เมนู

พระเถระ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นเป็นอันมาก ข้าพระ-
องค์ผู้เดียวพึงข่มขี่ไม่ได้ ถ้าแม้พระองค์จักเสด็จมาไซร้. ชนเหล่านั้นจัก
เป็นอันพึงข่มขี่ได้.
พระศาสดา. โมคคัลลานะ แม้เราก็จักมา. เธอจงล่วงหน้าไป
ก่อน.
พระเถระ กำลังเดินไปเทียว พลางคิดว่า " ชนเหล่านั้น ทั้งมีกำลัง
ทั้งมีมาก, ถ้าเราจักพูดอะไรๆในที่ประชุมของชนทั้งปวงไซร้; ชนแม้
ทั้งหมดพึงลุกขึ้น โดยความเป็นพวกๆ กัน " ยังฝนมีเม็ดหยาบให้ตกลง
แล้ว ด้วยอานุภาพของตน. ชนเหล่านั้น เมื่อฝนมีเม็ดหยาบตกอยู่, ต่าง
ก็ลุกขึ้นแล้ว ๆเข้าไปยังบรรณศาลาของตน ๆ. พระเถระยืนอยู่ที่ประตู
บรรณาศาลาของอัคคิทัตกล่าวว่า อัคคิทัต. เขาได้ยินเสียงของพระเถระ
แล้ว กล่าวว่า " นั่นเป็นใคร ? " เพราะความเป็นผู้กระด้างเพราะมานะว่า
" ในโลกนี้ใคร ๆชื่อว่าผู้สามารถเรียกเราโดย (ออก) ชื่อ ไม่มี, ใคร
หนอแล ? เรียกเราโดย (ออก) ชื่อ. "
พระเถระ. ข้าพเจ้า พราหมณ์.
อัคคิทัต. ท่านพูดอะไร ?
พระเถระ. ขอท่านจงบอกสถานที่พักอยู่ในที่นี้แก่ข้าพเจ้าสิ้นคืน
หนึ่ง ในวันนี้.
อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ในที่นี้ ไม่มี, บรรณาศาลาหลังหนึ่งก็สำหรับ
คนหนึ่งเท่านั้น.
พระเถระ. อัคคิทัต ธรรมดาพวกมนุษย์ ย่อมไปสู่สำนักของพวก

มนุษย์. พวกโคก็ไปสู่สำนักของโค พวกบรรพชิตก็ไปสู่สำนักของพวก
บรรพชิต, ท่านอย่าทำอย่างนั้น, ขอจงให้ที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า.
อัคคิทัต. ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ ?
พระเถระ. เออ ข้าพเจ้าเป็นบรรพชิต.
อัคคิทัต. ถ้าท่านเป็นบรรพชิตไซร้. สิ่งของคือสาแหรกบริขารแห่ง
บรรพชิต ของท่านอยู่ไหน ?
พระเถระ. บริขารของข้าพเจ้ามีอยู่. ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ' ก็การถือ
บริขารนั้นเป็นแผนก เที่ยวไป ลำบาก ' ดังนี้แล้ว จึงถือบริขารนั้นไว้
โดยภายในนั้นแลเที่ยวไป พราหมณ์. "
พราหมณ์นั้นโกรธพระเถระว่า " ท่านจักถือบริขารนั้นเที่ยวไป
หรือ ? " ลำดับนั้น พระเถระจึงพูดกะเขาว่า " (จงหลีกไป) อัคคิทัต
ท่านอย่าโกรธ (ข้าพเจ้า). จงบอกสถานที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า. "
อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ที่นี้ไม่มี.
พระเถระ. ก็ใคร ? อยู่บนกองทรายนั่น.
อัคคิทัต. นาคราชตัวหนึ่ง.
พระเถระ. ท่านจงให้ที่นั้น แก่ข้าพเจ้า.
อัคคิทัต. ข้าพเจ้าไม่อาจให้ได้. กรรมของนาคราชนั่นร้ายกาจ.
พระเถระ. ช่างเถอะ, ขอท่านจงให้แก่เราเถิด.
อัคคิทัต. ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรู้เองเถิด.

