เมนู

10. เรื่องพระปิโลติกเถระ [116]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระปิโลติก-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "หิรินิเสโ ปุริโธ ปุริโส" เป็นต้น.

พระอานนท์จัดการให้ปิโลติกะบวช


ความพิศดารว่า ในวันหนึ่ง พระอานนทเถระเห็นทารกคนหนึ่ง
นุ่งผ้าท่อนเก่า ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานอยู่ จึงพูดว่า " เจ้าบวชเสียจะ
ไม่ดียิ่งกว่าการเที่ยวไปอย่างนี้เป็นอยู่หรือ ? " เมื่อเขาตอบว่า "ใครจัก
ให้ผมบวชเล่า ? ขอรับ " จึงกล่าวรับรองว่า "ฉันจะให้บวช " แล้ว
พาเขาไปยังวิหารให้อาบน้ำด้วยมือของตน ให้กรรมฐานแล้วก็ให้บวช.
ก็พระอานนทเถระนั้น คลี่ท่อนผ้าเก่าที่ทารกนั้นนุ่งแล้ว ตรวจดู
ไม่เห็นส่วนอะไร ๆ พอใช้สอยได้ แม้สักว่าทำเป็นผ้าสำหรับกรองน้ำ
จึงเอาพาดไว้ที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่งกับกระเบื้อง.

พระปิโลติกะอยากสึก


เขาได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว บริโภคลาภและสักการะอันเกิดขึ้นเพื่อ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย นุ่งห่มจีวรที่มีค่ามากเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้มีสรีระอ้วน
การะสันขึ้นแล้ว คิดว่า "ประโยชน์อะไรของเราด้วยการนุ่ง (ห่ม) จีวร
อันชนให้ด้วยศรัทธาเที่ยวไป, เราจะนุ่งผ้าเก่าของตัวนี่แหละ " ดังนี้
แล้ว ก็ไปสู่ที่นั้นแล้ว จังผ้าเก่าทำผ้านั้นให้เป็นอารมณ์ แล้วจึงโอวาท
ตนด้วยตนเองว่า " เจ้าผู้ไม่มีหิริ หมดยางอาย เจ้ายังปรารถนาเพื่อจะละ


ฐานะคือการนุ่งห่มผ้าทั้งหลายเห็นปานนั้น (กลับไป ) นุ่งผ้าท่อนเก่านี้ มี
มือถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน ( อีกหรือ)".
ก็เมื่อท่านโอวาท1 (ตน ) อยู่นั้น แหละจิตผ่องใสแล้ว. ท่านเก็บผ้า
เก่าผืนนั้นไว้ที่เดิมนั้นแล้ว กลับไปยังวิหารตามเดิม. โดยกาลล่วงไป
2-3 วัน ท่านกระสันขึ้นอีก ไปกล่าวอย่างนั้นแหละ แล้วก็กลับ. ถึง
กระสันขึ้นอีก ก็ไปกล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วด้วยประการฉะนี้.

พระปิโลติกเถระบรรลุพระอรหัต


ภิกษุทั้งหลาย เห็นท่านเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่อย่างนั้น จึงถามว่า
" ผู้มีอายุ ท่านจะไปไหน ? "
ท่านบอกว่า " ผู้มีอายุ ผมจะไปสำนักอาจารย์ " ดังนี้แล้ว ก็ทำ
ผ้าท่อนเก่าของคนนั้น แหละให้เป็นอารมณ์ โดยทำนองนั้นนั่นเองห้ามตน
ได้ โดย 2-3 วัน เท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัตผล.
ภิกษุทั้งหลาย กล่าว " ผู้มีอายุ บัดนี้ ท่านไม่ไปสำนักอาจารย์
หรือ ? ทางนี้เป็นทางเที่ยวไปของท่านมิใช่หรือ ? "

คนหมดเครื่องข้องไม่ต้องไป ๆ มา ๆ


ท่านตอบว่า " ผู้มีอายุ เมื่อความเกี่ยวข้องกับอาจารย์มีอยู่ผมจึงไป
แต่บัดนี้ ผมตัดความเกี่ยวข้องได้แล้ว, เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ไปสำนัก
อาจารย์. "
พวกภิกษุกราบทูลเรื่องราวแด่พระตถาคตว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระปิโลติกเถระอวดอ้างพระอรหัตผล.
1. อีกนัยหนึ่ง แปลว่า " ก็จิตของท่านผู้โอวาท (ตน) อยู่นั่นแล ผ่องใสแล้ว"ก็ได้.

