เมนู

" ท่านผู้เจริญ ขอท่านบวชให้ผมเถิด " แล้วบรรพชาในสำนักของภิกษุ
เหล่านั้น.

บิดาออกบวชตามบุตร


ลำดับนั้น บิดาของเขา (กลับ) มาแล้ว ถามมารดาว่า " ลูกของ
เราไปไหน ? " มารดาตอบว่า " นาย เมื่อกี้นี้อยู่ที่นี่ " บิดานั้นก็ค้นดู
เพื่อรู้ว่า " บุตรของเราอยู่ที่ไหนหนอแล ? " ไม่เห็นเขาแล้ว " คิดว่า
ลูกของเราจักไปวิหาร " จึงไปสู่วิหารแล้ว เห็นบุตรบวชแล้ว คร่ำครวญ
ร้องไห้แล้ว กล่าวว่า " พ่อ ทำไมเจ้าจึงทำให้เราพินาศ ? " ดังนี้แล้ว
คิดว่า " ก็เมื่อบุตรของเราบวชแล้ว บัดนี้ เราจักทำอะไรในเรือน "
ดังนี้ ตนเองก็บวชแล้วในสำนักของภิกษุทั้งหลาย.

มารดาออกบวชตามบุตรและสามี


ลำดับนั้น มารดาของเขาคิดว่า " ทำไมหนอ ลูกและผัวของเรา
จึงชักช้าอยู่, จักไปวิหารบวชเสียแล้วกระมัง ? " มองหาชนทั้งสองนั้น
พลางไปวิหารเห็นชนแม้ทั้งสองบวชแล้ว คิดว่า " ประโยชน์อะไร ด้วย
เรือนของเรา ในกาลแห่งชนทั้งสองนี้บวชแล้ว ? " แม้ตนเอง ก็ไปสู่
สำนักภิกษุณี บวชแล้ว.

ชนทั้งสามแม้บวชก็ยังคลุกคลีกัน


ชนทั้งสามนั้นแม้บวชแล้ว ก็ไม่อาจแยกกันอยู่ได้. นั่งสนทนา
รวมกันเทียว ปล่อยวันให้ล่วงไปทั้งในวิหาร ทั้งในสำนักภิกษุณี. เหตุนั้น
ทั้งพวกภิกษุ ทั้งพวกภิกษุณี จึงเป็นอันถูกเบียดเบียนแล้ว. ต่อมาวันหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลการกระทำของชนทั้งสามนั้น แด่พระศาสดา.

พระศาสดาตรัสเรียกมาเตือน


พระศาสดา รับสั่งให้เรียกชนทั้งสามนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า
" ได้ยินว่า พวกเธอทำอย่างนั้นจริงหรือ ? " เมื่อชนเหล่านั้นทูลว่า " จริง
พระเจ้าข้า, " ตรัสถามว่า " ทำไม พวกเธอจึงทำอย่างนั้น ? เพราะว่า
นั่นไม่ใช่ความเพียรของพวกบรรพชิต. "
ชนทั้งสามกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่
แยกกัน." พระศาสดาตรัสว่า " ชื่อว่าการทำอย่างนั้น จำเดิมแต่กาลแห่งตน
บวชแล้ว ไม่ควร, เพราะว่า การไม่เห็นสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก และ
การเห็นสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์โดยแท้; เหตุนั้น การ
ทำบรรดาสัตว์และสังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เป็นที่รัก หรือไม่
ให้เป็นที่รัก ย่อมไม่สมควร " ดังนี้แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
1. อโยเค ยุญฺชมตฺตานํ โยคสฺมิญฺจ อโยชยํ
อตฺถํ หิตฺวา ปิยคฺคาหี ปิเหตตฺตานุโยคินํ.
มา ปิเยหิ สมาคญฺฉิ อปฺปิเยหิ กุทาจนํ
ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกฺขํ อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ
ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ ปิยาปาโย หิ ปาปโก
คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ เยสํ นตฺถิ ปิยาปฺปิยํ.
" บุคคล ประกอบตนไว้ในสิ่งอันไม่ควรประกอบ
และไม่ประกอบไว้ในสิ่งอันควรประกอบ ละเสียแล้ว
ซึ่งประโยชน์ ถือเอาอารมณ์อันเป็นที่รัก ย่อมทะเยอ
ทะยาน ต่อบุคคลผู้ตามประกอบตน, บุคคลอย่า
สมาคมกับสัตว์และสังขารทั้งหลาย อันเป็นที่รัก

