เมนู

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า

นปฺปสเหยฺย มจฺจุ

ความว่า
ประเทศคือแผ่นดิน แม้เพียงเท่าปลายผม ที่มรณะไม่พึงย่ำยี คือไม่พึง
ครอบงำผู้สถิตอยู่ ย่อมไม่มี คำที่เหลือ ก็เช่นกับคำก่อนนั่นเทียวดังนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

ม้ามงคลเป็นเหตุให้ท้าวเธอเสด็จลงจากปราสาท


ในวันที่ 7 ในเวลาคล้ายกับเวลาที่เจ้าสุปปพุทธะปิดหนทางภิกษา-
จารของพระศาสดา ม้ามงคลของเจ้าสุปปพุทธะในภายใต้ปราสาทคึก
คะนอง กระแทกแล้วซึ่งฝานั้น ๆ.
ท้าวเธอประทับนั่งอยู่ชั้นบนนั่นเอง ได้สดับเสียงของม้านั้น จึง
ตรัสถามว่า " นั่นอะไรกัน ? " พวกมหาดเล็กทูลว่า " ม้ามงคลคะนอง. "
ส่วนม้านั้น พอเห็นเจ้าสุปปพุทธะ ก็หยุดนิ่ง.

เกิดเหตุน่าประหลาดเพราะกรรมชั่ว


ขณะนั้น ท้าวเธอมีพระประสงค์จะจับม้านั้น ได้เสด็จลุกจากที่
ประทับบ่ายพระพักตร์มาทางประตู. ประตูทั้งหลายเปิดเองทีเดียว; บันได
ตั้งอยู่ในที่ของตนตามเดิม. คนแข็งแรงผู้ยืนอยู่ที่ประตูจับท้าวเธอที่พระศอ
ผลักให้มีพระพักตร์คะมำลงไป. โดยอุบายนั้นประตูที่พื้นทั้ง 7 ก็เปิดเอง
ทีเดียว บันไดทั้งหลายก็ดังอยู่ในที่เดิม. พวกคนที่แข็งแรง (ประจำอยู่)
ที่ชั้นนั้น ๆ จับท้าวเธอที่พระศอเทียวแล้วผลักให้มีพระพักตร์คะมำลงไป.

ท้าวเธอถูกแผ่นดินสูบไปเกิดในอเวจีนรก


ขณะนั้น มหาปฐพีแตกแยกออกคอยรับเจ้าสุปปพุทธะนั้นผู้ถึงที่
ใกล้เชิงบันไดที่ภายใต้ปราสาทนั่นเอง. ท้าวเธอไปบังเกิดในอเวจีนรก
แล้วแล.
เรื่องเจ้าสุปปพุทธศากยะ จบ
ปาปวรรควรรณนา จบ
วรรคที่ 9 จบ.

คาถาธรรมบท


ทัณฑวรรค1ที่ 10


ว่าด้วยอาชญามีผล


[20] 1. สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา สัตว์
ทั้งหมดย่อมกลัวต่อความตาย บุคคลทำตนให้เป็น
อุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.

2. สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา ชีวิต
ย่อมเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหมด บุคคลควรทำตนให้
เป็นอุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้ฆ่า.

3. สัตว์ผู้เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่สุข บุคคล
ใดแสวงหาสุขเพื่อตน แต่เบียดเบียนสัตว์อื่นด้วย
ท่อนไม้ บุคคลนั้นละไปแล้วย่อมไม่ได้สุข สัตว์ผู้
เกิดแล้วทั้งหลายเป็นผู้ใคร่สุข บุคคลใดแสวงหาสุข
เพื่อตน ไม่เบียดเบียน (ผู้อื่น) ด้วยท่อนไม้ บุคคล
นั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข.

4. เธออย่าได้กล่าวคำหยาบกะใครๆ ชนเหล่า
อื่นถูกเธอว่าแล้ว จะพึงว่าตอบเธอ.

5. นายโคบาล ย่อมต้อนโคทั้งหลายไปสู่ที่หา
กิน ด้วยท่อนไม้ฉันใด ชราและมัจจุย่อมต้อนอายุ
ของสัตว์ ทั้งหลายไปฉันนั้น.

1. วรรคที่ 10 มีอรรถกถา 11 เรื่อง.

6. อันคนพาล ทำกรรมทั้งหลายอันลามกอยู่
ย่อมไม่รู้ (สึก) บุคคลผู้มีปัญญาทราม ย่อมเดือดร้อน
ดุจถูกไฟไหม้ เพราะกรรมของตนเอง.

7. ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้าย
ทั้งหลาย ผู้ไม่มีอาชญาด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ
10 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือ ถึง
เวทนากล้า 1 ความเสื่อมทรัพย์ 1 ความสลายแห่ง
สรีระ 1 อาพาธหนัก 1 ความฟุ้งซ่านแห่งจิต 1
ความขัดข้องแต่พระราชา 1 การถูกกล่าวตู่อย่างร้าย
แรง 1 ความย่อยยับแห่งเครือญาติ 1 ความเสียหาย
แห่งโภคะทั้งหลาย 1 อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้
เรือนของเขา 1 ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงนรก.

8. การประพฤติเป็นคนเปลือย ก็ทำสัตว์ให้
บริสุทธิ์ไม่ได้ การเกล้าชฎาก็ไม่ได้ การนอนเหนือ
เปือกตมก็ไม่ได้ การไม่กินข้าวก็ดี การนอนบนแผ่น-
ดินก็ดี ความเป็นผู้มีกายหมักหมมด้วยธุลีก็ดี ความ
เพียรด้วยการนั่งกระหย่งก็ดี (แต่ละอย่าง) หาทำ
สัตว์ผู้ยังไม่ล่วงสงสัยให้บริสุทธิ์ได้ไม่.

9. แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ำ
เสมอ เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประ-


พฤติประเสริฐ วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก
บุคคลนั้นเป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ.

10. บุรุษผู้ห้ามอกุศลวิตก ด้วยหิริได้ น้อยคน
จะมีในโลก บุคคลใดกำจัดความหลับ ตื่นอยู่ เหมือน
ม้าดีหลบแส้ไม่ให้ถูกตน บุคคลนั้นหาได้ยาก ท่าน
ทั้งหลายจงมีความเพียร มีความสลดใจ เหมือนม้าดี
ถูกเขาตีด้วยแส้แล้ว (มีความบากบั่น) ฉะนั้น ท่าน
ทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ศีล วิริยะ สมาธิ
และด้วยคุณเครื่องวินิจฉัยธรรม มีวิชชาและจรณะ
ถึงพร้อม มีสติมั่นคง จักละทุกข์อันมีประมาณไม่
น้อยนี้ได้.

11. อันคนไขน้ำทั้งหลาย ย่อมไขน้ำ ช่างศร
ทั้งหลาย ย่อมดัดศร ช่างถากทั้งหลาย ย่อมถากไม้
ผู้สอนง่ายทั้งหลาย ย่อมฝึกตน.

จบทัณฑวรรคที่ 10

10. ทัณฑวรรควรรณนา


1. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ [107]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ
ฉัพพัคคีย์1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สพฺเพ ตสนฺติ" เป็นต้น.

เหตุทรงบัญญัติปหารทานสิกขาบท


ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อเสนาสนะอันภิกษุสัตตร2สพัคคีย์
ซ่อมแซมแล้ว ภิกษุฉัพพัคคีย์กล่าวว่า " พวกท่านจงออกไป, พวกผม
แก่กว่า, เสนาสนะนั่นถึงแก่พวกผม." เมื่อภิกษุสัตตรสพัคคีย์เหล่านั้น
พูดว่า " พวกผมจักไม่ยอมให้, (เพราะ) พวกผมซ่อมแซมไว้ก่อน " ดังนี้
แล้ว จึงประหารภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุสัตตรสพัคคีย์ถูกมรณภัยคุกคามแล้ว
จึงร้องเสียงลั่น.
พระศาสดา ทรงสดับเสียงของภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า " อะไร
กันนี่ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " เรื่องชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จำเดิมแต่นี้ ธรรมดาภิกษุไม่ควรทำอย่างนั้น, ภิกษุ
ใดทำ, ภิกษุนั้นย่อมต้องอาบัติชื่อนี้. " ดังนี้แล้ว ทรงบัญญัติปหารทาน-
สิกขาบท ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุรู้ว่า ' เราย่อม
หวาดหวั่นต่ออาชญา กลัวต่อความตายฉันใด, แม้สัตว์เหล่าอื่นก็ย่อม
หวาดหวั่นต่ออาชญา กลัวต่อความตายฉันนั้นเหมือนกัน ' ไม่ควรประหาร
1. ภิกษุมีพวก 6. 2. ภิกษุมีพวก 17.

เอง ไม่ควรใช้ให้ฆ่าผู้อื่น " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
1. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส สพฺเพ ภายฺนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานิ อุปมํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเย.
" สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา, สัตว์
ทั้งหมด ย่อมกลัวต่อความตาย, บุคคลทำตนให้เป็น
อุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ผู้อื่นให้ฆ่า."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า " สพฺเพ ตสนฺติ " ความว่า สัตว์
แม้ทั้งหมด เมื่ออาชญาจะตกที่ตน ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญานั้น.
บทว่า มจจุโน ได้แก่ ย่อมกลัวแม้ต่อความตายแท้.
ก็พยัญชนะ1แห่งเทศนานี้ไม่มีเหลือ. ส่วนเนื้อความยังมีเหลือ. เหมือน
อย่างว่า เมื่อพระราชารับสั่งให้พวกราชบุรุษตีกลองเที่ยวป่าวร้องว่า " ชน
ทั้งหมดจงประชุมกัน " ชนทั้งหลายที่เหลือเว้นพระราชาและมหาอำมาตย์
ของพระราชาเสีย ย่อมประชุมกันฉันใด. แม้เมื่อพระศาสดา ตรัสว่า
" สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่น " ดังนี้. สัตว์ทั้งหลายที่เหลือเว้นสัตว์วิเศษ
4 จำพวกเหล่านั้น คือ 'ช้างอาชาไนย ม้าอาชาไนย โคอุสภอาชาไนย
และพระขีณาสพ ' บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมหวาดหวั่นฉันนั้นเหมือนกัน.
จริงอยู่ บรรดาสัตว์วิเศษเหล่านี้ พระขีณาสพ ไม่เห็นสัตว์ที่จะตาย เพราะ
ความที่ท่านละสักกายทิฏฐิเสียได้เเล้วจึงไม่กลัว. สัตว์วิเศษ 3 พวกนอกนี้
1. อธิบายว่า เพ่งตามพยัญชนะ แสดงว่า สัตว์ทั้งหลายกลัวต่อความตาย ไม่มีเว้นใครเลย แต่
ตามอรรถ มีเว้นสัตว์บางพวก จึงกล่าวว่า ยังมีเหลือ.

ไม่เห็นสัตว์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน เพราะความที่สักกายทิฏฐิ มีกำลังจึงไม่
กลัว.
พระคาถาว่า น หเนยฺย น ฆาตเย ความว่า บุคคลรู้ว่า " เราฉัน
ใด. แม้สัตว์เหล่าอื่นก็ฉันนั้น " ดังนี้แล้ว ก็ไม่ควรฆ่าเอง (และ)ไม่ควร
ใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ.

2. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ [108]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกภิกษุ-
ฉัพพัคคีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สพฺเพ สนฺติ " เป็นต้น.

เหตุให้ทรงบัญญัติตลสัตติกสิกขาบท


ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ เงือดเงื้อหอก
คือฝ่ามือแก่พวกภิกษุสัตตรสพัคคีย์เหล่านั้น ด้วยเหตุที่ตนประหารพวก
สัตตรสพัคคีย์ ในสิกขาบทก่อนนั้นนั่นแล.
แม้ในเรื่องนี้ พระศาสดาทรงสดับเสียงของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ก็
ตรัสถามว่า " นี่อะไรกัน ? " ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " เรื่องชื่อนี้ " แล้ว
ตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จำเดิมแต่นี้ไป ธรรมดาภิกษุไม่ควรทำ
อย่างนี้, ภิกษุใดทำ, ภิกษุนั้นย่อมต้องอาบัติชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว ทรงบัญญัติ
ตลสัตติกสิกขาบท ตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุทราบว่า
แม้สัตว์เหล่าอื่นย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา อย่างเดียวกับเราเหมือนกัน,
อนึ่ง ชีวิตก็ย่อมเป็นที่รักของสัตว์เหล่านั้น เหมือนของเราโดยแท้ ไม่ควร
ประหารเอง ไม่ควรใช้ผู้อื่นให้ฆ่า " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
2. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส สพฺเพสํ ชีวิตํ ปิยํ
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเย.
" สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา ชีวิต
ย่อมเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหมด. บุคคลควรทำตนให้
เป็นอุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้ฆ่า. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า สพฺเพสํ ชีวิตํ ปิยํ ความว่า
ชีวิตย่อมเป็นที่รักยิ่งของเหล่าสัตว์ที่เหลือ เว้นพระขีณาสพเสีย. อันพระ-
ขีณาสพ ย่อมเป็นผู้วางเฉยในชีวิตหรือในมรณะโดยแท้. คำที่เหลือ เช่น
กับคำอันมีในก่อนนั่นแล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ.

3. เรื่องเด็กหลายคน [109]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเด็กเป็นอัน
มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุขกามานิ ภูตานิ " เป็นต้น.

พระศาสดาทรงพบพวกเด็กตีงู


ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จทรงบาตรเข้าไปใน
กรุงสาวัตถี ทรงเห็นพวกเด็กเป็นอันมาก เอาไม้ตีงูเรือน1ตัวหนึ่ง ใน
ระหว่างทาง ตรัสถามว่า " แน่ะ เจ้าเด็กทั้งหลาย พวกเจ้าทำอะไรกัน ? "
เมื่อเด็กเหล่านั้นกราบทูลว่า " พวกข้าพระองค์เอาไม้ตีงู " พระเจ้าข้า "
ตรัสถามอีกว่า " เพราะเหตุไร ? " เมื่อพวกเขากราบทูลว่า " เพราะกลัว
มันกัด พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " พวกเจ้าตีงูนี้ด้วยคิดว่า 'จักทำความสุข
แก่ตน ' จักไม่เป็นผู้ได้รับความสุขในที่แห่งตนเกิดแล้ว ๆ. แท้จริง บุคคล
เมื่อปรารถนาสุขแก่ตน (แต่) ประหารสัตว์อื่น ย่อมไม่ควร " ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
3. สุขกานานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน วิหึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ.
สุขกานานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน น หึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ ลภเต สุขํ.
" สัตว์ผู้เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่สุข บุคคล
ใดแสวงหาสุขเพื่อตน, แต่เบียดเบียนสัตว์อื่นด้วย
ท่อนไม้ บุคคลนั้นละไปแล้วย่อมไม่ได้สุข. สัตว์ผู้

1. คืองูที่อาศัยอยู่ตามเรือน เช่นงูเขียว งูลายสอ เป็นต้น.