ข้าพเจ้า ก็จักสำเร็จด้วยน้ำคราวเดียวเหมือนกัน, พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่
พวกข้าพเจ้าเถิด. "
โกลิยะ. พวกข้าพเจ้าจักไม่ให้.
ศากยะ. แม้พวกข้าพเจ้าก็จักไม่ให้.
ชาวเมืองทั้งสอง ยังถ้อยคำให้เจริญขึ้นอย่างนั้นแล้ว ประหารซึ่งกัน
และกันอย่างนี้ คือคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วได้ให้ประหารแก่คนหนึ่ง. แม้ชนผู้
ถูกประหารนั้น ก็ได้ให้ประหารแม้แก่ชนอื่น กระทบกระทั่งถึงชาติแห่ง
ราชตระกูลทั้งหลาย ก่อความทะเลาะให้เจริญขึ้นแล้ว. พวกกรรมกรชาว-
โกลิยะกล่าวว่า " พวกเจ้าจงพาเด็กชาวเมืองกบิลพัสดุ์ไปเสียเถิด, ชน
เหล่าใด อยู่ร่วมกับพวกพี่สาวน้องสาวของตน ๆ เหมือนสุนัขบ้านและสุนัข
จิ้งจอกเป็นต้น; ช้าง ม้า โล่และอาวุธทั้งหลายของชนเหล่านั้นจักทำอะไร
แก่พวกข้าพเจ้าได้. "
ฝ่ายพวกกรรมกรชาวศากยะกล่าวว่า " บัดนี้ พวกเจ้าจงพาพวก
เด็กขี้เรื้อนไปเสียเถิด, ชนเหล่าใด ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีคติ อยู่ที่ต้นกระเบา
ดุจสัตว์ดิรัจฉาน; ช้าง ม้า โล่และอาวุธของชนเหล่านั้นจักทำอะไรแก่
พวกข้าพเจ้าได้." ชนเหล่านั้น ไปบอกแก่พวกอำมาตย์ผู้ประกอบใน
กรรมนั้น. พวกอำมาตย์ทูลแก่ราชตระกูลทั้งหลาย.
ลำดับนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายคิดว่า " พวกเราจักแสดงเรี่ยวแรง
และกำลัง ของเหล่าชนผู้อยู่ร่วมกับพวกพี่สาวน้องสาว " แล้วตระเตรียม
การยุทธ์ ออกไปแล้ว. ฝ่ายเจ้าโกลิยะทั้งหลายคิดว่า " พวกเราจักสำแดง
เรี่ยวแรงและกำลัง ของเหล่าชนผู้อยู่ที่ต้นกระเบา " ดังนี้แล้ว ตระเตรียม
การยุทธ์ ออกไปแล้ว.
พระศาสดาเสด็จห้ามพระญาติ
แม้พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตร
เห็นหมู่พระญาติแล้ว ทรงดำริว่า " เมื่อเราไม่ไป. พวกญาติเหล่านี้จัก
ฉิบหาย. การที่เราไปก็ควร " ดังนี้แล้ว จึงเสด็จทางอากาศพระองค์เดียว
เท่านั้น ประทับนั่งโดยบัลลังก์ในอากาศ ณ ท่ามกลางแม่น้ำโรหิณี. พระ-
ญาติทั้งหลาย เห็นพระศาสดาแล้วทิ้งอาวุธ ถวายบังคม. ครั้งนั้น พระ-
ศาสดาตรัสกะพระญาติเหล่านั้นว่า " มหาบพิตร นี่ชื่อว่าทะเลาะอะไรกัน ? "
พวกพระญาติ. พวกข้าพระองค์ ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. บัดนี้ ใครจักทราบเล่า ?
พระญาติเหล่านั้น ถามตลอดถึงพวกทาสและกรรมกร โดยอุบายนี้
ว่า " อุปราช จักทราบ, เสนาบดี จักทราบ " เป็นต้น แล้วกราบทูลว่า
" ทะเลาะกันเพราะน้ำ พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. น้ำตีราคาเท่าไร ? มหาบพิตร.
พวกพระญาติ. มีราคาน้อย พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. กษัตริย์ทั้งหลาย ราคาเท่าไร.
พวกพระญาติ. ขึ้นชื่อว่า กษัตริย์ทั้งหลาย หาค่ามิได้ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ก็การที่ท่านทั้งหลาย ยังพวกกษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้
ฉิบหาย เพราะอาศัยน้ำ ซึ่งมีประมาณน้อย ควรแล้วหรือ ?
