คาถาธรรมบท
สุขวรรค1ที่ 15
ว่าด้วยความสุขที่แท้จริง.
[25] 1. ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน พวกเราไม่มี
เวร เป็นอยู่สบายดีหนอ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน
พวกเราไม่มีเวรอยู่ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือด-
ร้อนกัน พวกเราไม่มีความเดือดร้อน เป็นอยู่สบายดี
หนอ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน พวก
เราไม่มีความเดือดร้อนอยู่ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้ขวน
ขวายกัน พวกเราไม่มีความขวนขวาย เป็นอยู่สบาย
ดีหนอ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความขวนขวายน้อย
พวกเราไม่มีความขวนขวายอยู่.
2. เราผู้ซึ่งไม่มีกิเลสชาตเครื่องกังวล ย่อมเป็น
อยู่สบายดีหนอ เราจักเป็นผู้มีปีติเป็นภักษา เหมือน
เหล่าเทวดาชั้นอาภัสระ.
3. ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ผู้
สงบระงับละความชนะและความแพ้ได้แล้ว ย่อมอยู่
เป็นสุข.
4. ไฟเสมอด้วยราคะย่อมไม่มี โทษเสมอด้วย
โทสะย่อมไม่มี ทุกข์ทั้งหลายเสมอด้วยขันธ์ย่อมไม่
มี สุขอื่นจากความสงบย่อมไม่มี.
5. ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารทั้งหลาย
1. วรรคนี้มีอรรถกถา 8 เรื่อง.
เป็นทุกข์อย่างยิ่ง บัณฑิตทราบเนื้อความนั้นตาม
ความจริงแล้ว (กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน) เพราะ
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง.
6. ลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง
ทรัพย์มีความสันโดษเป็นอย่างยิ่ง ญาติมีความคุ้นเคย
เป็นอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง.
7. บุคคลดื่มรสอันเกิดแต่วิเวก และรสพระ-
นิพพานเป็นที่เข้าไปสงบ ดื่มรสปีติอันเกิดแต่ธรรม
ย่อมเป็นผู้ร่วมความกระวนกระวาย ไม่มีบาป.
8. การพบเห็นเหล่าอริยบุคคลเป็นการดี การ
อยู่ร่วม (ด้วยเหล่าอริยบุคคล) ให้เกิดสุขทุกเมื่อ
บุคคลพึงเป็นผู้มีความสุขเป็นนิตย์แท้จริง เพราะไม่
พบเห็นพวกคนพาล เพราะว่าคนเที่ยวสมาคมกับคน
พาล ย่อมโศกเศร้าตลอดกาลยืดยาวนาน ความอยู่
ร่วมกับพวกคนพาล ให้เกิดทุกข์เสมอไป เหมือน
ความอยู่ร่วมด้วยศัตรู ปราชญ์มีความอยู่ร่วมกันเป็น
สุข เหมือนสมาคมเเห่งญาติ เพราะฉะนั้นแล ท่าน
ทั้งหลายจงคบหาผู้ที่เป็นปราชญ์ และมีปัญญา ทั้ง
เป็นพหุสูต นำธุระไปเป็นปกติ มีวัตร เป็นอริยบุคคล
เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาดีเช่นนั้น เหมือนพระจันทร์
ซ่องเสพคลองแห่งนักษัตรฤกษ์ฉะนั้น.
จบสุขวรรคที่ 15
15. สุขวรรควรรณนา
1. เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ [157]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในแคว้นของชาวสักกะ ทรงปรารภหมู่
พระญาติ เพื่อระงับความทะเลาะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุสุขํ
วต " เป็นต้น.
ความวิวาทเกิดเพราะแย่งน้ำ
ดังได้ยินมาว่า พวกเจ้าศากยะและพวกเจ้าโกลิยะ ให้กั้นแม่น้ำชื่อ
ว่าโรหิณี ด้วยทำนบอันเดียวกัน ในระหว่างนครกบิลพัสดุ์กับนครโกลิยะ
แล้วให้ทำข้าวกล้า. ถึงต้นเดือนเชฏฐมาส1 เมื่อข้าวกล้าเหี่ยว, พวกกรรมกร
แม้ของชาวนครทั้งสองประชุมกัน. ในชาวนครทั้งสองนั้นชาวนครโกลิยะ
กล่าวว่า " น้ำนี้ เมื่อถูกพวกเรานำไปแต่ข้างทั้งสองจักไม่พอแก่พวกท่าน,
เมื่อถูกพวกท่านนำไปแต่ข้างทั้งสอง. ก็จักไม่พอแก่พวกข้าพเจ้า; แต่ข้าว
กล้าของพวกข้าพเจ้า จักสำเร็จด้วยน้ำคราวเดียวเท่านั้น พวกท่านจงให้
น้ำนี้แก่พวกข้าพเจ้าเถิด. " ฝ่ายพวกชาวศากยะนอกนี้ กล่าวอย่างนี้ว่า
" เมื่อพวกท่านทำฉางให้เต็มตั้งไว้เเล้ว พวกข้าพเจ้าจักไม่อาจถือเอาทอง
มีสีสุก แก้วสีเขียว แก้วสีดำและกหาปณะ แล้วมีกระเช้าและกระสอบ
เป็นต้นในมือเที่ยวไปที่ประตูเรือนของพวกท่าน, ข้าวกล้าแม้ของพวก
1. เดือนมิถุนายน เดือน 7.
