เมนู

6. เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล [162]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเจ้า
ปเสนทิโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อาโรคฺยปรมา ลาภา " เป็น
ต้น.

พระราชาเสวยพระกระยาหารจุ


ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง พระราชาเสวยพระกระยาหารตั้ง
ทะนานแห่งข้าวสาร ด้วยสูปะและพยัญชนะอันสมควรแก่พระกระยาหาร
นั้น. วันหนึ่ง ท้าวเธอเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ยังไม่บรรเทาความ
เมาเพราะภัตเลย เสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา มีพระรูปอึดอัด ทรง
พลิกกลับไปมาข้างโน้นข้างนี้อยู่ แม้ถูกความหลับครอบงำ เมื่อไม่
สามารถจะทรงผทมตรงได้ จึงประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น
พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า " มหาบพิตร พระองค์ยังไม่ทันพักผ่อนเลย
เสด็จมาแล้วหรือ ? "
พระราชา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ตั้งแต่เวลาบริโภคแล้วหม่อมฉัน
มีทุกข์มาก.

อุบายแก้การบริโภคอาหารจุ


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า " มหาบพิตร การบริโภค
มากเกินไป เป็นทุกข์อย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสสอนด้วยพระคาถานี้ว่า :-
" ในกาลใด บุคคลเป็นผู้กินจุ มักง่วง และมัก
นอนหลับ กระสับกระส่าย เป็นดุจสุกรใหญ่ที่เขา

เลี้ยงด้วยอาหาร, ในกาลนั้น เขาเป็นคนมึนซึม ย่อม
เข้าห้องบ่อย ๆ."

แล้วตรัสว่า " มหาบพิตร การบริโภคโภชนะแต่พอประมาณ จึงควร,
เพราะผู้บริโภคพอประมาณ ย่อมมีความสุข " เมื่อจะทรงโอวาทให้ยิ่ง จึง
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" คนมีสติทุกเมื่อ รู้ประมาณในโภชนะที่ได้แล้ว
นั้น มีเวทนาเบาบาง, (อาหารที่บริโภคแล้ว) เลี้ยง
อายุอยู่ ค่อย ๆ ย่อยไป1 "

พระราชาไม่อาจจะทรงเรียนพระคาถาได้. แต่ตรัสกะเจ้าหลานชื่อ
สุทัสนะ ซึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ว่า " พ่อ เธอจงเรียนคาถานี้. " สุทัสนะนั้น
ทรงเรียนคาถานั้นเเล้ว ทูลถามพระศาสดาว่า " ข้าพระองค์จะกระทำ
อย่างไร พระเจ้าข้า ? " ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า " เมื่อพระ-
ราชาเสวยอยู่ ท่านพึงกล่าวคาถานี้ในกาลเสวยก้อนที่สุด, พระราชาทรง
กำหนดเนื้อความได้เเล้ว จักทรงทิ้งก้อนข้าวนั้น, ในการหุงภัตเพื่อพระ-
ราชา เธอพึงให้ลดข้าวสารมีประมาณเท่านั้น ด้วยอันนับเมล็ดข้าวในก้อน
ข้าวนั้น. " สุทัสนะนั้นทูลรับว่า " ดีละ พระเจ้าข้า เมื่อพระราชาเสวย
เวลาเช้าก็ตาม เวลาเย็นก็ตาม ก็กล่าวคาถานั้นขึ้น ในการเสวยก้อน
สุดท้าย แล้วให้ลดข้าวสาร ด้วยอันนับเมล็ด ในก้อนข้าวที่พระราชานั้น
ทรงทิ้ง. แม้พระราชาทรงสดับคาถาของสุทัสนะนั้นแล้ว รับสั่งให้พระ-
ราชทานทรัพย์ครั้งละพัน.
1. แปลกันมาอย่างนี้. คือเติม ภุตฺตาหาโร เป็นประธาน แต่น่าจะหมายความว่า....... มีโรค
ภัยไข้เจ็บน้อย, เขาแก่ช้าอายุยืน.

พระราชาลดพระกระยาหารได้แล้ว


โดยสมัยอื่นอีก พระราชานั้นทรงตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีพระกระยา-
หารแห่งข้าวสารทะนานหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ทรงถึงความสุขแล้ว ได้มีพระ-
สรีระอันเบา.
ภายหลังวันหนึ่ง ท้าวเธอเสด็จไปสำนักพระศาสดา ถวายบังคม
พระศาสดาแล้วทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ความสุขเกิดแก่
หม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันเป็นผู้สามารถ จะติดตามจับเนื้อก็ได้ ม้าก็ได้,
เมื่อก่อนหม่อมฉันมีการยุทธ์กับหลาน; บัดนี้หม่อมฉันให้ธิดาชื่อว่าวชิร-
กุมารีแก่หลานแล้ว ให้บ้านนั้น ทำให้เป็นค่าน้ำอาบของธิดานั้นนั่นแล.
ความทะเลาะกับหลานนั้นสงบแล้ว, สุขแท้เกิดแล้วแก่หม่อมฉัน เพราะ
เหตุแม้นี้. เเม้เเก้วมณีของพระเจ้ากุสะ ซึ่งหายไปแล้วในเรือนของหม่อม-
ฉันในวันก่อน; บัดนี้แก้วมณีแม้นั้นมาสู่เงื้อมมือแล้ว, ความสุขแท้เกิด
แล้วแก่หม่อมฉัน เพราะเหตุแม้นี้, หม่อมฉันปรารถนาความคุ้นเคยกับ
เหล่าสาวกของพระองค์ จึงทำแม้ธิดาแห่งญาติของพระองค์ไว้ในเรือน,
ความสุขแท้เกิดแล้วแก่หม่อนฉัน เพราะเหตุเเม้นี้. " พระศาสดาตรัสว่า
" มหาบพิตร ชื่อว่าความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง, ทรัพย์แม้เช่นกับ
ความเป็นผู้สันโดษ ด้วยวัตถุตามที่ตนได้แล้ว ไม่มี, ชื่อว่าญาติเช่นกับ
ด้วยผู้คุ้นเคยกัน ไม่มี, ชื่อว่าความสุขอย่างยิ่ง เช่นกับด้วยพระนิพพาน
ไม่มี " จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
6. อาโรคฺยปรมา ลาภา สนฺตุฏฺฐิปรมํ ธนํ
วิสฺสาสปรมา ญาติ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ.

" ลาภทั้งหลาย มีความไม่มีโรค เป็นอย่างยิ่ง,
ทรัพย์มีความสันโดษ เป็นอย่างยิ่ง, ญาติมีความ
คุ้นเคย เป็นอย่างยิ่ง, พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาโรคฺยปรมา ความว่า มีความเป็นผู้
ไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง. จริงอยู่ ลาภทั้งหลาย แม้มีอยู่แก่คนมีโรค ไม่จัด
เป็นลาภแท้, เพราะฉะนั้น ลาภทั้งปวงจึงมาถึงแก่คนไม่มีโรคเท่านั้น; เหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " อาโรคฺยปรมา ลาภา. "
บาทพระคาถาว่า สนฺตุฏฺฐปรมํ ธนํ ความว่า ภาวะคืออันยินดี
ด้วยวัตถุที่ตนได้เเล้วซึ่งเป็นของมีอยู่แห่งตน ของคฤหัสถ์หรือบรรพชิต
นั่นแล ชื่อว่าสันโดษ, สัน โดษนั้น เป็นทรัพย์อันยิ่งกว่าทรัพย์ที่เหลือ.
บาทพระคาถาว่า วิสฺสาสปรมา ญาตี1 ความว่า มารดาก็ตาม บิดา
ก็ตามจงยกไว้. ไม่มีความคุ้นเคยกับคนใด. คนนั้นไม่ใช่ญาติแท้: แต่มี
ความคุ้นเคยกับคนใด, คนนั่นแม้ไม่เนื่องกัน ก็ชื่อว่าเป็นญาติอย่างยิ่ง
คืออย่างสูง; เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " วิสฺสาสปรมา
ญาตี. "

อนึ่ง ชื่อว่าความสุข เหมือนพระนิพพาน ไม่มี, เหตุนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ."
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล จบ.
1 . บาลีเป็น ญาติ.

7. เรื่องพระติสสเถระ [163]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเมืองไพศาลี ทรงปรารภภิกษุรูปใด
รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปริเวกรสํ " เป็นต้น.

ได้ทราบข่าวปรินิพพานแล้วบำเพ็ญสมณธรรม


ความพิสดารว่า เมื่อพระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลายโดยเดือน 4 เดือน1
จากนี้ เราจักปรินิพพาน. " ภิกษุ 700 ในสำนักของพระศาสดาถึงความ
สะดุ้งแล้ว. ธรรมสังเวชเกิดขึ้นแก่พระขีณาสพทั้งหลาย. ภิกษุปุถุชน
ทั้งหลายไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาได้. ภิกษุทั้งหลายเป็นพวก ๆ เที่ยว
ปรึกษากันว่า " พวกเราจักทำอย่างไรหนอ ? " ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง
ชื่อว่าติสสเถระคิดว่า " ได้ยินว่า พระศาสดาจักปรินิพพาน โดยล่วงไป
4 เดือน ก็เราเป็นผู้มีราคะยังไม่ไปปราศ, เมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์
อยู่นั่นแหละ, เราควรถือเอาพระอรหัต (ให้ได้)" แล้วจึงอยู่ผู้เดียวเท่านั้น
ในอิริยาบถ 4. การไปสู่สำนักของภิกษุทั้งหลาย หรือการสนทนาปราศรัย
กับผู้ใดผู้หนึ่ง ย่อมไม่มี. ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านว่า" คุณติสสะ
เหตุไร ? คุณจึงทำอย่างนี้. " ท่านไม่ฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุ
เหล่านั้น กราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า " ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระติสสเถระไม่มีความรักในพระองค์. " พระศาสดา
1. น่าจะเป็น 3 เดือน แต่ว่าในที่นี้เห็นจะนับโดยเดือน.

รับสั่งให้หาท่านมาแล้ว ตรัสถามว่า " ติสสะ เหตุไร ? เธอจึงทำอย่างนี้. "
เมื่อท่านกราบทูลความประสงค์ของตนแล้ว ประทานสาธุการว่า " ดีละ
ติสสะ " แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีความรักในเรา จงเป็นเหมือน
ติสสะเถิด; แม้คนกระทำการบูชาอยู่ด้วยของหอมและระเบียบดอกไม้เป็น
ต้น ไม่ชื่อว่าบูชาเราเลย, แต่คนผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนั่นแหละ
ชื่อว่าบูชาเรา. " แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
7. ปวิเวกรสํ ปิตฺวา รสํ อุปสมสฺส จ
นิทฺทโร โหติ นิปฺปาโป ธมฺมปีติรสํ ปิวํ.
" บุคคลดื่มรสอันเกิดแต่วิเวกและรสพระนิพพาน
เป็นที่เข้าไปสงบ ดื่มรสปีติอันเกิดแต่ธรรม ย่อมเป็น
ผู้ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่มีบาป."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวิเวกรสํ ความว่า ซึ่งรสอันเกิดแล้ว
แต่วิเวก, อธิบายว่า ซึ่งความสุขอันเกิดแต่ความเป็นผู้เดียว.
บทว่า ปิตฺวา ความว่า ดื่มแล้วด้วยความสามารถแห่งอันเป็นผู้ทำกิจ
มีอันกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้น ทำให้แจ้งโดยความเป็นอารมณ์.
บาทพระคาถาว่า รสํ อุปสมสฺส จ ความว่า ดื่มแล้วซึ่งรสแห่ง
พระนิพพาน อันเป็นที่เข้าไปสงบกิเลสด้วย.
สองบทว่า นิทฺทโร โหติ ความว่า ภิกษุผู้ขีณาสพ ชื่อว่าเป็นผู้
ไม่มีความกระวนกระวาย และไม่มีบาป เพราะความไม่มีความกระวน
กระวาย คือราคะเป็นต้นในภายใน เพราะดื่มรสทั้งสองอย่างนั้น.

สองบทว่า รสํ ปิวํ ความว่า แม้เมื่อดื่มรสแห่งปีติ อันเกิดขึ้นแล้ว
ด้วยสามารถแห่งโลกุตรธรรม 9 ย่อมเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย และ
ไม่มีบาป.
ในกาลจบเทศนา พระติสสเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว. เทศนาได้
มีประโยชน์แม้แก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องพระติสสเถระ จบ.

8. เรื่องท้าวสักกะ [164]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเวฬุวคาม ทรงปรารภท้าวสักกะ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สาหุ ทสฺสนํ " เป็นต้น.
ความพิสดารว่า ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความที่พระอาพาธ มี
อันแล่นไปแห่งพระโลหิตเป็นสมุฏฐาน1 เกิดขึ้นแล้วแก่พระตถาคต ใน
เมื่อพระองค์ทรงปลงอายุสังขารแล้ว ทรงดำริว่า " การที่เราไปสู่สำนัก
ของพระศาสดาแล้ว ทำคิลานุปัฏฐากย่อมควร " ทรงละอัตภาพประมาณ
3 คาวุตเสีย เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทรงนวดพระบาทด้วย
พระหัตถ์ทั้งสอง, ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสกะท้าวสักกะนั้นว่า " นั่นใคร ? "
ท้าวสักกะ. ข้าพระองค์ คือท้าวสักกะ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ท่านมาทำไม ?
ท้าวสักกะ. มาเพื่อบำรุงพระองค์ผู้ประชวร พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ท้าวสักกะ กลิ่นมนุษย์ย่อมปรากฏแก่เทวดาทั้งหลาย
เหมือนซากศพที่ผูกไว้ที่คอ ตั้งแต่ 100 โยชน์ขึ้นไป, ท่านจงไปเถิด,
ภิกษุผู้คิลานุปัฏฐากของเรามี.
ท้าวสักกะกราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ดำรง
อยู่ในที่สุดแห่ง 8 หมื่น 4 พันโยชน์ สูดกลิ่นแห่งศีลของพระองค์มา
แล้ว. ข้าพระองค์นี่แหละจักบำรุง " แล้วไม่ให้บุคคลอื่นถูกต้องภาชนะ
พระบังคนหนักของพระศาสดาแม้ด้วยมือ ทรงทูนไว้บนพระเศียรทีเดียว
1. อาพาธลงพระโลหิต.