พระญาติเหล่านั้น ได้นิ่งแล้ว. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเตือน
พระญาติเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " มหาบพิตร เพราะเหตุไร ? พวกท่าน
จึงกระทำกรรมเห็นปานนี้, เมื่อเราไม่มีอยู่. ในวันนี้ แม่น้ำคือโลหิตจัก
ไหลนอง, ท่านทั้งหลาย ทำกรรมไม่สมควรแล้ว, ท่านทั้งหลาย เป็นผู้
มีเวรด้วยเวร 5 อยู่, เราไม่มีเวรอยู่; ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความเดือดร้อน
ด้วยกิเลสอยู่, เราไม่มีความเดือดร้อนอยู่; ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความ
ขวนขวายในอันแสวงหากามคุณอยู่, เราไม่มีความขวนขวายอยู่ " แล้วได้
ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
1. สุสุขํ วต ชีวาม เวริเนสุ อเวริโน
เวริเนสุ มนุสฺเสสุ วิหราม อเวริโน.
สุสุขํ วต ชีวาม อาตุเรสุ อนาตุรา
อาตุเรสิ มนุสฺเสสุ วิหราม อนาตุรา.
สุสุขํ วต ชีวาม อุสฺสุเกสุ อนุสฺสุกา
อุสฺสุเกสุ มนุสฺเสสุ วิหราม อนุสฺสุกา.
" ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน พวกเราไม่มีเวร
เป็นอยู่สบายดีหนอ, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน
พวกเราไม่มีเวรอยู่, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความ
เดือดร้อนกัน พวกเราไม่มีความเดือดร้อน เป็นอยู่
สบายดีหนอ, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อน
กัน พวกเราไม่มีความเดือดร้อนอยู่, ในมนุษย์
ทั้งหลายผู้ขวนขวายกัน พวกเราไม่มีความขวนขวาย
เป็นอยู่สบายดีหนอ, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความ
ขวนขวายกัน พวกเราไม่มีความขวนขวายอยู่. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุสุขํ ได้แก่ สบายดี. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสคำอธิบายนี้ไว้ว่า " ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน ด้วยเวร 5 พวก
เราไม่มีเวร ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนด้วยกิเลส (พวกเรา) ชื่อ
ว่าไม่มีความเดือดร้อนเพราะความเป็นผู้ไม่มีกิเลส ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มี
ความขวนขวายในอันแสวงหากามคุณ 5 (พวกเรา) ชื่อว่าไม่มีความขวน-
ขวาย เพราะไม่มีการแสวงหานั้น จึงเป็นอยู่สบายดี กว่าพวกคฤหัสถ์
ผู้ยังความเป็นไปแห่งชีวิตให้บังเกิดขึ้น ด้วยสามารถแห่งการตัดที่ต่อเป็น
ต้น หรือกว่าพวกบรรพชิต ผู้ยังความเป็นไปแห่งชีวิตให้บังเกิดขึ้น ด้วย
สามารถแห่งเวชกรรมเป็นต้นแล้ว กล่าวว่า ' เราเป็นอยู่โดยความสบาย. '
บทที่เหลือมีอรรถอันง่ายทั้งนั้น.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ จบ.
2. เรื่องมาร [158]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในบ้านพราหมณ์ชื่อปัญจสาลา ทรง
ปรารภมาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุสุขํ วต " เป็นต้น.
เด็กหญิง 500 เล่นนักษัตร
ความพิสดารว่า ในวันหนึ่งพระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดา-
ปัตติมรรคขอเด็กหญิง 500 จึงเสด็จเข้าไปอาศัยบ้านนั้นอยู่. แม้เด็กหญิง
เหล่านั้น ในวันนักษัตรวันหนึ่ง ไปสู่แม่น้ำอาบแล้ว ประดับตกแต่งแล้ว
บ่ายหน้าสู่บ้านไปแล้ว. แม้พระศาสดาเสด็จเข้าไปสู่บ้านนั้น เที่ยวไปเพื่อ
บิณฑบาต. มารเข้าสิงในสรีระของชาวบ้านทั้งสิ้น, ได้ทำอย่างที่พระ-
ศาสนาไม่ได้แม้มาตรว่าภิกษาทัพพีหนึ่ง ยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ทูลพระศาสดา
ซึ่งเสด็จออกมาด้วยทั้งบาตรตามที่ล้างไว้แล้วว่า " ข้าเเต่พระสมณะ ท่าน
ได้ก้อนข้าวบ้างไหม ? "
พระศาสดา. มารผู้มีบาป ก็ท่านได้ทำโดยอาการที่เราไม่พึงได้ภิกษา
มาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ากระนั้นขอพระองค์เสด็จเข้าไปอีก
เถิด.