พระเถระผจญกับนาคราช


พระเถระ ผินหน้าตรงกองทรายไปแล้ว. นาคราชเห็นพระเถระ
นั้นมา จึงดำริว่า " พระสมณะนี้มาข้างนี้, เห็นจะไม่ทราบความที่เรามีอยู่;

เราจะบังหวนควัน ให้สมณะนั้นตาย " บังหวนควันแล้ว.
พระเถระคิดว่า " นาคราชนี้เห็นจะเข้าใจว่า ' เราเท่านั้นอาจบังหวน
ควันได้. พวกอื่นย่อมไม่อาจ ' ดังนี้แล้ว บังหวนควันแม้เอง. ควัน
ทั้งหลายพุ่งออกจากสรีระแห่งนาคราชและพระเถระ แม้ทั้งสองฝ่าย ตั้งขึ้น
จนถึงพรหมโลก. ควันทั้งสองฝ่ายไม่เบียดเบียนพระเถระ เบียดเบียนแต่
นาคราชฝ่ายเดียว. นาคราชไม่อาจอดทนกำลังแห่งควันได้ จึงให้ลุกโพลง
(เป็นไฟ). ฝ่ายพระเถระเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์แล้ว ให้ลุกโพลง
(เป็นไฟ) พร้อมกับนาคราชนั้นเหมือนกัน. เปลวไฟพุ่งขึ้นไปจนถึง
พรหมโลก. เปลวไฟแม้ทั้งสองฝ่ายไม่เบียดเบียนพระเถระ เบียดเบียนแต่
นาคราชฝ่ายเดียว.

นาคราชแพ้พระเถระ


ลำดับนั้น สรีระทั้งสิ้นของนาคราชนั้น ได้เป็นราวกะว่าถูกคบเพลิง
ทั้งหลายลนทั่วแล้ว. หมู่ฤษีแลดูแล้วคิดว่า " นาคราชเผาสมณะ, สมณะ
คนดีหนอ ไม่เชื่อฟังคำของพวกเรา จึงฉิบหายแล้ว. "
พระเถระ ทรมานนาคราชทำให้หมดพยศแล้ว นั่งบนกองทราย.
นาคราชเอาขนดรวบกองทราย แผ่พังพานประมาณเท่าห้องโถงแห่งเรือน
ยอด กั้นอยู่แล้วเบื้องบนแห่งพระเถระ. หมู่ฤษีไปยังสำนักของพระเถระ
แต่เช้าตรู่ ด้วยคิดว่า " พวกเราจักรู้ความที่สมณะตายแล้วหรือยังไม่ตาย "
เห็นท่านนั่งอยู่บนยอดกองทรายแล้ว ประคองอัญชลีชมเชยอยู่ กล่าวว่า
" สมณะ นาคราชไม่เบียดเบียนท่านแลหรือ ? "
พระเถระ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นนาคราชแผ่พังพานดำรงอยู่เบื้องบน
แห่งเราหรือ ?

ฤษีเหล่านั้น พูดกันว่า " น่าอัศจรรย์หนอ ! ท่านผู้เจริญ. อานุภาพ
แห่งสมณะ ชื่อเห็นปานนี้. พระสมณะนี้ทรมานนาคราชได้แล้ว " ได้ยืน
ล้อมพระเถระอยู่แล้ว.
ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมาแล้ว. พระเถระเห็นพระศาสดาแล้ว
ลุกขึ้นถวายบังคม. ลำดับนั้น ฤษีทั้งหลาย พูดกะพระเถระนั้นว่า " สมณะ
นี้ เป็นใหญ่แม้กว่าท่านหรือ ? "
พระเถระ. พระผู้มีพระภาคเจ้านั่น เป็นพระศาสดา, ข้าพเจ้าเป็น
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้.

พวกฤษีชมเชยพระศาสดา


พระศาสดาประทับนั่งบนยอดกองทรายแล้ว. หมู่ฤษีประคองอัญชลี
ชมเชยพระศาสดาว่า " อานุภาพของสาวกยังถึงเพียงนี้, ส่วนอานุภาพ
ของพระศาสดานี้ จักเป็นเช่นไร ? "
พระศาสดาตรัสเรียกอัคคิทัตมาแล้ว ตรัสว่า " อัคติทัต ท่านเมื่อ
ให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากทั้งหลายของท่าน ย่อมกล่าวว่า ' อย่างไร ? '
ให้. "
อัคคิทัต. ข้าพระองค์ให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากเหล่านั้น อย่าง
นี้ว่า ่ท่านทั้งหลาย จงถึงภูเขานั่นว่าเป็นที่พึ่ง, จงถึงป่า อาราม, จงถึง
ต้นไม้ ว่าเป็นที่พึ่ง; ด้วยว่าบุคคลถึงวัตถุทั้งหลาย มีภูเขาเป็นต้นนั้นว่า
เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.'