(และ)อันไม่เป็นที่รักในกาลไหน ๆ, (เพราะว่า) การ
ไม่เห็นสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก และการเห็นสัตว์
และสังขารอันไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์; เพราะเหตุนั้น
บุคคลไม่พึงกระทำสัตว์หรือสังขาร ให้เป็นที่รัก.
เพราะความพรากจากสัตว์ และสังขารอันเป็นที่รักเป็น
การต่ำทราม. กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ของ
เหล่าบุคคลผู้ไม่มีอารมณ์อันเป็นที่รัก และไม่เป็นที่รัก
ย่อมไม่มี."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโยเค ความว่า ในสิ่งอันไม่ควรประกอบ
คือการทำในใจโดยไม่แยบคาย. อธิบายว่า ก็การเสพอโคจร 6 อย่าง
ต่างโดยอโคจรมีอโคจรคือหญิงแพศยาเป็นต้น ชื่อว่าการทำในใจโดยไม่
แยบคายในที่นี้. บุคคลประกอบตนในการทำในใจโดยไม่แยบคายนั้น.
บทว่า โยคสฺมึ ความว่า และไม่ประกอบ (ตน)ในโยนิโสมนสิการ
อันผิดแผกจากอโยนิโสมนสิการนั้น.
สองบทว่า อตฺถํ หิตฺวา ความว่า หมวด 3 แห่งสิกขามีอธิสีลสิกขา
เป็นต้น จำเดิมแต่กาล [แห่งตน] บวชแล้ว ชื่อว่าประโยชน์. ละเสียแล้ว
ซึ่งประโยชน์นั้น.
บทว่า ปิยคฺคาหี ความว่า ถือเอาอยู่ซึ่งอารมณ์อันเป็นที่รักกล่าว
คือกามคุณ 5 เท่านั้น.
บทว่า ปิเหตตฺตานุโยคินํ ความว่า บุคคลเคลื่อนแล้วจากศาสนา
เพราะความปฏิบัตินั้น ถึงความเป็นคฤหัสถ์แล้ว ภายหลังย่อมทะเยอทะยาน

ต่อบุคคลทั้งหลาย ผู้ตามประกอบตน ยังคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้นให้ถึง
พร้อมแล้ว. สักการะจากสำนักเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือย่อมปรารถนา
ว่า " โอหนอ แม้เราก็พึงเป็นผู้เช่นนี้. "
บทว่า มา ปิเยหิ ความว่า บุคคลไม่พึงสมาคมด้วยสัตว์หรือสังขาร
ทั้งหลายอันเป็นที่รัก ในกาลไหนๆ คือแม้ชั่วขณะหนึ่ง, สัตว์หรือสังขาร
ทั้งหลายอันไม่เป็นที่รัก ก็เหมือนกัน. ถามว่า เพราะเหตุไร ? แก้ว่า
เพราะว่าการไม่เห็นสัตว์และสังขารทั้งหลายอันเป็นที่รัก ด้วยอำนาจความ
พลัดพราก และการเห็นสัตว์และสังขารทั้งหลายอันไม่เป็นที่รัก ด้วยอำนาจ
เข้าไปใกล้ เป็นทุกข์.
บทว่า ตสฺมา ความว่า และการเห็นและไม่เห็นทั้งสองนี้เป็นทุกข์.
เหตุนั้น บุคคลไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารไร ๆ ให้เป็นที่รักเลย.
ความไปปราศ คือความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารทั้งหลาย อัน
เป็นที่รัก ชื่อว่า ปิยาปาโย. บทว่า ปาปโก ได้แก่ ลามก.
บาทพระคาถาว่า คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ ความว่า ชนเหล่าใด
มีอารมณ์เป็นที่รัก. ชนเหล่านั้น ย่อมละกิเลสเครื่องร้อยรัดทางกายคือ
อภิชฌาเสียได้. ชนเหล่าใด ไม่มีอารมณ์อันไม่เป็นที่รัก. ชนเหล่านั้น
ย่อมละกายคันถะคือพยาบาทเสียได้ ก็เมื่อละกิเลส 2 อย่างนั้นได้แล้ว แม้
กิเลสเครื่องร้อยรัดที่เหลือ ก็เป็นอันชื่อว่าละได้เเล้ว (เหมือนกัน); เหตุนั้น
บุคคลไม่พึงทำอารมณ์ให้เป็นที่รักหรือไม่ให้เป็นที่รัก.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น. ฝ่ายชนทั้งสามนั้นคิดว่า " พวกเราไม่อาจอยู่พรากกัน
ได้ " ดังนี้แล้วได้สึกไปสู่เรือนตามเดิม ดังนี้แล.
เรื่องบรรพชิต 3 รูป จบ.

2. เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง [166]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกุฎุมพีคนใด
คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา " ปิยโต ชายตี1 " เป็นต้น.

พระศาสดาเสด็จไประงับความโศกของพราหมณ์


ความพิสดารว่า กุฏุมพีนั้น ครั้นบุตรของตนทำกาละแล้ว. อัน
ความโศกถึงบุตรครอบงำ ไปสู่ป่าช้า ร้องไห้อยู่, ไม่อาจที่จะหักห้าม
ความโศกถึงบุตรได้.
พระศาสดาทรงพิจารณาดูสัตว์โลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัย
โสดาปัตติมรรคของกุฎุมพีนั้น กลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้ทรงพาภิกษุผู้
เป็นปัจฉาสมณะรูปหนึ่ง เสด็จไปประตูเรือนของกุฎุมพีนั้น กุฎุมพีนั้น
ได้ฟังความที่พระศาสดาเสด็จมา คิดว่า " พระศาสดาจักทรงประสงค์เพื่อ
ทำปฏิสันถารกับด้วยเรา " จึงอัญเชิญพระศาสดาให้เสด็จไปสู่เรือน ปู
อาสนะไว้ในท่ามกลางเรือน เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้ว, ก็มาถวาย
บังคมเเล้วนั่ง ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามกุฎุมพีนั้นว่า " อุบาสก ท่านต้อง
ทุกข์เพราะเหตุอะไรหนอแล ? " เมื่อกุฎุมพีนั้น กราบทูลทุกข์เพราะพลัด
พรากจากบุตรแล้ว. ตรัสว่า " อย่าคิดเลย อุบาสก. ชื่อว่าความตายนี้
มิใช่มีอยู่ในที่เดียว. และมิใช่มีจำเพาะแก่บุคคลผู้เดียว, ก็ชื่อว่าความเป็น
ไปแห่งภพ ยังมีอยู่เพียงใด. ความตายก็ย่อมมีแก่สรรพสัตว์เพียงนั้น
เหมือนกัน; แม้สังขารอันหนึ่ง ที่ชื่อว่าเที่ยงย่อมไม่มี; เพราะเหตุนั้น
1. โบราณว่า ชายเต.

ท่านพึงพิจารณาโดยอุบายอันแยบคายว่า ' ธรรมชาติมีความตายเป็นธรรมดา
ตายเสียแล้ว, ธรรมชาติมีความแตกเป็นธรรมดา แตกเสียแล้ว,' ไม่พึง
เศร้าโศก; เพราะว่าโบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ในกาลที่ลูกรักตายแล้ว
พิจารณาว่า ' ธรรมชาติมีความตายเป็นธรรมดา ตายเสียแล้ว. ธรรมชาติ
มีความแตกเป็นธรรมดา แตกเสียแล้ว ่ ดังนี้แล้ว ไม่ทำความเศร้าโศก
เจริญมรณัสสติอย่างเดียว " อันกุฎุมพีทูลอ้อนวอนว่า " ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ บัณฑิตพวกไหน ได้ทำแล้วอย่างนั้น; และได้ทำในกาลไร ? ขอ
พระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ " เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น
จึงทรงนำอดีตนิทานมา ยังอุรคชาดก1ในปัญจกนิบาตนี้ให้พิสดารว่า :-
" บุตรของเรา เมื่อสรีระใช้ไม่ได้ ละสรีระของ
ตนไป ดุจงูลอกคราบเก่าฉะนั้น, เมื่อบุตรของเราตาย
จากไปแล้ว, เขาถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้ปริเทวนาการ
ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงบุตร
นั่น; เขามีคติเช่นใด ก็ไปสู่คติเช่นนั้น (เอง) "

ดังนี้แล้ว จึงตรัส (ต่อไปอีก) ว่า " บัณฑิตในกาลก่อนเมื่อลูกรักทำกาละ
แล้วอย่างนั้น. ไม่ประพฤติอย่างท่าน ผู้ทอดทิ้งการงานแล้วอดอาหาร
เที่ยวร้องไห้อยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ทำความโศก ด้วยอำนาจมรณัสสติภาวนา
รับประทานอาหาร และอธิษฐาน (ตั้งใจทำ) การงาน, เพราะฉะนั้น
ท่านอย่าคิดว่า ' ลูกรักของเรากระทำกาละแล้ว, ' แท้จริง ความโศกก็ดี
ภัยก็ดี เมื่อจะเกิดย่อมอาศัยของที่รักนั่นเองเกิด " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระ-
คาถานี้ว่า :-
1. ขุ. ชา. อรรถกถา. 4/430.

2. ปิยโต ชายตี โสโก ปิยโต ชายตี ภยํ
ปิยโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก, ภัย ย่อมเกิด
แต่ของที่รัก; ความโศก ย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้อง
ได้จากของที่รัก, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิยโต เป็นต้น ความว่า ก็ความโศก
ก็ดี ภัยก็ดี อันมีวัฏฏะเป็นมูล เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมอาศัยสัตว์หรือสังขาร
อันเป็นที่รักเท่านั้นเกิด, แต่ความโศกและภัยแม้ทั้งสองนั่นย่อมไม่มีแก่ผู้
ปลดเปลื้องจากสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักนั้นได้เเล้ว.
ในกาลจบเทศนา กุฎุมพีตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. เทศนาได้มี
ประโยชน์แก่ชนผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง จบ.

3. เรื่องนางวิสาขาอุบาสิกา [167]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางวิสาขา
อุบาสิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เปมโต ชายตี " เป็นต้น.

นางวิสาขาโศกถึงนางสุทัตตีที่ทำกาละ


ได้ยินว่า นางวิสาขานั้นตั้งกุมาริกาชื่อว่าสุทัตตี ผู้เป็นธิดาของบุตร
ไว้ในหน้าที่ของตน ให้ทำความขวนขวายแก่ภิกษุสงฆ์ในเรือน.
โดยสมัยอื่น กุมาริกานั้นได้ทำกาละแล้ว, นางวิสาขาให้ทำการฝัง
สรีระ (ศพ) นางแล้ว ไม่อาจจะอดกลั้นความโศกไว้ได้ มีทุกข์เสียใจไป
สู่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