พระศาสดา. เธอกล่าวอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย.
พวกภิกษุ. เธอกล่าวคำชื่อนี้ พระเจ้าข้า.
พระศาสดาทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า " ถูกละ ภิกษุทั้งหลาย, บุตร
ของเรา เมื่อความเกี่ยวข้องมีอยู่ จึงไปสำนักอาจารย์. แต่บัดนี้ ความ
เกี่ยวข้องเธอตัดได้แล้ว. เธอห้ามตนด้วยตนเอง บรรลุพระอรหัตแล้ว. "
ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
10. หิรินิเสโธ ปุริโส โกจิ โลกสฺมิ วิชฺชติ
โย นิทฺทํ อปโพเธติ อสฺโส ภโทฺร กสามิว
อสฺโส ยถา ภโทฺร กสานิวิฏฺโฐ
อาตาปิโน สํเวคิโน ภวาถ
สทฺธาย สีเลน จ วีริเยน จ
สมาธินา ธมฺมวินิจฺฉเยน จ
สมฺปนฺนวิชฺชาจรณา ปติสฺสตา
ปหสฺสถ ทุกฺขมิทํ อนปฺปํ.
" บุรุษผู้ข้ามอกุศลวิตกด้วยหิริได้ น้อยคนจะมี
ในโลก, บุคคลใดกำจัดความหลับ ตื่นอยู่ เหมือน
ม้าดีหลบแส้ไม่ให้ถูกตน, บุคคลนั้นหาได้ยาก. ท่าน
ทั้งหลายจงมีความเพียร มีความสลดใจ เหมือนม้าดี
ถูกเขาตีด้วยแส้แล้ว (มีความบากบั่น) ฉะนั้น.
ท่านทั้งหลายเป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ศีล วิริยะ
สมาธิ และ ด้วยคุณเครื่องวินิจฉัยธรรม มีวิชชาและ

จรณะถึงพร้อม มีสติมั่นคง จักละทุกข์อันมีประมาณ
ไม่น้อยนี้ได้."

แก้อรรถ


คนผู้ชื่อว่า หิรินิเสธบุคคล ในพระคาถานั้น ก็เพราะอรรถว่า
ห้ามอกุศลวิตกอันเกิดในภายในด้วยความละอายได้.
สองบทว่า โกจิ โลกสฺมึ ความว่า บุคคลเห็นปานนั้น หาได้ยาก
จึงชื่อว่า น้อยคนนักจะมีในโลก.
สองบทว่า โย นิทฺทํ ความว่า บุคคลใด ไม่ประมาทแล้ว ทำสมณ-
ธรรมอยู่ คอยขับไล่ความหลับที่เกิดแล้วแก่ตน ตื่นอยู่ เพราะฉะนั้น
บุคคลนั้นจึงชื่อว่า กำจัดความหลับให้ตื่นอยู่.
บทว่า กสามิว เป็นต้น ความว่า บุคคลใดกำจัดความหลับ ตื่นอยู่
เหมือนม้าดีคอยหลบแส้อันจะตกลงที่ตน คือไม่ให้ตกลงที่ตนได้ฉะนั้น.
บุคคลนั้นหาได้ยาก.
ในคาถาที่ 2 มีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้:-
" ภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลาย จงเป็นผู้มีความเพียร มีความ
สลดใจ เหมือนม้าดีอาศัยความประมาท ถูกเขาฟาดด้วยแส้แล้ว รู้สึก
ตัวว่า ' ชื่อแม้ตัวเรา ถูกเขาหวดด้วยแส้แล้ว ' ในกาลต่อมา ย่อมทำ
ความเพียรฉะนั้น. เธอทั้งหลายเป็นผู้อย่างนั้นแล้ว ประกอบด้วยศรัทธา
2 อย่าง ที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ด้วยปาริสุทธิศีล 4 ด้วยความเพียร
เป็นไปทางกายและเป็นไปทางจิต ด้วยสมาธิสัมปยุตด้วยสมาบัติ 8 และ
ด้วยคุณเครื่องวินิจฉัยธรรม มีอันรู้เหตุและมิใช่เหตุเป็นลักษณะ, ชื่อว่า