สรณะที่เกษมและไม่เกษม


พระศาสดาตรัสว่า " อัคคิทัต บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้น
นั่นว่าเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย, ส่วนบุคคลถึงพระพุทธ

พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นได้ "
ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
6. พหุํ เว สรณํ ยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ
อารามรุกฺขเจตฺยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ
เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.
โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ
อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมคามินํ
เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ
เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.
" มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อม
ถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง;
สรณะนั่นแลไม่เกษม, สรณะนั่นไม่อุดม, เพราะ
บุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ 4 (คือ) ทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรค
มีองค์ 8 อันประเสริฐ ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบ
แห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ; สรณะนั่นแลของ

บุคคลนั้นเกษม, สรณะนั่นอุดม, เพราะบุคคลอาศัย
สรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหุํ ได้แก่ พหู แปลว่ามาก. บทว่า
ปพฺพตานิ เป็นต้น ความว่า มนุษย์เหล่านั้นๆ อันภัยนั้นๆ คุกคามแล้ว
อยากพ้นจากภัย หรือปรารถนาลาภทั้งหลาย มีการได้บุตรเป็นต้น ย่อม
ถึงภูเขา มีภูเขาชื่ออิสิคิลิ เวปุลละและเวภาระเป็นต้น ป่าทั้งหลาย มีป่า
มหาวัน ป่าโคสิงคสาลวันเป็นต้น อารามทั้งหลาย มีเวฬุวันและชีวกัมพวัน
เป็นต้น และรุกขเจดีย์ทั้งหลาย มีอุเทนเจดีย์และโคตมเจดีย์เป็นต้นในที่
นั้น ๆ ว่าเป็นที่พึ่ง.
สองบทว่า เนตํ สรณํ ความว่า ก็สรณะแม้ทั้งหมดนั่นไม่เกษม
ไม่อุดม. ด้วยว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นต้น เป็นธรรมดาแม้
ผู้หนึ่ง อาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง มีชาติเป็นต้นได้.
คำว่า โย จ เป็นต้นนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสรณะอันไม่
เกษม ไม่อุดมแล้ว ปรารภไว้เพื่อจะทรงแสดงสรณะอันเกษม อันอุดม.
เนื้อความแห่งคำว่า โย จ เป็นต้นนั้น (ดังต่อไปนี้) :-
ส่วนบุคคลใด เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม อาศัยกัมมัฎ-
ฐาน คือการตามระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้นว่า
" แม้เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ถึงพระพุทธ พระธรรม เเละพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ด้วย
สามารถแห่งความเป็นวัตถุอันประเสริฐ, การถึงสรณะนั้น ของบุคคลแม้
นั้น ยังกำเริบ ยังหวั่นไหว ด้วยกิจทั้งหลายมีการไหว้อัญเดียรถีย์เป็นต้น,

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงความที่การถึงสรณะนั้นไม่หวั่นไหว
เมื่อจะทรงประกาศสรณะอันมาแล้วโดยมรรคนั่นแล จึงตรัสว่า ' ย่อมเห็น
อริยสัจ 4 ด้วยปัญญาชอบ.' ด้วยว่าบุคคลใดถึงรัตนะทั้งหลาย มีพระพุทธ-
รัตนะเป็นต้นนั่นว่า เป็นที่พึ่ง ด้วยสามารถแห่งการเห็นสัจจะเหล่านั้น,
สรณะนั้นของบุคคลนั้น เกษมและอุดม. และบุคคลนั้นอาศัยสรณะนั่น
ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะแม้ทั้งสิ้นได้; เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า เอตํ โข สรณํ เขมํ เป็นต้น
ในกาลจบเทศนา ฤษีเหล่านั้นแม้ทั้งหมด บรรลุพระอรหัตพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ทูลขอบรรพชาแล้ว.
พระศาสดา ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกจากกลีบจีวร ตรัสว่า " ท่าน
ทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์."

ชาวเมืองเข้าใจว่าอัคคิทัตใหญ่กว่าพระศาสดา


ในขณะนั้นเอง ฤษีเหล่านั้นได้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร 8 ดุจพระ-
เถระมีพรรษาตั้งร้อย. ก็วันนั้นได้เป็นวันที่ชาวแคว้นอังคะ แคว้นมคธะ
และแคว้นกุรุ แม้ทั้งปวงถือเครื่องสักการะมา. ชนเหล่านั้นถือเครื่อง
สักการะมาแล้ว เห็นฤษีเหล่านั้นแม้ทั้งหมดบวชแล้ว คิดว่า " อัคคิทัต
พราหมณ์ของพวกเราเป็นใหญ่ หรือพระสมณโคดมเป็นใหญ่หนอแล ? "
ได้สำคัญว่า " อัคคิทัต เป็นใหญ่แน่ เพราะเหตุที่พระสมณโคดมมาหา."

อัคคิทัตตัดความสงสัยของชาวเมือง


พระศาสดา ทรงตรวจดูอัธยาศัยของชนเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า
" อัคคิทัต เธอจงตัดความสงสัยของบริษัท. " พระอัคคิทัตนั้นกราบทูลว่า
" แม้ข้าพระองค์ ก็หวังเหตุมีประมาณเพียงนั้นเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว