เมื่อประพฤติธรรมคือการเที่ยวไปเพื่อภิกษา ชื่อว่าประพฤติธรรมเป็น
ปกติ ย่อมอยู่เป็นสุขโดยอิริยาบถแม้ทั้ง 4 ในโลกนี้และโลกหน้า.
สองบทว่า น ตํ ทุจฺจริตํ ความว่า เมื่อเที่ยวไปในอโคจร ต่างด้วย
อโคจรมีหญิงแพศยาเป็นต้น ชื่อว่าย่อมประพฤติธรรม คือการเที่ยวไปเพื่อ
ภิกษาให้เป็นทุจริต. ไม่ประพฤติอย่างนั้น พึงประพฤติธรรมนั้นให้เป็น
สุจริต, ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้เป็นทุจริต. คำที่เหลือ มีเนื้อความ
ดังกล่าวแล้วเหมือนกัน.
ในเวลาจบเทศนา พระราชาทรงดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว.
เทศนาได้มีประโยชน์แม้เเก่ชนทั้งหลายผู้ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องพระเจ้าสุทโธทนะ จบ.
3. เรื่องภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา [139]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เจริญ
วิปัสสนามีประมาณ500รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยถา ปุพฺพุฬกํ
ปสฺเส " เป็นต้น.
ภิกษุถือเอาพยับแดดเป็นอารมณ์
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดา
แล้ว เข้าไปสู่ป่า แม้พยายามอยู่ ก็ไม่ได้บรรลุคุณวิเศษ จึงคิดว่า '' พวก
เราจักเรียนกัมมัฏฐานให้วิเศษ " กำลังมาสู่สำนักของพระศาสดา เห็น
พยับแดดในระหว่างทาง เจริญกัมมัฏฐานมีพยับแดดเป็นอารมณ์นั่นแหละ
มาแล้ว. ฝนตกในขณะแห่งภิกษุเหล่านั้นเข้าไปสู่วิหารนั่นเอง ภิกษุ
เหล่านั้นยืนที่หน้ามุขนั้น ๆ เห็นฟองน้ำทั้งหลายซึ่งตั้งขึ้นแล้ว แตกไป
อยู่ด้วยความเร็วแห่งสายน้ำ ยึดเอาเป็นอารมณ์ว่า " อัตภาพแม้นี้ เป็น
เช่นกับฟองน้ำ เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นแล้วแตกไปเหมือนกัน. " พระศาสดา
ประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ทรงแลดูภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงแผ่
พระโอภาส เหมือนตรัสกับภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. ยถา ปุพฺพุฬกํ ปสฺเส ยถา ปสฺเส มรีจิกํ
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ.
" พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็น
อยู่ซึ่งโลก เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรีจิกํ คือพยับแดด จริงอยู่ พยับแดด
แม้ปรากฏขึ้นแต่ที่ไกลเทียว ด้วยสามารถมีสัณฐานดังสัณฐานเรือนเป็นต้น
เป็นของเข้าถึงความเป็นรูปที่ถือเอามิได้ เป็นของว่างเปล่าแท้ (ย่อม
ปรากฏ) แก่คนทั้งหลายผู้เข้าไปใกล้อยู่, เพราะเหตุนั้น จึงมีอธิบายว่า
" พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็นอยู่ซึ่งโลกมีขันธ์เป็นอาทิ
เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นแล้วแตกไป (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด เพราะความเป็นธรรมชาติว่างเปล่าเป็น
อาทิ ฉะนั้น. "
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ในที่แห่ง
ตนยืนนั่นเอง ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา จบ.
4. เรื่องอภัยราชกุมาร [140]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภอภัยราชกุมาร
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ " เป็นต้น.