ข้าพเจ้า ก็จักสำเร็จด้วยน้ำคราวเดียวเหมือนกัน, พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่
พวกข้าพเจ้าเถิด. "
โกลิยะ. พวกข้าพเจ้าจักไม่ให้.
ศากยะ. แม้พวกข้าพเจ้าก็จักไม่ให้.
ชาวเมืองทั้งสอง ยังถ้อยคำให้เจริญขึ้นอย่างนั้นแล้ว ประหารซึ่งกัน
และกันอย่างนี้ คือคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วได้ให้ประหารแก่คนหนึ่ง. แม้ชนผู้
ถูกประหารนั้น ก็ได้ให้ประหารแม้แก่ชนอื่น กระทบกระทั่งถึงชาติแห่ง
ราชตระกูลทั้งหลาย ก่อความทะเลาะให้เจริญขึ้นแล้ว. พวกกรรมกรชาว-
โกลิยะกล่าวว่า " พวกเจ้าจงพาเด็กชาวเมืองกบิลพัสดุ์ไปเสียเถิด, ชน
เหล่าใด อยู่ร่วมกับพวกพี่สาวน้องสาวของตน ๆ เหมือนสุนัขบ้านและสุนัข
จิ้งจอกเป็นต้น; ช้าง ม้า โล่และอาวุธทั้งหลายของชนเหล่านั้นจักทำอะไร
แก่พวกข้าพเจ้าได้. "
ฝ่ายพวกกรรมกรชาวศากยะกล่าวว่า " บัดนี้ พวกเจ้าจงพาพวก
เด็กขี้เรื้อนไปเสียเถิด, ชนเหล่าใด ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีคติ อยู่ที่ต้นกระเบา
ดุจสัตว์ดิรัจฉาน; ช้าง ม้า โล่และอาวุธของชนเหล่านั้นจักทำอะไรแก่
พวกข้าพเจ้าได้." ชนเหล่านั้น ไปบอกแก่พวกอำมาตย์ผู้ประกอบใน
กรรมนั้น. พวกอำมาตย์ทูลแก่ราชตระกูลทั้งหลาย.
ลำดับนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายคิดว่า " พวกเราจักแสดงเรี่ยวแรง
และกำลัง ของเหล่าชนผู้อยู่ร่วมกับพวกพี่สาวน้องสาว " แล้วตระเตรียม
การยุทธ์ ออกไปแล้ว. ฝ่ายเจ้าโกลิยะทั้งหลายคิดว่า " พวกเราจักสำแดง
เรี่ยวแรงและกำลัง ของเหล่าชนผู้อยู่ที่ต้นกระเบา " ดังนี้แล้ว ตระเตรียม
การยุทธ์ ออกไปแล้ว.
พระศาสดาเสด็จห้ามพระญาติ
แม้พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตร
เห็นหมู่พระญาติแล้ว ทรงดำริว่า " เมื่อเราไม่ไป. พวกญาติเหล่านี้จัก
ฉิบหาย. การที่เราไปก็ควร " ดังนี้แล้ว จึงเสด็จทางอากาศพระองค์เดียว
เท่านั้น ประทับนั่งโดยบัลลังก์ในอากาศ ณ ท่ามกลางแม่น้ำโรหิณี. พระ-
ญาติทั้งหลาย เห็นพระศาสดาแล้วทิ้งอาวุธ ถวายบังคม. ครั้งนั้น พระ-
ศาสดาตรัสกะพระญาติเหล่านั้นว่า " มหาบพิตร นี่ชื่อว่าทะเลาะอะไรกัน ? "
พวกพระญาติ. พวกข้าพระองค์ ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. บัดนี้ ใครจักทราบเล่า ?
พระญาติเหล่านั้น ถามตลอดถึงพวกทาสและกรรมกร โดยอุบายนี้
ว่า " อุปราช จักทราบ, เสนาบดี จักทราบ " เป็นต้น แล้วกราบทูลว่า
" ทะเลาะกันเพราะน้ำ พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. น้ำตีราคาเท่าไร ? มหาบพิตร.
พวกพระญาติ. มีราคาน้อย พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. กษัตริย์ทั้งหลาย ราคาเท่าไร.
พวกพระญาติ. ขึ้นชื่อว่า กษัตริย์ทั้งหลาย หาค่ามิได้ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ก็การที่ท่านทั้งหลาย ยังพวกกษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้
ฉิบหาย เพราะอาศัยน้ำ ซึ่งมีประมาณน้อย ควรแล้วหรือ ?
