที่เป็นไปเพื่อสมบัติทั้งสอง," จึง
กราบทูลพระศาสดาในเวลาเสด็จลุกไปว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้
ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาขอพวกข้าพระองค์."
พระศาสดา. ก็ท่านมีความต้องการด้วยภิกษุสักเท่าไร ?
บุรุษ. ภิกษุทั้งหมด พระเจ้าข้า.
พระศาสดาทรงรับแล้ว. แม้เขาก็เข้าไปยังบ้าน เที่ยวป่าวร้องว่า
"ข้าแต่แม่และพ่อทั้งหลาย ข้าพเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประธาน เพื่อฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้, ผู้ใดอาจถวายแก่ภิกษุทั้งหลายมี
ประมาณเท่าใด, ผู้นั้นจงให้วัตถุต่าง ๆ มีข้าวสารเป็นต้น เพื่อประโยชน์
แก่อาหารมียาคูเป็นต้น เพื่อภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่านั้น, พวกเราจัก
ให้หุงต้มในที่แห่งเดียวกันแล้วถวายทาน"
เหตุที่เศรษฐีชื่อว่าพิฬาลปทกะ
ทีนั้น เศรษฐีคนหนึ่ง เห็นบุรุษนั้นมาถึงประตูร้านตลาดของตน
ก็โกรธว่า "เจ้าคนนี้ ไม่นิมนต์ภิกษุแต่พอ (กำลัง) ของตน ต้องมา
เที่ยวชักชวนชาวบ้านทั้งหมด (อีก)," จึงบอกว่า "แกจงนำเอาภาชนะ
ที่แกถือมา" ดังนี้แล้ว เอานิ้วมือ 3 นิ้วหยิบ ได้ให้ข้าวสารหน่อยหนึ่ง,
ถั่วเขียว ถั่วราชมาษก็เหมือนกันแล. ตั้งแต่นั้น เศรษฐีนั้นจึงมีชื่อว่า
พิฬาลปทกเศรษฐี. แม้เมื่อจะให้เภสัชมีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้น ก็เอียง
ปากขวดเข้าที่หม้อ ทำให้ปากขวดนั้นติดเป็นอันเดียวกัน ให้เภสัชมีเนยใส
และน้ำอ้อยเป็นต้นไหลลงทีละหยด ๆ ได้ให้หน่อยหนึ่งเท่านั้น.
อุบาสกทำวัตถุทานที่คนอื่นให้โดยรวมกัน (แต่) ได้ถือเอาสิ่งของ
ที่เศรษฐีนี้ให้ไว้แผนกหนึ่งต่างหาก.
เศรษฐีให้คนสนิทไปดูการทำของบุรุษผู้เรี่ยไร
เศรษฐีนั้น เห็นกิริยาของอุบาสกนั้นแล้ว คิดว่า " ทำไมหนอ
เจ้าคนนี้จึงรับสิ่งของที่เราให้ไว้แผนกหนึ่ง ? " จึงส่งจูฬุปัฏฐากคนหนึ่ง
ไปข้างหลังเขา ด้วยสั่งว่า " เจ้าจงไป, จงรู้กรรมที่เจ้านั่นทำ." อุบาสก
นั้นไปแล้ว กล่าวว่า " ขอผลใหญ่จงมีแก่เศรษฐี." ดังนี้แล้วใส่ข้าวสาร
1-2 เมล็ด เพื่อประโยชน์ แก่ยาคู ภัต และขนม, ใส่ถั่วเขียวถั่วราชมาษ
บ้าง หยาดน้ำมันและหยาดน้ำอ้อยเป็นต้นบ้าง ลงในภาชนะทุก ๆ ภาชนะ.
จูฬุปัฏฐากไปบอกแก่เศรษฐีแล้ว. เศรษฐีฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า " หาก
เจ้าคนนั้นจักกล่าวโทษเราในท่ามกลางบริษัทไซร้, พอมันเอ่ยชื่อของเรา
ขึ้นเท่านั้น เราจักประหารมันให้ตาย." ในวันรุ่งขึ้น จึงเหน็บกฤชไว้ใน
ระหว่างผ้านุ่งแล้ว ได้ไปยืนอยู่ที่โรงครัว.
ฉลาดพูดทำให้ผู้มุ่งร้ายกลับอ่อนน้อม
บุรุษนั้น เลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ชักชวนมหา-
ชนถวายทานนี้, พวกมนุษย์ข้าพระองค์ชักชวนแล้วในที่นั้น ได้ให้ข้าวสาร
เป็นต้นมากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังของตน, ขอผลอันไพศาลจงมีแก่
มหาชนเหล่านั้นทั้งหมด."
เศรษฐีได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า " เรามาด้วยตั้งใจว่า ' พอมันเอ่ย
ชื่อของเราขึ้นว่า ' เศรษฐีชื่อโน้นถือเอาข้าวสารเป็นต้นด้วยหยิบมือให้,'
เราก็จักฆ่าบุรุษนี้ ให้ตาย, แต่บุรุษนี้ ทำทานให้รวมกันทั้งหมด แล้ว
กล่าวว่า ' ทานที่ชนเหล่าใดตวงด้วยทะนานเป็นต้นแล้วให้ก็ดี, ทานที่
ชนเหล่าใดถือเอาด้วยหยิบมือแล้วให้ก็ดี, ขอผลอันไพศาล จงมีแก่ชน
เหล่านั้นทั้งหมด,' ถ้าเราจักไม่ให้บุรุษเห็นปานนี้อดโทษไซร้, อาชญา
ของเทพเจ้าจักตกลงบนศีรษะของเรา." เศรษฐีนั้นหมอบลงแทบเท้าของ