พระกุมารได้รับพระราชทานราชสมบัติ
ได้ยินว่า เมื่ออภัยราชกุมารนั้น ทรงปราบปรามปัจจันตชนบทให้
สงบมาแล้ว พระเจ้าพิมพิสารผู้พระบิดา ทรงพอพระทัยแล้ว พระราชทาน
หญิงฟ้อนคนหนึ่ง ผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับแล้ว ได้พระราชทาน
ราชสมบัติสิ้น 7 วัน. อภัยราชกุมารนั้น ไม่เสด็จออกภายนอกพระราช-
มนเฑียรเลย. เสวยสิริแห่งความเป็นพระราชาสิ้น 7 วัน เสด็จไปสู่ท่า
แม่น้ำในวันที่ 8 ทรงสรงสนานแล้ว เสด็จเข้าไปสู่พระอุทยาน ประทับ
นั่งทอดพระเนตรการฟ้อนและการขับของหญิงนั้น ดุจสันตติมหาอำมาตย์.
ในขณะนั้นเอง แม้นางนั้นได้ทำกาละ ด้วยอำนาจกองลมกล้าดุจศัสตรา
ดุจหญิงฟ้อนของสันตติมหาอำมาตย์ พระกุมารมีความโศกเกิดขึ้นแล้ว
เพราะกาลกิริยาของหญิงฟ้อนนั้น ทรงดำริว่า " ผู้อื่น เว้นพระศาสดาเสีย
จักไม่อาจเพื่อให้ความโศกนี้ของเราดับได้ " ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระ-
ศาสดากราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงให้ความโศกของข้าพระองค์
ดับเถิด. "
อุบายระงับความโศก
พระศาสดา ทรงปลอบพระกุมารนั้นแล้วตรัสว่า " กุมาร ก็ประมาณ
แห่งน้ำตาทั้งหลาย ที่เธอร้องไห้อยู่ในกาลแห่งหญิงนี้ตายแล้ว อย่างนี้
นี่แลให้เป็นไปแล้ว ย่อมไม่มีในสงสาร ซึ่งมีที่สุดอันใคร ๆ รู้ไม่ได้ "
ทรงทราบความที่ความโศกเป็นภาพเบาบาง เพราะเทศนานั้นแล้วจึง
ตรัสว่า " กุมาร เธออย่าโศกเลย, ข้อนั้นเป็นฐานะเป็นที่จมลงของชน
พาลทั้งหลาย ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
4. เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ
ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ
" ท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้1 อันตระการ ดุจ
ราชรถ, ที่พวกคนเขลาหมกอยู่, (แต่) พวกผู้รู้หา
ข้องอยู่ไม่."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เอถ ปสฺสถ พระศาสดาตรัสหมาย
เอาพระราชกุมารนั่นเอง, สองบทว่า อิมํ โลกํ ได้แก่ อัตภาพ กล่าวคือ
ขันธโลกเป็นต้นนี้. บทว่า จิตฺตํ ความว่า อันวิจิตรด้วยเครื่องประดับ
มีเครื่องประดับคือผ้าเป็นต้น ดุจราชรถอันวิจิตรด้วยเครื่องประดับมีเเก้ว
7 ประการเป็นอาทิ. สองบทว่า ยตฺถ พาลา ความว่า พวกคนเขลา
เท่านั้นหมกอยู่ในอัตภาพใด. บทว่า วิชานตํ ความว่า แต่สำหรับพวก
ผู้รู้คือบัณฑิตทั้งหลาย หามีความข้องในกิเลสเครื่องข้อง คือราคะเป็นต้น
แม้อย่างหนึ่งในอัตภาพนั้นไม่.
ในเวลาจบเทศนา พระราชกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว, พระ-
ธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้เเก่ผู้ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องอภัยราชกุมาร จบ.
1. พระศาสดาตรัสสองบทว่า เอถ ปสฺสถ ในพระคาถานั้น ทรงหมายเอาจำเพาะพระราชกุมาร.
5. เรื่องพระสัมมัชชนเถระ [141]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสัมมัช-
ชนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา "
เป็นต้น.