วิชชาและจรณะถึงพร้อม เพราะความถึงพร้อมแห่งวิชชา 3 หรือวิชชา 8
และจรณะ 15, ชื่อว่าเป็นผู้มีสติมั่นคง เพราะความเป็นผู้มีสติตั้งมั่นแล้ว
จักละทุกข์ในวัฏฏะอันมีประมาณไม่น้อยนี้ได้. "
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระปิโลติกเถระ จบ.

11. เรื่องสุขสามเณร [117]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสุขสามเณร
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา " เป็นต้น.

เรื่องคันธเศรษฐี


ความพิสดารว่า ในอดีตกาล มีบุตรของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี
คนหนึ่งชื่อว่า คันธกุมาร เมื่อบิดาของเธอถึงแก่กรรมแล้ว พระราชา
รับสั่งให้หาเธอมาเฝ้า ทรงปลอบโยนแล้ว ได้พระราชทานตำแหน่งเศรษฐี
แก่เธอนั้นแล ด้วยสักการะเป็นอันมาก. จำเดิมแต่กาลนั้นมา คันธกุมารนั้น
ก็ได้ปรากฏนามว่า " คันธเศรษฐี " ครั้งนั้น ผู้รักษาเรือนคลังของเศรษฐี
นั้น ได้เปิดประตูห้องสำหรับเก็บทรัพย์ ขนออกมาแล้ว ชี้แจงว่า " นาย
ทรัพย์นี้ของบิดาท่าน มีประมาณเท่านี้. ของบุรพบุรุษมีปู่เป็นต้น มี
จำนวนเท่านี้." เศรษฐีนั้นแลดูกองทรัพย์แล้ว พูดว่า " ก็ทำไม บุรพบุรุษ
เหล่านั้น จึงมิได้ถือเอาทรัพย์นี้ไปด้วย ? " ผู้รักษาเรือนคลังตอบว่า
" นาย ชื่อว่าผู้ที่จะถือเอาทรัพย์ไปด้วยไม่มี. แท้จริง สัตว์ทั้งหลายพาเอา
แต่กุศลอกุศลที่ตนได้ทำไว้เท่านั้นไป "

เศรษฐีจ่ายทรัพย์สร้างสิ่งต่าง ๆ


เศรษฐีนั้นคิดว่า " บุรพบุรุษเหล่านั้น พากันสั่งสมทรัพย์ไว้แล้ว
ก็ละทิ้งไปเสีย เพราะความที่ตนเป็นคนโง่. ส่วนเราจักถือเอาทรัพย์นั่น
ไปด้วย. " ก็คันธเศรษฐีเมื่อคิดอยู่อย่างนั้น มิได้คิดว่า " เราจักให้ทาน,
หรือจักทำการบูชา. " คิดแต่ว่า " เราจักบริโภคทรัพย์นี้ให้หมดแล้วจึงไป. "

เศรษฐีนั้นได้สละทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำซุ้มที่อาบน้ำ อันแล้วด้วย
แก้วผลึก, จ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำกระดานสำหรับอาบน้ำ อันแล้วด้วย
แก้วผลึกเหมือนกัน, จ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำบัลลังก์สำหรับนั่ง. จ่าย
ทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำถาดสำหรับใส่โภชนะ, จ่ายทรัพย์อีกแสนหนึ่ง ให้
ทำมณฑปในที่บริโภค, จ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำเตียงรองถาดโภชนะ,
ให้สร้างสีหบัญชรไว้ในเรือนด้วยทรัพย์แสนหนึ่งเหมือนกัน, จ่ายทรัพย์
พันหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้าของตน. จ่ายทรัพย์อีกพันหนึ่ง แม้
เพื่อประโยชน์แก่อาหารเย็น. แต่ในวันเพ็ญ ได้สั่งจ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง
เพื่อประโยชน์แก่โภชนะ, ในวันบริโภคภัตนั้น ท่านเศรษฐีได้สละทรัพย์
แสนหนึ่ง ตกแต่งพระนคร ใช้คนเที่ยวตีกลองประกาศว่า " ได้ยินว่า
มหาชนจงดูท่าทางแห่งการบริโภคภัตของคันธเศรษฐี. " มหาชนได้ผูก
เตียงซ้อนเตียงประชุมกัน.
ฝ่ายคันธเศรษฐีนั้นนั่งบนแผ่นกระดานอันมีค่าแสนหนึ่ง ในซุ้ม
อาบน้ำอันมีค่าแสนหนึ่ง อาบน้ำด้วยหม้อน้ำหอม16 หม้อ เปิดสีหบัญชร
นั้นแล้ว นั่งบนบัลลังก์นั้น กาลนั้น พวกคนใช้วางถาดนั้นไว้บนเตียงรอง
นั้นแล้ว คดโภชนะอันมีค่าแสนหนึ่งเพื่อเศรษฐีนั้น. ท่านเศรษฐีอัน
หญิงนักฟ้อนแวดล้อมแล้ว บริโภคโภชนะนั้นอยู่ด้วยสมบัติเห็นปานนี้.

คนบ้านนอกกระหายในภัตของเศรษฐี


โดยสมัยอื่น คนบ้านนอกผู้หนึ่งบรรทุกฟืนเป็นต้น ใส่ในยาน
ย่อม ๆ เพื่อต้องการแลกเปลี่ยนเสบียงอาหารสำหรับตน ไปถึงพระนคร
แล้ว ก็พักอยู่ในเรือนของสหาย. ก็กาลนั้นเป็นวันเพ็ญ. ชนทั้งหลาย
เที่ยวตีกลองประกาศในพระนครว่า " มหาชนจงดูท่าทางบริโภคของท่าน

คันธเศรษฐี. " ครั้งนั้น สหายจึงกล่าวกะชาวบ้านนอกนั้นว่า " เพื่อนเอ๋ย
ท่าทางบริโภคภัตของคันธเศรษฐี เพื่อนเคยเห็นหรือ ? "
ชาวบ้านนอก. ไม่เคยเห็นเลย เพื่อน.
สหายชาวเมือง. ถ้ากระนั้นมาเถิดเพื่อน เราจักไปด้วยกัน, กลองนี้
เที่ยวไปทั่วพระนคร เราจักดูสมบัติใหญ่.
สหายชาวเมืองได้พาสหายชาวบ้านนอกไปแล้ว. แม้มหาชนก็ได้พา
กันขึ้นเตียงซ้อนเตียงดูอยู่. สหายชาวบ้านนอก พอได้สูดกลิ่นภัต ก็พูด
กับสหายชาวเมืองว่า " กันเกิดกระหายในก้อนภัตในถาดนั่นแล้วละ. "
สหายชาวเมือง. อย่าปรารภก้อนภัตนั้นเลยเพื่อน เราไม่อาจจะ
ได้ดอก.
ชาวบ้านนอก. เพื่อนเอ๋ย เมื่อไม่ได้ ก็จักไม่เป็นอยู่ (ต่อไปละ).
สหายชาวเมืองนั้น เมื่อไม่อาจห้ามสหายชาวบ้านนอกนั้นไว้ได้ ยืน
อยู่ท้ายบริษัท เปล่งเสียงดัง 3 ครั้งว่า " นาย ฉันไหว้ท่าน " เมื่อคันธ-
เศรษฐีถามว่า " นั่นใคร ? " จึงตอบว่า " ผมครับ นาย. "
เศรษฐี นี่เหตุอะไรกัน.
สหายชาวเมือง. คนบ้านนอกผู้หนึ่งนี้ เกิดกระหายในก้อนภัตใน
ถาดของท่าน, ขอท่านกรุณาให้ก้อนภัตก้อนหนึ่งเถิด.
เศรษฐี. ไม่อาจจะได้ดอก.
สหายชาวเมือง. คำของเศรษฐี เพื่อนได้ยินไหม เพื่อน.
ชาวบ้านนอก. กันได้ยินแล้วเพื่อน เออ ก็กันเมื่อได้ จักเป็นอยู่
เมื่อกันไม่ได้ ความตายจักมี.

สหายชาวเมืองร้องอีกว่า " นาย ได้ยินว่า ชายคนนี้ เมื่อไม่ได้ก็จัก
ตาย. ขอท่านจงให้ชีวิตแก่เขาเถิด.
คันธเศรษฐี. ท่านผู้เจริญ ชื่อว่าก้อนภัตนี้ ย่อมถึงค่าร้อยหนึ่งก็มี
สองร้อยก็มี, ผู้ใดๆย่อมขอ. เมื่อให้แก่ผู้นั้น ๆ ฉันจักบริโภคอะไร
เล่า ?
สหายชาวเมือง. นาย ชายคนนี้ เมื่อไม่ได้จักตาย, ขอท่านจงให้
ชีวิตแก่เขาเถิด.
คันธเศรษฐี. เขาไม่อาจได้เปล่า ๆ ก็ถ้าเขาเมื่อไม่ได้จักไม่เป็นอยู่
ไซร้ ชายนั้นจงทำการรับจ้างในเรือนของฉัน 3 ปี, ฉันจักให้ถาดภัต
แก่เขาถาดหนึ่ง.

ชาวชนบทยอมทำการรับจ้างในบ้านเศรษฐี


ชาวบ้านนอกฟังคำนั้นแล้ว จึงพูดกะสหายว่า " อย่างนั้น เอาละ
เพื่อน " ดังนี้แล้ว ได้ละบุตรและภรรยา เข้าไปสู่เรือนของเศรษฐี ด้วย
หมายใจว่า " จักทำการรับจ้างตลอด 3 ปี. เพื่อประโยชน์แก่ถาดภัต
ถาดหนึ่ง. " เขาเมื่อทำการรับจ้าง ได้ทำกิจทุกอย่างโดยเรียบร้อย. การงาน
ที่ควรทำในบ้าน ในป่า ในกลางวัน กลางคืน ได้ปรากฏว่า เขาทำเสร็จ
เรียบร้อย. เมื่อมหาชนเรียกเขาว่า " นายภัตตภติกะ " คำนั้นได้ปรากฏ
ไปทั่วพระนคร.
กาลต่อมา เมื่อวัน (รับจ้าง) ของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว.
ผู้จัดการภัตเรียนว่า " นาย วัน (รับจ้าง) ของนายภัตติภติกะครบบริบูรณ์
แล้ว เขาทำการรับจ้างอยู่ตลอด 3 ปี ทำกรรมยากที่คนอื่นจะทำได้แล้ว,
การงานแม้สักอย่างหนึ่ง ก็ไม่เคยเสียหาย. " ครั้งนั้น ท่านเศรษฐี ได้สั่ง

จ่ายทรัพย์ 3 พันแก่ผู้จัดการภัตนั้น คือสองพัน เพื่อประโยชน์แก่อาหาร
เย็นและอาหารเช้าของตน, พันหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้าของนาย
ภัตตภติกะนั้น แล้วสั่งคนใช้ว่า " วันนี้ พวกเจ้าจงทำการบริหารที่พึงทำ
แก่เรา แก่นายภัตตภติกะนั้นเถิด. " ก็แลครั้นสั่งแล้ว จึงสั่งแม้กะชนที่
เหลือ เว้นภรรยาเป็นที่รักนามว่าจินดามณีคนเดียว ว่า " วันนี้ พวกเจ้า
จงแวดล้อมนายภัตตภติกะนั้นเถิด . " ดังนี้แล้ว ก็มอบสมบัติทั้งหมดให้แก่
นายภัตตภติกะนั้น.

นายภัตติภติกะเตรียมบริโภคภัต


นายภัตตภติกะ นั่งบนแผ่นกระดานนั้นในซุ้มนั้นนั่นแล อาบ
น้ำด้วยสำหรับอาบของเศรษฐี นุ่งผ้าสาฎกสำหรับนุ่งของเศรษฐีนั่น
แหละ แล้วนั่งบนบัลลังก์ของเศรษฐีนั้นเหมือนกัน. แม้ท่านเศรษฐีก็ใช้
ให้คนเอากลองเที่ยวตีประกาศไปในพระนครว่า " นายภัตตภติกะทำการ
รับจ้างตลอด 3 ปีในเรือนของคันธเศรษฐี ได้ถาดภัตถาดหนึ่ง, ขอชน
ทั้งหลายจงดูสมบัติแห่งการบริโภคของเขา. มหาชนได้ขึ้นเตียงซ้อนเตียง
ดูอยู่. ที่ๆชายชาวบ้านนอกดูแล้ว ๆก็ได้ถึงอาการหวั่นไหว. พวก
นักฟ้อนได้ยืนล้อมนายภัตตภติกะนั้น. พวกคนใช้ยกถาดภัตถาดหนึ่ง ตั้ง
ไว้ข้างหน้าของนายภัตตภติกะนั้นแล้ว.
ครั้งนั้น ในเวลาที่นายภัตตภติกะนั้นล้างมือ พระปัจเจกพุทธเจ้า
องค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติในวันที่ 7 แล้ว ใคร่ครวญ
อยู่ว่า " วันนี้ เราจักไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกขาจารในที่ไหนหนอแล ? ก็ได้
เห็นนายภัตตภติกะแล้ว. ครั้งนั้น ท่านพิจารณาต่อไปอีกว่า " นาย
ภัตตภติกะนี้ ทำการรับจ้างถึง 3 ปี จึงได้ถาดภัต. ศรัทธาของเขามี

หรือไม่มีหนอ ? ใคร่ครวญไปก็ทราบได้ว่า " ศรัทธาของเขามีอยู่ " คิดไป
อีกว่า " คนบางพวก ถึงมีศรัทธา ก็ไม่อาจเพื่อทำการสงเคราะห์ได้.
นายภัตตภติกะนี้ จักอาจหรือไม่หนอ เพื่อจะทำการสงเคราะห์เรา ? "
ก็รู้ว่า " นายภัตตภติกะ จักอาจทีเดียว ทั้งจักได้มหาสมบัติเพราะอาศัย
เหตุคือการสงเคราะห์แก่เราด้วย " ดังนี้แล้ว จึงห่มจีวรถือบาตร เหาะขึ้น
สู่เวหาสไปโดยระหว่างบริษัท แสดงตนยืนอยู่ข้างหน้าแห่งนายภัตตภติกะ
นั้นนั่นแล.

นายภัตตภติกะถวายภัตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า


นายภัตตภติกะนั้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว คิดว่า " เราได้ทำ
การรับจ้างในเรือนคนอื่นถึง 3 ปี ก็เพื่อประโยชน์แก่ถาดภัตถาดเดียว
เพราะความที่เราไม่ได้ให้ทานในกาลก่อน. บัดนี้ ภัตนี้ของเราพึงรักษา
เราก็เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง, ก็ถ้าเราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้า ภัต
จักรักษาเราไว้มิใช่พันโกฏิกัลป์เดียว เราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็น
เจ้าละ." นายภัตตภติกะนั้น ทำการรับจ้างตลอด 3 ปี ได้ถาดภัตแล้ว
ไม่ทันวางภัตแม้ก้อนเดียวในปาก บรรเทาความอยากได้ ยกถาดภัตขึ้น
เองทีเดียว ไปสู่สำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า ให้ถาดในมือของคนอื่น
แล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว เอามือซ้ายจับถาดภัต เอามือขวา
เกลี่ยภัตลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าได้
เอามือปิดบาตรเสีย ในเวลาที่ภัตยังเหลืออยู่กึ่งหนึ่ง.
ครั้งนั้น นายภัตตภติกะนั้นเรียนท่านว่า " ท่านขอรับ ภัตส่วน
เดียวเท่านั้น ผมไม่อาจเพื่อจะเเบ่งเป็น 2 ส่วนได้, ท่านอย่าสงเคราะห์