พระศาสดาตรัสอุบายระงับความโศก


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า " วิสาขา ทำไมหนอเธอจึง
มีทุกข์เสียใจ มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา นั่งร้องไห้อยู่ ? " นางจึงทูลข้อความ
นั้น แล้วกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า นางกุมารีนั้นเป็นที่รักของหม่อมฉัน
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร, บัดนี้หม่อมฉันไม่เห็นใครเช่นนั้น. "
พระศาสดา. วิสาขา ก็ในกรุงสาวัตถีมีมนุษย์ประมาณเท่าไร ?
วิสาขา. พระเจ้าข้า พระองค์นั่นแหละ ตรัสแก่หม่อมฉันว่า ' ใน
กรุงสาวัตถี มีชน 7 โกฏิ.'
พระศาสดา. ก็ถ้าชนมีประมาณเท่านี้ ๆ พึงเป็นเช่นกับหลานสาว
ของเธอไซร้ เธอพึงปรารถนาเขาหรือ ?
นางวิสาขา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. ก็ชนในกรุงสาวัตถีทำกาละวันละเท่าไร ?
นางวิสาขา. มาก พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาที่เธอจะเศร้าโศกก็จะไม่พึงมี
มิใช่หรือ ? เธอพึงเที่ยวร้องไห้อยู่ทั้งกลางคืนและกลางวันทีเดียวหรือ ?
นางวิสาขา. ยกไว้เถิด พระเจ้าข้า. หม่อมฉันทราบแล้ว.
ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสกะนางว่า " ถ้ากระนั้น เธออย่าเศร้า
โศก. ความโศกก็ดี ความกลัวก็ดี ย่อมเกิดแต่ความรัก " ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. เปมโต ชายตี โสโก เปมโต ชายตี ภยํ
เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่
ความรัก; ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจาก
ความรัก, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เปมโต ความว่า เพราะอาศัยความรัก
ที่ทำไว้ในบุตรและธิดาเป็นต้นนั่นเอง.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องนางวิสาขาอุบาสิกา จบ.

4. เรื่องเจ้าลิจฉวี [168]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยเมืองเวสาลี ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา
ทรงปรารภพวกเจ้าลิจฉวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " รติยา ชายตี "
เป็นต้น.

พวกเจ้าลิจฉวีแต่งกายประกวดกัน


ได้ยินว่า ในวันมหรสพวันหนึ่ง เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ต่างองค์ต่าง
ประดับด้วยเครื่องประดับไม่เหมือนกัน ออกจากพระนครเพื่อทรงประสงค์
จะเสด็จไปอุทยาน. พระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ทรงเห็นเจ้าลิจฉวี
เหล่านั้น จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอจงดูพวกเจ้าลิจฉวี, พวกที่ไม่เคยเห็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็จงดูเจ้าลิจฉวี
เหล่านี้เถิด " ดังนี้แล้ว เสด็จเข้าสู่พระนคร.

พวกเจ้าลิจฉวีวิวาทกันเพราะหญิงนครโสภิณี


แม้เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น เมื่อไปสู่อุทยาน พาหญิงนครโสภิณีคนหนึ่ง
อาศัยหญิงนั้น อันความริษยาครอบงำแล้ว ประหารกันและกัน ยังเลือด
ให้ไหลนองดุจแม่น้ำ.
ครั้งนั้น พวกเจ้าพนักงานเอาเตียงหามเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นมาแล้ว.
ฝ่ายพระศาสดา ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็เสด็จออกจากพระนคร. พวก
ภิกษุเห็นพวกเจ้าลิจฉวี อันเจ้าพนักงานนำไปอยู่อย่างนั้น จึงกราบทูล
พระศาสดาว่า " พระเจ้าข้า พวกเจ้าลิจฉวีเมื่อเช้าตรู่ ประดับประดา
แล้วออกจากพระนครราวกะพวกเทวดา. บัดนี้อาศัยหญิงคนหนึ่งถึงความ
พินาศนี้แล้ว."