ผู้ไม่ประมาทย่อมยังโลกให้สว่าง
ได้ยินว่า พระเถระนั้นไม่ทำเวลาให้เป็นประมาณว่า " เช้าหรือ
เย็น " ย่อมเที่ยวกวาดอยู่เนือง ๆ. วันหนึ่ง พระเถระนั้น ถือไม้กวาด
ไปสู่สำนักของพระเรวตเถระ ผู้นั่งในที่พักกลางวันแล้ว กล่าวว่า " พระ-
เถระนี้เป็นผู้เกียจคร้านมาก. บริโภคของที่ชนถวายด้วยศรัทธา แล้วมา
นั่งอยู่ ; การที่พระเถระนั้นถือเอาไม้กวาดแล้วกวาดที่แห่งหนึ่ง จะไม่ควร
หรือ ? " พระเถระคิดว่า " เราจักให้โอวาทแก่เธอ " ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
" มานี่แน่ะ คุณ."
พระสัมมัชชนเถระ. อะไร ? ขอรับ.
พระเรวตเถระ. ท่านจงไป. อาบน้ำแล้วจงมา.
พระสัมมัชชนเถระนั้น ได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
ลำดับนั้น พระเถระให้เธอนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่งแล้ว เมื่อจะกล่าว
สอน จึงกล่าวว่า " คุณ ธรรมดาภิกษุเที่ยวกวาดอยู่ตลอดทุกเวลา ไม่ควร,
ก็การที่ภิกษุกวาดแต่เช้าตรู่แล้ว เที่ยวบิณฑบาต กลับจากบิณฑบาตแล้ว
มานั่งในที่พักกลางคืนหรือในที่พักกลางวัน สาธยายอาการ 32 เริ่มตั้ง
ความสิ้นความเสื่อมในอัตภาพแล้ว ลุกขึ้นกวาดในเวลาเย็น จึงควร. อัน
ภิกษุไม่กวาดตลอดกาลเป็นนิตย์ แล้วพึงทำโอกาส ชื่อแม้แก่ตน." พระ-
สัมมัชชนเถระนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระแล้ว ไม่นานเท่าไรก็บรรลุ
พระอรหัต. ที่นั้น ๆได้รกรุงรังแล้ว.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะพระสัมมัชชนเถระนั้นว่า " สัมมัช-
ชนเถระผู้มีอายุ ที่นั้น ๆ รกรุงรัง. เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่กวาด ? "
พระสัมมัชชนเถระ. ท่านผู้เจริญ กระผมทำแล้วอย่างนั้น ในเวลา
ประมาท, บัดนี้ กระผมเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลแด่พระศาสดาว่า " พระเถระนี้ พยากรณ์
อรหัตผล. " พระศาสดาตรัสว่า " อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเรา
เที่ยวกวาดอยู่ในเวลาประมาทในก่อน. แต่บัดนี้ บุตรของเรายับยั้งอยู่
ด้วยความสุขซึ่งเกิดแต่มรรคผล จึงไม่กวาด " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-
5. โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตวา ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ
โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา.
" ผู้ใดประมาทในก่อน ภายหลังไม่ประมาท,
ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือนดวงจันทร์พ้น
แล้วจากหมอกฉะนั้น."
แก้อรรถ
บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
บุคคลใดประมาทแล้วในก่อน ด้วยการทำวัตรและวัตรตอบ หรือ
ด้วยการสาธยายเป็นต้น ภายหลังยับยั้งอยู่ด้วยสุขซึ่งเกิดแต่มรรคผล ชื่อว่า
ย่อมไม่ประมาท. บุคคลนั้น ย่อมยังโลกมีขันธ์เป็นต้นนี้ให้สว่าง คือย่อม
ทำให้แสงสว่างเป็นอันเดียวกันได้ด้วยมรรคญาณ เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้ว
จากหมอกเป็นต้น ยังโอกาสโลกให้สว่างอยู่ ฉะนั้น.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระสัมมัชชนเถระ จบ.
6. เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ [142]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอังคุลิ-
มาลเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ " เป็นต้น.
ต้นคดปลายตรงใช้ได้
เนื้อเรื่องบัณฑิตพึงทราบด้วยสามารถแห่งอังคุลิมาลสูตร1นั่นแล. ก็
พระเถระบวชในสำนักของพระศาสดา บรรลุพระอรหัตแล้ว. ครั้งนั้นแล
ท่านพระอังคุลิมาลไปแล้วในที่ลับหลีกเร้นอยู่ เสวยวิมุตติสุขแล้ว, เปล่ง
อุทานนี้ในเวลานั้นว่า :-
" ก็ผู้ใด ประมาทแล้วในก่อน ภายหลังไม่ประ-
มาท, ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือนดวงจันทร์
พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น. "
ครั้นเปล่งอุทานแล้ว ก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ พระเถระบังเกิดแล้ว
ณ ที่ไหนหนอแล ? พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอเป็นผู้นั่งประชุมกันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลว่า " ด้วยถ้อยคำปรารภถึงที่บังเกิดของพระอังคุลิมาลเถระ. พระ-
เจ้าข้า. " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราปรินิพพานแล้ว." เมื่อ
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า " พระอังคุลิมาลเถระฆ่ามนุษย์มีประมาณเท่านี้
ปรินิพพานแล้วหรือ ? พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย
เพราะอังคุลิมาลนั้นไม่ได้กัลยามิตรสักคนหนึ่ง จึงได้ทำบาปมีประมาณ
1. ม. ม. 13/477.
เท่านี้ในกาลก่อน. แต่ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย จึงได้เป็น
ผู้ไม่ประมาท; เหตุนั้น บาปกรรมนั้นอันบุตรของเราละได้แล้วด้วยกุศล"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
6. ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ กุสเลน ปิถียติ
โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา
" บุคคลใด ละบาปกรรมที่ตนทำไว้เเล้วได้ด้วย
กุศล, บุคคลนั้น ย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือน
ดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุสเลน พระศาสดาตรัสหมายเอาพระ-
อรหัตมรรค. คำที่เหลือ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น.
เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ จบ.
7. เรื่องธิดานายช่างหูก [143]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเจดีย์ชื่อว่าอัคคาฬวะ ทรงปรารภ
ธิดาของนายช่างหูกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อนฺธภูโต อยํ
โลโก " เป็นต้น.
คนเจริญมรณสติไม่กลัวตาย
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พวกชาวเมืองอาฬวี เมื่อพระศาสดา
เสด็จถึงเมืองอาฬวีแล้ว ได้ทูลนิมนต์ถวายทานแล้ว. พระศาสดาเมื่อจะ
ทรงทำอนุโมทนาในเวลาเสร็จภัตกิจ จึงตรัสว่า " ท่านทั้งหลายจงเจริญ
มรณสติอย่างนี้ว่า ' ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน, ความตายของเราแน่นอน, เรา
พึงตายแน่แท้. ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุด. ชีวิตของเราไม่เที่ยง.
ความตายเที่ยง; ก็มรณะอันชนทั้งหลายใดไม่เจริญแล้ว, ในกาลที่สุด
ชนทั้งหลายนั้น ย่อมถึงความสะดุ้ง ร้องอย่างขลาดกลัวอยู่ทำกาละ เหมือน
บุรุษเห็นอสรพิษแล้วกลัวฉะนั้น; ส่วนมรณะอันชนทั้งหลายใดเจริญแล้ว
ชนทั้งหลายนั้น ย่อมไม่สะดุ้งในกาลที่สุด ดุจบุรุษเห็นอสรพิษแต่ไกล
เทียว แล้วก็เอาท่อนไม้เขี่ยทิ้งไปยืนอยู่ฉะนั้น; เพราะฉะนั้นมรณสติอัน
ท่านทั้งหลายพึงเจริญ. "
พระศาสดาเสด็จประทานโอวาทธิดาช่างหูก
พวกชนที่เหลือฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้เป็นผู้ขวนขวายใน
กิจของตนอย่างเดียว. ส่วนธิดาของนายช่างหูกอายุ 16 ปีคนหนึ่ง คิดว่า
" โอ ธรรมดาถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอัศจรรย์, เราเจริญมรณสติ