เมนู

นายช่างพาครอบครัวหนี


ฝ่ายพระราชกุมาร รับสั่งให้ล้อมเรือนไว้ ทรงจัดตั้งการรักษาเพื่อ
ประโยชน์จะไม่ให้นายช่างออกไปได้. แม้นายช่าง ในเวลาที่นกสำเร็จ
แล้ว สั่งภรรยาว่า " วันนี้ หล่อนพึงพาเด็ก แม้ทั้งหมดมา " รับประทาน
อาหารเช้าเสร็จแล้ว ให้บุตรและภรรยานั่งในท้องนก ออกทางหน้าต่าง
หลบหนีไปแล้ว. เมื่อพวกอารักขาเหล่านั้น พิไรรำพันทูลว่า " ขอเดชะ
สมมติเทพนายช่างหลบหนีไปได้ " ดังนี้อยู่นั่นแหละ นายช่างนั้นก็ไปลง
ที่หิมวันตประเทศ สร้างนครขึ้นนครหนึ่ง ได้เป็นพระราชา ทรงพระนาม
ว่า กัฏฐวาหนะ1 ในนครนั้น.

พระศาสดาไม่ทรงเหยียบผ้าที่ลาดไว้


ฝ่ายพระราชกุมาร ทรงดำริว่า " เราจะทำการฉลองปราสาท จึง
ตรัสสั่งให้นิมนต์พระศาสดา ทรงทำการประพรมในปราสาทด้วยของหอม
ที่ผสมกัน 4 อย่าง ทรงลาดแผ่นผ้าน้อย ตั้งแต่ธรณีแรก. ได้ยินว่าท้าว
เธอไม่มีพระโอรส, เพราะฉะนั้น จึงทรงดำริว่า " ถ้าเราจักได้บุตรหรือ
ธิดาไซร้. พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยนี้ แล้วจึงทรงลาด. ท้าว
เธอ เมื่อพระศาสดาเสด็จมา ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์
แล้ว รับบาตร กราบทูลว่า " ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิด พระเจ้าข้า "
พระศาสดาไม่เสด็จเข้าไป. ท้าวเธอทรงอ้อนวอนถึง 2 - 3 ครั้ง พระ-
ศาสดาก็ยังไม่เสด็จเข้าไป ทรงแลดูพระอานนท์.
พระเถระทราบความที่ไม่ทรงเหยียบผ้าทั้งหลาย ด้วยสัญญาที่พระองค์
ทรงแลดูนั่นเอง จึงทูลให้พระราชกุมารเก็บผ้าทั้งหลายเสีย ด้วยคำว่า
1. ผู้มีท่อนไม้เป็นพาหนะ หรือผู้มีพาหนะอันทำด้วยท่อนไม้.

" พระราชกุมาร ขอพระองค์ทรงเก็บผ้าทั้งหลายเสียเถิด. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจักไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้า, (เพราะ) พระตถาคตทรงเล็งดูหมู่ชน
ผู้เกิดภายหลัง."

พระศาสดาตรัสบอกเหตุที่ไม่ทรงเยียบผ้า


ท้าวเธอทรงเก็บผ้าทั้งหลายแล้ว ทูลอาราธนาพระศาสดาให้เสด็จ
เข้าไปภายใน ทรงเลี้ยงดูให้อิ่มหนำด้วยยาคูและของเคี้ยว แล้วนั่งอยู่ ณ
ส่วนข้างหนึ่ง ถวายบังคมแล้วทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน
เป็นอุปัฏฐากของพระองค์ ถึง (พระองค์) ว่าเป็นที่พึ่งถึง 3 ครั้งแล้ว
(คือ) นัยว่า ข้าพระองค์อยู่ในท้อง ถึง (พระองค์) ว่าเป็นที่พึ่งครั้งที่ 1,
แม้ครั้งที่ 2 ในเวลาที่หม่อมฉันเป็นเด็กรุ่นหนุ่ม, แม้ครั้งที่ 3 ในกาล
ที่หม่อมฉัน ถึงความเป็นผู้รู้ดีรู้ชั่ว; พระองค์ไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อย
ของหม่อมฉันนั้น เพราะเหตุอะไร ? "
พระศาสดา. ราชกุมาร ก็พระองค์ทรงดำริอย่างไร ? จึงลาดแผ่น
ผ้าน้อย.
ราชกุมาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคิดดังนี้ว่า " ถ้าเรา
จักได้บุตรหรือธิดาไซร้. พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของเรา."
แล้วจึงลาดแผ่นผ้าน้อย.
พระศาสดา. ราชกุมาร เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงไม่เหยียบ.
ราชกุมาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็หม่อมฉันจักไม่ได้บุตรหรือ
ธิดาเลยเทียวหรือ ?
พระศาสดา. อย่างนั้น ราชกุมาร.
ราชกุมาร. เพาระเหตุไร ? พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. เพราะความที่พระองค์กับพระชายา เป็นผู้ถึงความ
ประมาทแล้วในอัตภาพก่อน.
ราชกุมาร. ในกาลไหน ? พระเจ้าข้า.