ได้ยินว่า มารได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " หากว่าพระสมณะจะเสด็จ
เข้าไปอีก. เราจักเข้าสิงในสรีระของชนทั้งปวง แล้วปรบฝ่ามือกระทำการ
หัวเราะเยาะเย้ย ข้างหน้าพระสมณะนี้. " ในขณะนั้น เด็กหญิงเหล่านั้น
ถึงประตูบ้าน เห็นพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ฝ่ายมารทูลกะพระศาสดาว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เมื่อไม่ได้
ก้อนข้าว จะเป็นผู้อันความทุกข์อันเกิดจากความหิวบีบคั้นบ้างไหม ? "
ผู้ไม่มีความกังวลเสวยปีติแทนอาหาร
พระศาสดาตรัสว่า " มารผู้มีบาป ในวันนี้ เราแม้ไม่ได้อะไร ๆ
ก็จักยังกาลให้น้อมล่วงไปด้วยความสุขอันเกิดจากปีติเท่านั้น ดุจพรหมใน
เทวโลกชั้นอาภัสระ " แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
2. สุสุขํ วต ชีวาม เยสนฺโน นตฺถิ กิญฺจนํ
ปีติภกฺขา ภวิสฺสาม เทวา อาภสฺสรา ยถา.
" เรา ผู้ซึ่งไม่มีกิเลสชาตเป็นเครื่องกังวล ย่อม
เป็นอยู่สบายดีหนอ, เรา จักเป็นผู้มีปีติเป็นภักษา
เหมือนเหล่าเทวดาชั้นอาภัสระ. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยสนฺโน ความว่า บรรดากิเลสชาต
เครื่องกังวล มีราคะเป็นต้น กิเลสชาตเครื่องกังวลแม้อย่างหนึ่ง โดย
อรรถว่าเครื่องพัวพัน ไม่มีแก่เราเหล่าใด.
บทว่า ปีติภกฺขา ความว่า เหล่าเทวดาชั้นอาภัสระ เป็นผู้มีปีติเป็น
ภักษา ยิ่งกาลให้น้อมล่วงไปฉันใด, แม้เราก็จักเป็นฉันนั้น.
ในกาลจบเทศนา เด็กหญิงทั้ง 500 เหล่านั้น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติ-
ผล ดังนี้แล.
เรื่องมาร จบ. ุ
3. เรื่องปราชัยของพระเจ้าโกศล [159]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปราชภความปราชัย
ของพระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ชยํ เวรํ " เป็นต้น.
อาแพ้หลาน
ได้ยินว่า พระเจ้าโกศลนั้นทรงอาศัยกาสิกคาม รบอยู่กับพระเจ้า
อชาตศัตรู ผู้เป็นพระเจ้าหลาน อันพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นให้แพ้เเล้ว 3 ครั้ง
ในครั้งที่3 ทรงดำริว่า " เราไม่อาจจะยังเด็กซึ่งมีปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
ให้แพ้ได้, ประโยชน์อะไร ด้วยความเป็นอยู่ของเรา ? " ท้าวเธอทรงตัด
พระกระยาหาร เสด็จบรรทมบนพระแท่น. ครั้งนั้น ความเป็นไปอันนั้น
ของท้าวเธอ กระฉ่อนไปทั่วพระนคร. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลแด่พระ-
ตถาคตว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ยินว่า พระราชาทรงอาศัยกาสิกคาม
อันพระเจ้าอชาตศัตรูให้ทรงปราชัยแล้ว 3 ครั้ง, บัดนี้ ท้าวเธอทรงปราชัย
(กลับ) มาแล้ว ทรงตัดพระกระยาหารผทมบนพระแท่น ด้วยทรงดำริว่า
' เราไม่อาจจะยังเด็กซึ่งมีปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้เเพ้ได้, ประโยชน์อะไร
ด้วยความเป็นอยู่ของเรา ? '
พระศาสดา ทรงสดับกถาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย แม้ผู้ชนะย่อมก่อเวร, ฝ่ายผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์เหมือนกัน "
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต สุขํ เสติ หิตฺวา ชยปราชยํ.