เมนู

อะไร ? " ดังนี้แล้วก็จะรับสั่งให้เลิกนิตยภัตที่เป็นไปในพระราชนิเวศน์
เพื่อภิกษุ 500 รูปแล้วพึงเกิดในนรก; เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงทรง
ทำความที่พระราชานั้น ทรงระลึกไม่ได้ตลอด 7 วัน ในวันที่ 8 ทรง
ดำเนินไปเพื่อบิณฑบาต ได้เสด็จไปยังประตูพระราชวังด้วยพระองค์เอง
ทีเดียว. พระราชาทรงทราบว่า " พระศาสดาเสด็จมาแล้ว " จึงเสด็จ
ออก ทรงรับบาตรแล้ว ปรารภเพื่อจะเสด็จขึ้นสู่ปราสาท. แต่พระศาสดา
ทรงแสดงพระอาการเพื่อจะประทับนั่งที่โรงรถ. พระราชาจึงทูลอัญเชิญ
พระศาสดาให้ประทับนั่ง ณ ที่นั้นเหมือนกัน ทรงรับรองด้วยข้าวยาคูและ
ของควรเคี้ยวแล้ว จึงถวายบังคม พอประทับนั่ง ก็กราบทูลว่า " หม่อม
ฉันมาก็ด้วยประสงค์ว่า 'จักทูลถามที่เกิดของพระนางมัลลิกาเทวี. แล้ว
ลืมเสีย พระนางเกิดในที่ไหนหนอแล ? พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. ในดุสิตภพ มหาบพิตร.
พระราชา. พระเจ้าข้า เมื่อพระนางไม่บังเกิดในดุสิตภพ. คนอื่น
ใครเล่าจะบังเกิด. พระเจ้าข้า หญิงเช่นกันพระนางมัลลิกานั้นไม่มี. เพราะ
ในที่ ๆ พระนางนั่งเป็นต้น กิจอื่น เว้นการจัดแจงทาน ด้วยคิดว่า
" พรุ่งนี้ จักถวายสิ่งนี้, จักทำสิ่งนี้, แด่พระตถาคต " ดังนี้ไม่มีเลย,
พระเจ้าข้า ตั้งแต่เวลาพระนางไปสู่ปรโลกแล้ว สรีระของหม่อมฉัน ไม่
ค่อยกระปรี้กระเปร่า.

ธรรมของสัตบุรุษไม่เก่าเหมือนของอื่น


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า " อย่าคิดเลยมหาบพิตร
นี้เป็นธรรมอันแน่นอนของสัตว์ทุกจำพวก " ตรัสถามว่า " นี้รถของ

ใคร ? มหาบพิตร. " พระราชาทรงประดิษฐานอัญชลีไว้เหนือพระเศียร
แล้ว ทูลว่า " ของพระเจ้าปู่ของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. นี้ ของใคร.
พระราชา. ของพระชนกของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า.
เมื่อพระราชากราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า " มหา-
บพิตร รถของพระเจ้าปู่ ของมหาบพิตร เพราะเหตุไร จึงไม่ถึงรถของ
พระชนก ของมหาบพิตร. รถของพระชนก ของมหาบพิต ไม่ถึงรถ
ของมหาบพิตร. ความคร่ำคร่าย่อมมาถึง แม้แก่ท่อนไม้ชื่อเห็นปานนี้.
ก็จะกล่าวไปไย ความคร่ำคร่าจักไม่มาถึงแม้แก่อัตภาพเล่า ? มหาบพิตร
ความจริง ธรรมของสัตบุรุษเท่านั้นไม่มีความชรา. ส่วนสัตว์ทั้งหลาย
ชื่อว่าไม่ชรา ย่อมไม่มี " ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
6. ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา
อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ
สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ.
" ราชรถ ที่วิจิตรดี ยังคร่ำคร่าได้แล, อนึ่งถึง
สรีระ ก็ย่อมถึงความคร่ำคร่า, ธรรมของสัตบุรุษ
หาเข้าถึงความคร่ำคร่าไม่, สัตบุรุษทั้งหลายแล ย่อม
ปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ."

แก้อรรถ


ศัพท์ว่า เว ในพระคาถานั้น เป็นนิบาต. บทว่า สุจิตฺตา ความว่า

รถทั้งหลาย แม้ของพระราชาทั้งหลาย อันวิจิตรดีแล้วด้วยรัตนะ 7 และ
ด้วยเครื่องประดับรถอย่างอื่น ย่อมคร่ำคร่าได้.
บทว่า สรีรมฺปิ ความว่า มิใช่รถอย่างเดียวเท่านั้น. ถึงสรีระที่
ประคบประหงมกันอย่างดีนี้ ก็ย่อมถึงความชำรุดมีความเป็นผู้มีฟันหัก
เป็นต้น ชื่อว่าเข้าถึงความคร่ำคร่า.
บทว่า สตญฺจ ความว่า แต่โลกุตรธรรมมีอย่าง 9 ของสัตบุรุษ
ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมไม่ทำการกระทบกระทั่งอะไร ๆ เลย
ชื่อว่าไม่เข้าถึงความทรุดโทรม.
บทว่า ปเวทยนฺติ ความว่า สัตบุรุษทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ย่อมปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ คือด้วยบัณฑิตทั้งหลายอย่างนี้.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระนางมัลลิกาเทวี จบ.

7. เรื่องพระโลฬุทายีเถระ [124]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพพระโลฬุทายี-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อปฺปสฺสุตายํ ปุริโส " เป็นต้น.

พระเถระกล่าวธรรมไม่เหมาะแก่งาน


ดังได้สดับมา พระโลฬุทายีเถระนั้น ไปสู่เรือนของหมู่คนผู้ทำการ
มงคล ก็กล่าวอวมงคล โดยนัยเป็นต้นว่า " ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐนฺติ " ไป
เรือนของผู้ทำการอวมงคล เมื่อควรกล่าว ติโรกุฑฑสูตรเป็นต้น. ก็กล่าว
มงคลคาถา โดยนัยเป็นต้นว่า " ทานญฺจ ธมฺมจริยา จ " หรือรัตนสูตร
เป็นต้นว่า " ยงฺกิญฺจิ วิตฺตํ อิธ วา หุรํ วา. " เธอคิดว่า " เราจักสวดสูตร
อื่น " แม้สวดสูตรอื่นอยู่ในที่นั้นๆ อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่า " เราสวดสูตรอื่น. "

ถึงกาลก่อนก็เลอะเหมือนกัน


ภิกษุทั้งหลายฟังกถาของท่านแล้ว จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า
" พระเจ้าข้า เป็นอย่างไร พระโลฬุทายี ในที่ทำการมงคลและอวมงคล
ควรกล่าวสูตรอื่น ก็ไพล่ไปกล่าวสูตรอื่น ? " พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย โลฬุทายีนั่น กล่าวอย่างนั้น ในกาลบัดนี้เท่านั้น ก็หาไม่.
ถึงในกาลก่อน โลฬุทายี เมื่อสูตรอื่นอันตนควรกล่าว ก็ไพล่กล่าวสูตร
อื่น " อันภิกษุเหล่านั้น ทูลอ้อนวอน จึงทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัส
ดังต่อไปนี้):-

บุรพกรรมของพระโลฬุทายี


ในอดีตกาล บุตรของพราหมณ์ ชื่ออัคคิทัต ในกรุงพาราณสี

ชื่อโสมทัตกุมาร บำรุงพระราชาแล้ว. เธอได้เป็นที่โปรดปรานพอพระ-
หฤทัยของพระราชา. ส่วนพราหมณ์อาศัยกสิกรรมเลี้ยงชีพ. พราหมณ์
นั้นมีโค 2ตัว. ใน 2 ตัวนั้น ตัว 1 ได้ล้มเสียแล้ว. พราหมณ์จึง
กล่าวกะบุตรชายว่า " พ่อโสมทัต พ่อจงทูลขอในหลวง นำโคมาให้พ่อ
ตัวหนึ่ง. "

โสมทัตสอนพ่อให้ทูลขอโค


มหาดเล็กโสมทัตคิดว่า " ถ้าเราจักขอพระราชทานกะสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวไซร้, ความเป็นคนผลุนผลันจักปรากฏแก่เรา " จึงพูดว่า
" คุณพ่อขอรับ คุณพ่อเองจงขอพระราชทานกะในหลวงเถิด " เมื่อบิดา
พูดว่า " ลูกเอ๋ย ถ้ากระนั้น เจ้าจงพาเข้าไปเถิด, " จึงคิดว่า " ท่าน
พราหมณ์นี้ มีปัญญาแล่นช้า ย่อมไม่รู้จักแม้สักแต่คำพูดเป็นต้นว่า " จง
ไปข้างหน้า จงถอยมาข้างหลัง. เมื่อคำอื่นอันควรพูด ก็ไพล่พูดคำอื่น
เสีย เราจะให้สำเหนียกแล้วจึงพาท่านไป. " เธอพาท่านไปป่าช้า ชื่อ
วีรณัตถัมภกะแล้ว จึงมัดฟ่อนหญ้าหลายฟ่อน ทำสมมติว่า " ฟ่อนหญ้า
นี้เป็นเจ้าชีวิต. ฟ่อนหญ้านี้เป็นวังหน้า. ฟ่อนหญ้านี้เป็นเสนาบดี " ดังนี้
เป็นต้น แสดงแก่บิดาตามลำดับแล้ว จึงชี้แจงว่า " อันคุณพ่อไปราชสกุล
ต้องเดินหน้าอย่างนี้. ต้องถอยหลังอย่างนี้. พระเจ้าอยู่หัว ต้องกราบ
บังคมทูลอย่างนี้. วังหน้าต้องกราบทูลอย่างนี้. คุณพ่อเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว
แล้ว ต้องถวายชัยมงคลอย่างนี้ว่า ' ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ
ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จงทรงชนะเถิด ' ดังนี้ พึงว่าคาถานี้
แล้ว ขอพระราชทานโคเถิด " จึงให้บิดาเรียนคาถาว่า

" ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้สมมติเทพ โคสำหรับ
ไถนาของข้าพระพุทธเจ้ามี 2 ตัว ในโค 2 ตัวนั้น
ตัวหนึ่งล้มเสียแล้ว, พระองค์ผู้เทพขัตติยราช ขอ
พระองค์ผู้สมมติเทพ จงพระราชทานตัวที่ 2 เถิด. "

โสมทัตพาพ่อเข้าเฝ้าพระราชา


พราหมณ์นั้นท่องคาถานั้นให้คล่องแคล่วราวปีหนึ่ง จึงบอกความที่
คาถานั้นคล่องแคล่วแล้วแก่บุตร. เมื่อลูกนั้นกล่าวว่า " คุณพ่อขอรับ ถ้า
กระนั้นคุณพ่อจงเอาเครื่องบรรณาการนิดหน่อยนั่นแหละมาเถิด. ผมจะไป
ก่อน แล้วยืนที่ราชสำนัก " จึงพูดว่า " ดีละ ลูก " แล้วถือเครื่องบรรณา-
การไป เป็นผู้ถึงความอุตสาหะไปราชสกุล ในเวลาที่โสมทัตยืนอยู่
ในราชสำนัก เป็นผู้มีพระราชปฏิสันถาร อันพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชหทัย
ยินดี ทรงกระทำแล้ว เมื่อพระองค์ตรัสว่า " ตา แกมานานแล้วหรือ ?
นี้ที่นั่ง, แกจงนั่งแล้วพูดไปเถิด แกต้องการด้วยสิ่งใดเล่า ? " จึงว่า
คาถานี้ว่า
" ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้สมมติเทพ โคสำหรับ
ไถนาของข้าพระพุทธเจ้ามี 2 ตัว, ในโค 2 ตัวนั้น
ตัวหนึ่งล้มเสียแล้ว, พระองค์ผู้เทพขัตติยราช ขอ
พระองค์ผู้สมมติเทพ จงทรงถือเอาตัวที่ 2 มาเสีย. "

โสมทัตได้รับพระราชทาน


แม้เมื่อในหลวงตรัสว่า " ตา แกว่าอะไรนะ ? จงว่าไปอีก. "
พราหมณ์นั้น ก็คงกล่าวคาถาบทนั้นเอง. ในหลวงทรงทราบความที่คาถา
นั้นพราหมณ์กล่าวผิด ทรงแย้มสรวลแล้วตรัสว่า " โสมทัต โคในบ้าน
ของเจ้าเห็นจะมากนะ. " เมื่อโสมทัตกราบทูลว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลี
พระบาทผู้สมมติเทวราช โคอันใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระกรุณา
โคพระราชทานแล้วจักมีมาก " ดังนี้แล้ว ทรงโปรดปรานโสมทัต-
ผู้โพธิสัตว์ จึงพระราชทานโค 16 ตัวแก่พราหมณ์ สิ่งของเครื่องอลังการ
และบ้านที่อยู่แก่โพธิสัตว์นั้นให้เป็นพรหมไทยแล้ว จึงทรงส่งพราหมณ์
ไปด้วยยศใหญ่.

ผู้มีสุตะน้อยเหมือนโคถึก


พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ประชุมชาดก1ว่า
" พระเจ้าแผ่นดินในครั้งกระนั้น เป็นอานนท์. ตาพราหมณ์ในครั้งกระนั้น
เป็นโลฬุทายี. มหาดเล็กโสมทัตในครั้งกระนั้น เป็นเราตถาคตนี่แหละ "
จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีนี้ เมื่อคำอื่นอันคนควรพูด ก็ไพล่
พูดคำอื่นไปเสีย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น. แม้ในกาลก่อน เธอก็พูดแล้ว
เพราะความที่ตนเป็นคนมีธรรมได้สดับน้อย. เพราะว่า คนมีสุตะน้อย
ชื่อว่าเป็นเหมือนโคถึก จึงตรัสพระคาถาว่า
7. อปฺปสฺสุตายํ ปุริโส พลิพทฺโทว ชีรติ
มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ ปญฺญา ตสฺส น วฑฺฒติ.

1. อรรถกถา. 3/219.