พระญาติเหล่านั้น ได้นิ่งแล้ว. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเตือน
พระญาติเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " มหาบพิตร เพราะเหตุไร ? พวกท่าน
จึงกระทำกรรมเห็นปานนี้, เมื่อเราไม่มีอยู่. ในวันนี้ แม่น้ำคือโลหิตจัก
ไหลนอง, ท่านทั้งหลาย ทำกรรมไม่สมควรแล้ว, ท่านทั้งหลาย เป็นผู้
มีเวรด้วยเวร 5 อยู่, เราไม่มีเวรอยู่; ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความเดือดร้อน
ด้วยกิเลสอยู่, เราไม่มีความเดือดร้อนอยู่; ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความ
ขวนขวายในอันแสวงหากามคุณอยู่, เราไม่มีความขวนขวายอยู่ " แล้วได้
ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
1. สุสุขํ วต ชีวาม เวริเนสุ อเวริโน
เวริเนสุ มนุสฺเสสุ วิหราม อเวริโน.
สุสุขํ วต ชีวาม อาตุเรสุ อนาตุรา
อาตุเรสิ มนุสฺเสสุ วิหราม อนาตุรา.
สุสุขํ วต ชีวาม อุสฺสุเกสุ อนุสฺสุกา
อุสฺสุเกสุ มนุสฺเสสุ วิหราม อนุสฺสุกา.
" ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน พวกเราไม่มีเวร
เป็นอยู่สบายดีหนอ, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน
พวกเราไม่มีเวรอยู่, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความ
เดือดร้อนกัน พวกเราไม่มีความเดือดร้อน เป็นอยู่
สบายดีหนอ, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อน
กัน พวกเราไม่มีความเดือดร้อนอยู่, ในมนุษย์
ทั้งหลายผู้ขวนขวายกัน พวกเราไม่มีความขวนขวาย
เป็นอยู่สบายดีหนอ, ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความ
ขวนขวายกัน พวกเราไม่มีความขวนขวายอยู่. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุสุขํ ได้แก่ สบายดี. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสคำอธิบายนี้ไว้ว่า " ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน ด้วยเวร 5 พวก
เราไม่มีเวร ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนด้วยกิเลส (พวกเรา) ชื่อ
ว่าไม่มีความเดือดร้อนเพราะความเป็นผู้ไม่มีกิเลส ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มี
ความขวนขวายในอันแสวงหากามคุณ 5 (พวกเรา) ชื่อว่าไม่มีความขวน-
ขวาย เพราะไม่มีการแสวงหานั้น จึงเป็นอยู่สบายดี กว่าพวกคฤหัสถ์
ผู้ยังความเป็นไปแห่งชีวิตให้บังเกิดขึ้น ด้วยสามารถแห่งการตัดที่ต่อเป็น
ต้น หรือกว่าพวกบรรพชิต ผู้ยังความเป็นไปแห่งชีวิตให้บังเกิดขึ้น ด้วย
สามารถแห่งเวชกรรมเป็นต้นแล้ว กล่าวว่า ' เราเป็นอยู่โดยความสบาย. '
บทที่เหลือมีอรรถอันง่ายทั้งนั้น.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ จบ.
2. เรื่องมาร [158]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในบ้านพราหมณ์ชื่อปัญจสาลา ทรง
ปรารภมาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุสุขํ วต " เป็นต้น.
เด็กหญิง 500 เล่นนักษัตร
ความพิสดารว่า ในวันหนึ่งพระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดา-
ปัตติมรรคขอเด็กหญิง 500 จึงเสด็จเข้าไปอาศัยบ้านนั้นอยู่. แม้เด็กหญิง
เหล่านั้น ในวันนักษัตรวันหนึ่ง ไปสู่แม่น้ำอาบแล้ว ประดับตกแต่งแล้ว
บ่ายหน้าสู่บ้านไปแล้ว. แม้พระศาสดาเสด็จเข้าไปสู่บ้านนั้น เที่ยวไปเพื่อ
บิณฑบาต. มารเข้าสิงในสรีระของชาวบ้านทั้งสิ้น, ได้ทำอย่างที่พระ-
ศาสนาไม่ได้แม้มาตรว่าภิกษาทัพพีหนึ่ง ยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ทูลพระศาสดา
ซึ่งเสด็จออกมาด้วยทั้งบาตรตามที่ล้างไว้แล้วว่า " ข้าเเต่พระสมณะ ท่าน
ได้ก้อนข้าวบ้างไหม ? "
พระศาสดา. มารผู้มีบาป ก็ท่านได้ทำโดยอาการที่เราไม่พึงได้ภิกษา
มาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ากระนั้นขอพระองค์เสด็จเข้าไปอีก
เถิด.
ได้ยินว่า มารได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " หากว่าพระสมณะจะเสด็จ
เข้าไปอีก. เราจักเข้าสิงในสรีระของชนทั้งปวง แล้วปรบฝ่ามือกระทำการ
หัวเราะเยาะเย้ย ข้างหน้าพระสมณะนี้. " ในขณะนั้น เด็กหญิงเหล่านั้น
ถึงประตูบ้าน เห็นพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.