บุรพกรรมของโพธิราชกุมาร


ลำดับนั้น พระศาสดาทรงนำอดีตนิทาน มาแสดงแด่พระราชกุมาร
นั้น:-
ดังได้สดับมา ในอดีตกาล มนุษย์หลายร้อยคนแล่นเรือลำใหญ่
ไปสู่มหาสมุทร. เรืออับปางในกลางสมุทร สองสามีภรรยาคว้าได้เเผ่น
กระดานแผ่นหนึ่ง (อาศัย) ว่ายเข้าไปสู่เกาะน้อยอันมีในระหว่าง มนุษย์
ที่เหลือทั้งหมดตายในมหาสมุทรนั้นนั่นแล. ก็หมู่นกเป็นอันมากอย่ที่เกาะ
นั้นแล เขาทั้งสองไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรกินได้ ถูกความหิวครอบงำแล้ว
จึงเผาฟองนกทั้งหลายที่ถ่านเพลิงแล้วเคี้ยวกิน. เมื่อฟองนกเหล่านั้นไม่
เพียงพอ ก็จับลูกนกทั้งหลายปิ้งกิน. เมื่อลูกนกเหล่านั้นไม่เพียงพอ
ก็จับนกทั้งหลาย (ปิ้ง) กิน. ในปฐมวัยก็ดี มัชฌิมวัยก็ดี ปัจฉิมวัยก็ดี
ได้เคี้ยวกินอย่างนี้แหละ. แม้ในวันหนึ่ง ก็มิได้ถึงความไม่ประมาท อนึ่ง
บรรดาชน 2 คนนั้น เเม้คนหนึ่งไม่ได้ถึงความไม่ประมาท.

พึงรักษาตนไว้ให้ดีในวัยทั้งสาม


พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุรพกรรมนี้ ของโพธิราชกุมารนั้นแล้ว
ตรัสว่า " ราชกุมาร ก็ในกาลนั้น ถ้าพระองค์กับภรรยาจักถึงความไม่
ประมาท แม้ในวัยหนึ่งไซร้ บุตรหรือธิดาพึงเกิดขึ้นแม้ในวัยหนึ่ง; ก็ถ้า
บรรดาท่านทั้งสองแม้คนหนึ่ง จักได้เป็นผู้ไม่ประมาทแล้วไซร้. บุตรหรือ
ธิดา จักอาศัยผู้ไม่ประมาทนั้นเกิดขึ้น, ราชกุมาร ก็บุคคลเมื่อสำคัญตน

อยู่ว่า เป็นที่รัก พึงไม่ประมาท รักษาตนแม้ในวัยทั้งสาม เมื่อไม่อาจ
(รักษา) ได้อย่างนั้น พึงรักษาให้ได้แม้ในวัยหนึ่ง " ดังนี้แล้ว จึงตรัส
พระคาถานี้ว่า :-
1. อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา รกฺเขยฺย นํ สุรกฺขิตํ
ติณฺณํ อญฺญตรํ ยามํ ปฏิชคฺเคยฺย ปณฺฑิโต.
" ถ้าบุคคลทราบตนว่า เป็นที่รัก พึงรักษาตนนั้น
ให้เป็นอันรักษาด้วยดี, บัณฑิตพึงประคับประคอง
(ตน) ตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนึ่ง."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยามํ นี้ พระศาสดาทรงแสดงทำวัยทั้ง
3 วัยด้วยหนึ่งให้ชื่อว่า ยาม เพราะความที่พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในธรรม
และเพราะความที่พระองค์ทรงฉลาดในเทศนาวิธี เพราะเหตุนั้น ในพระ-
คาถานี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความอย่างนั้นว่า " ถ้าบุคคลทราบตนว่า เป็น
ที่รัก. พึงรักษาตนนั้น ให้เป็นอันรักษาดีแล้ว; คือพึงรักษาตนนั้น โดย
ประการที่ตนเป็นอันรักษาดีแล้ว."
บรรดาชนผู้รักษาตนเหล่านั้น ถ้าผู้เป็นคฤหัสถ์คิดว่า ' จักรักษาตน '
ดังนี้แล้ว เข้าไปสู่ห้องที่เขาปิดไว้ให้เรียบร้อย เป็นผู้มีอารักขาสมบูรณ์
อยู่บนพื้นปราสาทชั้นบนก็ดี. ผู้เป็นบรรพชิต อยู่ในถ้ำอันปิดเรียบร้อย
มีประตูและหน้าต่างอันปิดแล้วก็ดี ยังไม่ชื่อว่ารักษาตนเลย. แต่ผู้เป็น
คฤหัสถ์ทำบุญทั้งหลายมีทาน ศีล เป็นต้นตามกำลังอยู่. หรือผู้เป็นบรรพชิต
ถึงความขวนขวายในวัตร ปฏิวัตร ปริยัติ และการทำไว้ในใจอยู่ ชื่อว่า
ย่อมรักษาตน.

บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อไม่อาจ (ทำ) อย่างนั้นได้ในวัย (ต้อง)
ประคับประคองตนไว้ แม้ในวัยใดวัยหนึ่งก็ได้เหมือนกัน. ก็ถ้าผู้เป็น
คฤหัสถ์ ไม่อาจทำกุศลได้ในปฐมวัย เพราะความเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในการ
เล่นไซร้. ในมัชฌิมวัย พึงเป็นผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญกุศล. ถ้าในมัชฌิมวัย
ยังต้องเลี้ยงบุตรและภรรยา ไม่อาจบำเพ็ญกุศลได้ไซร้. ในปัจฉิมวัย พึง
บำเพ็ญกุศลให้ได้. ด้วยอาการแม้อย่างนี้ ตนต้องเป็นอันเขาประคับ
ประคองแล้วทีเดียว. แต่เมื่อเขาไม่ทำอย่างนั้น ตนย่อมชื่อว่า ไม่เป็นที่รัก.
ผู้นั้น (เท่ากับ) ทำตนนั้น ให้มีอบายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทีเดียว.
ก็ถ้าว่า บรรพชิต ในปฐมวัยทำการสาธยายอยู่ ทรงจำ บอก ทำ
วัตรและปฏิวัตรอยู่ เชื่อว่าถึงความประมาท ในมัชฌิมวัย พึงเป็นผู้ไม่
ประมาท บำเพ็ญสมณธรรม.
อนึ่ง ถ้ายังสอบถามอรรถกถาและวินิจฉัย และเหตุแห่งพระปริยัติ
อันตนเรียนแล้วในปฐมวัยอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาท ในมัชฌิมวัย. ใน
ปัจฉิมวัย พึงเป็นผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญสมณธรรม. ด้วยอาการแม้อย่างนี้
ตนย่อมเป็นอันบรรพชิตนั้น ประคับประคองแล้วทีเดียว. แต่เมื่อไม่ทำ
อย่างนั้น ตนย่อมชื่อว่า ไม่เป็นที่รัก. บรรพชิตนั้น (เท่ากับ) ทำตนนั้น
ให้เดือดร้อน ด้วยการตามเดือดร้อนในภายหลังแท้.
ในกาลจบเทศนา โพธิราชกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว พระ-
ธรรมเทศนาได้สำเร็จประโยชน์ แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องโพธิราชกุมาร จบ.

2. เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [128]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอุป-
นันทศากยบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตานเมว ปฐมํ " เป็นต้น.

พระเถระออกอุบายหาลาภ


ดังได้สดับมา พระเถระนั้นฉลาดกล่าวธรรมกถา. ภิกษุเป็นอันมาก
ฟังธรรมกถาอันปฏิสังยุตด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยเป็นต้น ของ
ท่านแล้ว จึงบูชาท่านด้วยจีวรทั้งหลาย สมาทานธุดงค์. พระอุปนันทะนั้น
รูปเดียว รับเอาบริขารที่ภิกษุเหล่านั้นสละแล้ว.
เมื่อภายในกาลฝนหนึ่งใกล้เข้ามา พระอุปนันทะนั้นได้ไปสู่ชนบท
แล้ว. ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรในวิหารแห่งหนึ่ง กล่าวกะท่าน
ด้วยความรักในธรรมกถึกว่า " ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเข้าพรรษาในที่นี้
เถิด. " พระอุปนันทะถามว่า " ในวิหารนี้ ได้ผ้าจำนำพรรษากี่ผืน ? "
เมื่อภิกษุเหล่านั้น ตอบว่า " ได้ผ้าสาฎกองค์ละผืน " จึงวางรองเท้าไว้ใน
วิหารนั้น ได้ไปวิหารอื่น, ถึงวิหารที่ 2 แล้วถามว่า " ในวิหารนี้ ภิกษุ
ทั้งหลายได้อะไร ? " เมื่อพวกภิกษุตอบว่า " ได้ผ้าสาฎก 2 ผืน " จึงวาง
ไม้เท้าไว้. ถึงวิหารที่ 3 ถามว่า " ในวิหารนี้ ภิกษุทั้งหลายได้อะไร "
เมื่อพวกภิกษุตอบว่า " ได้ผ้าสาฎก 3 ผืน. " จึงวางลักจั่นน้ำไว้; ถึง
วิหารที่ 4 ถามว่า " ในวิหารนี้ ภิกษุทั้งหลายได้อะไร ? " เมื่อพวกภิกษุ
ตอบว่า " ได้ผ้าสาฎก 4 ผืน. " จึงกล่าวว่า " ดีละ เราจักอยู่ในที่นี้ "
ดังนี้แล้ว เข้าพรรษาในวิหารนั้น กล่าวธรรมกถาแก่คฤหัสถ์เเละภิกษุ
ทั้งหลายนั่นแล. คฤหัสถ์และภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น บูชาพระอุปนันทะ

นั้นด้วยผ้าและจีวรเป็นอันมากทีเดียว. พระอุปนันทะนั้นออกพรรษาแล้ว
ส่งข่าวไปในวิหารแม้นอกนี้ว่า " เราควรได้ผ้าจำนำพรรษา เพราะเราวาง
บริขารไว้, ภิกษุทั้งหลายจงส่งผ้าจำนำพรรษาให้เรา " ให้นำผ้าจำนำ
พรรษาทั้งหมดมาแล้ว บรรทุกยานน้อยขับไป.

พระอุปนันทะตัดสินข้อพิพากษา


ครั้งนั้นภิกษุหนุ่ม 2 รูปในวิหารแห่งหนึ่ง ได้ผ้าสาฎก 2 ผืน
และผ้ากัมพลผืนหนึ่ง ไม่อาจจะแบ่งกันได้ว่า " ผ้าสาฎกจงเป็นของท่าน,
ผ้ากัมพลเป็นของเรา " นั่งทะเลาะกันอยู่ใกล้หนทาง. ภิกษุหนุ่ม 2 รูปนั้น
เห็นพระเถระนั้นเดินมา จึงกล่าวว่า " ขอท่านจงช่วยแบ่งให้แก่พวกผม
เถิด ขอรับ. "
เถระ. พวกคุณจงแบ่งกันเองเถิด.
ภิกษุ. พวกผมไม่สามารถ ขอรับ ขอท่านจงแบ่งให้พวกผมเถิด.
เถระ. พวกคุณจักตั้งอยู่ในคำของเราหรือ ?
ภิกษุ. ขอรับ พวกผมจักตั้งอยู่.
พระเถระนั้นกล่าวว่า " ถ้ากระนั้น ดีละ " ให้ผ้าสาฎก 2 ผืนแก่
ภิกษุหนุ่ม 2 รูปนั้นแล้ว กล่าวว่า " ผ้ากัมพลผืนนี้ จงเป็นผ้าห่มของเรา
ผู้กล่าวธรรมกถา " ดังนี้แล้ว ก็ถือเอาผ้ากัมพลมีค่ามากหลีกไป. พวก
ภิกษุหนุ่มเป็นผู้เดือดร้อน ไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลเนื้อความนั้น
แล้ว.

บุรพกรรมของพระอุปนันทะ


พระศาสดา ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย อุปนันทะนี้ถือเอาของ ๆ พวก

เธอ กระทำให้พวกเธอเดือดร้อนในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน
ก็ได้ทำแล้วเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัส) ว่า :-
ก็ในอดีตกาล นาก2 ตัว คือนากเที่ยวหากินตามริมฝั่ง 1 นาก
เที่ยวหากินทางน้ำลึก 1 ได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่ ถึงความทะเลาะกันว่า
" ศีรษะจงเป็นของเรา. หางจงเป็นของท่าน. " ไม่อาจจะแบ่งกันได้ เห็น
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง จึงกล่าวว่า " ลุง ขอท่านจงช่วยแบ่งปลานี้ ให้แก่
พวกข้าพเจ้า. "
สุนัขจิ้งจอก. เราอันพระราชาตั้งไว้ในตำแหน่งผู้พิพากษา, เรานั่ง
ในที่วินิจฉัยนั้นนานแล้ว จึงมาเสียเพื่อต้องการเดินเที่ยวเล่น.1 เดี๋ยวนี้
โอกาสของเราไม่มี.
นาก. ลุง ท่านอย่าทำอย่างนี้เลย. โปรดช่วยแบ่งให้พวกข้าพเจ้า
เถิด.
สุนัขจิ้งจอก. พวกเจ้าจักตั้งอยู่ในคำของเราหรือ ?
นาก. พวกข้าพเจ้าจักตั้งอยู่ ลุง.
สุนัขจิ้งจอกนั้น กล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้น ดีละ " จึงได้ตัดทำหัวไว้
ข้างหนึ่ง. หางไว้ข้างหนึ่ง; ก็แลครั้นทำแล้ว จึงกล่าวว่า " พ่อทั้งสอง
บรรดาพวกเจ้าทั้งสอง ตัวใดเที่ยวไปริมฝั่ง ตัวนั้นจึงถือทางหาง. ตัวใด
เที่ยวไปในน้ำลึก. ศีรษะจงเป็นของตัวนั้น. ส่วนท่อนกลางนี้จักเป็นของ
เรา ผู้ตั้งอยู่ในวินิจฉัยธรรม " เมื่อจะให้นากเหล่านั้นยินยอม จึงกล่าว
คาถา2นี้ว่า:-
1 . ชงฺฆวิหาร ศัพท์นี้ แปลว่า เดินเที่ยวเล่นหรือพักแข้ง. 2. ขุ. ชา. สัตตก. 27/216.
อรรถกถา. 5/137.

" หางเป็นของนาก ผู้เที่ยวหากินตามริมฝั่ง, ศีรษะ
เป็นของนาก ผู้เที่ยวหากินในน้ำลึก, ส่วนท่อน
กลางนี้ จักเป็นของเรา ผู้ตั้งอยู่ในธรรม."

ดังนี้แล้ว คาบเอาท่อนกลางหลีกไป. แม้นากทั้งสองนั้นเดือดร้อน ได้
ยืนแลดูสุนัขจิ้งจอกนั้นแล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงแสดงเรื่องอดีตนี้แล้ว ตรัสว่า แม้ในอดีตกาล
อุปนันทะนี้ได้กระทำพวกเธอให้เดือดร้อนอย่างนี้เหมือนกัน " ให้ภิกษุเหล่า
นั้นยินยอมแล้ว เมื่อจะทรงติเตียนพระอุปนันทะ จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย
ธรรมดาผู้จะสั่งสอนผู้อื่น พึงให้ตนตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อนทีเดียว "
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
2. อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต.
" บัณฑิตพึงตั้งตนนั่นแล ในคุณอันสมควรก่อน.
พึงสั่งสอนผู้อื่นในภายหลัง. จะไม่พึงเศร้าหมอง. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปฏิรูเป นิเวสเย ได้แก่ พึง
ยังตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควร. พระศาสดาตรัสคำนี้ว่า " บุคคลใด
ประสงค์จะสั่งสอนผู้อื่น ด้วยคุณมีความปรารถนาน้อยเป็นต้น หรือด้วย
ปฏิปทาของอริยวงศ์เป็นต้น. บุคคลนั้น พึงยังตนนั่นแลให้ตั้งอยู่ในคุณ
นั้นก่อน; ครั้นตั้งตนไว้อย่างนั้นแล้ว พึงสั่งสอนผู้อื่น ด้วยคุณนั้นใน
ภายหลัง. ด้วยว่าบุคคล เมื่อไม่ยังตนให้ตั้งอยู่ในคุณนั้น สอนผู้อื่นอย่าง

เดียวเท่านั้น ได้ความนินทาจากผู้อื่นแล้ว ชื่อว่าย่อมเศร้าหมอง. บุคคล
เมื่อยังตนให้ตั้งอยู่ในคุณนั้นแล้ว สั่งสอนผู้อื่นอยู่ ย่อมได้รับความสรร-
เสริญจากผู้อื่น; เพราะฉะนั้นชื่อว่าย่อมไม่เศร้าหมอง. บัณฑิตเมื่อทำอยู่
อย่างนี้ ชื่อว่าไม่พึงเศร้าหมอง.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุสองรูปนั้น ดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล.
เทศนาได้เป็นไปกับด้วยประโยชน์แม้เเก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.

3. เรื่องพระปธานิกติสสเถระ [129]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระปธานิก-
ติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตานญฺเจ " เป็นต้น.

พระปธานิกติสสเถระดีแต่สอนคนอื่น ตนไม่ทำ


ดังได้สดับมา พระเถระนั้นเรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระ-
ศาสดาแล้ว พวกภิกษุประมาณ 500 รูปไปจำพรรษาในป่า กล่าวสอนว่า
"ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านเรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงพระชนม์อยู่, จงเป็นผู้ไม่ประมาท ทำสมณธรรมเถิด" ดังนี้แล้ว
ตนเองก็ไปนอนหลับ. ภิกษุเหล่านั้นจงกรมในปฐมยามแล้ว เข้าไปสู่วิหาร
ในมัชฌิมยาม. พระเถระนั้นไปสู่สำนักของภิกษุเหล่านั้น ในเวลาตนนอน
หลับแล้วตื่นขึ้น กล่าวว่า "พวกท่านมาด้วยหวังว่า 'จักหลับนอน' ดังนี้
หรือ ? จงรีบออกไปทำสมณธรรมเถิด" ดังนี้แล้ว ตนเองก็ไปนอน
เหมือนอย่างนั้นนั่นแล. พวกภิกษุนอกนี้ จงกรมในภายนอกในมัชฌิมยาม
แล้ว เข้าไปสู่วิหารในปัจฉิมยาม. พระเถระนั้น ตื่นขึ้นแม้อีกแล้ว ไปสู่
สำนักของภิกษุเหล่านั้น นำภิกษุเหล่านั้นออกจากวิหารแล้ว ตนเองก็ไป
นอนหลับเสียอีก. เมื่อพระเถระนั้นกระทำอยู่อย่างนั้น ตลอดกาลเป็นนิตย์.
ภิกษุเหล่านั้นไม่สามารถจะทำการสาธยายหรือทำพระกัมมัฏฐานไว้ในใจได้.
จึงได้ถึงความฟุ้งซ่านแล้ว. ภิกษุเหล่านั้นปรึกษากันว่า " อาจารย์ของพวก
เรา ปรารภความเพียรเหลือเกิน, พวกเราจักคอยจับท่าน " เมื่อคอยจับอยู่
เห็นกิริยาของพระเถระนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า " ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกเรา
ฉิบหายแล้ว, อาจารย์ของพวกเราย่อมร้องเปล่า ๆ " บรรดาภิกษุเหล่านั้น