พระราชาทรงเนรเทศอำมาตย์ชั่ว
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสบอกวาระจิต ของอำมาตย์ทั้งสองคนแล้ว
ตรัสบอกความที่อนุโมทนา เป็นอันพระองค์อาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬ-
อำมาตย์ จึงไม่ทรงทำแล้วแก่ท้าวเธอ. พระราชาตรัสถามว่า " กาฬะ ได้
ยินว่า ท่านคิดอย่างนี้จริงหรือ ? " เมื่อเขาทูลว่า "จริง" จึงตรัสว่า
" เมื่อเราพร้อมกับบุตรภรรยาของเรา มิได้ถือเอาของมีอยู่ของท่าน ให้
ของมีอยู่ของตน, เบียดเบียนอะไรท่าน ? สิ่งใดที่เราให้แก่ท่านแล้ว สิ่ง
นั้นจงเป็นอันให้เลยทีเดียว; แต่ท่านจงออกไปจากแว่นแคว้นของเรา "
ดังนี้แล้ว จึงทรงเนรเทศกาฬอำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น แล้วรับสั่ง
ให้เรียกชุณหอำมาตย์มา ตรัสถามว่า " ได้ยินว่า ท่านคิดอย่างนี้ จริง
หรือ ? เมื่อเขาทูลว่า " จริง " จึงตรัสว่า " ดีละ ลุง, เราเลื่อมใส
(ขอบใจ). ท่านจงรับราชสมบัติของเราแล้ว ให้ทานสิ้น 7 วัน โดย
ทำนองที่เราให้แล้วนั่นแล " ทรงมอบราชสมบัติแก่เขาสิ้น 7 วันแล้ว
จึงกราบทูลพระศาสดาว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทอด
พระเนตรการทำของคนพาล. เขาได้ให้ความลบหลู่ในทาน ที่หม่อมฉัน
ถวายแล้วอย่างนี้. "
คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้
พระศาสดาตรัสว่า " อย่างนั้น มหาบพิตร, ขึ้นชื่อว่าพวกคนพาล
ไม่ยินดีทานของผู้อื่น เป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไป ณ เบื้องหน้า. ส่วนพวกนัก
ปราชญ์อนุโมทนาทานแม้ของชนเหล่าอื่น จึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไป ณ
เบื้องหน้าโดยแท้ " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
10. น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ
พาลา หเว นปฺปสํสนฺติ ทานํ
ธีโร จ ทานํ อนุโมทมาโน
เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถ.
" พวกคนตระหนี่จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย, พวก
คนพาลแล ย่อมไม่สรรเสริญทาน, ส่วนนักปราชญ์
อนุโมทนาทานอยู่ เพราะเหตุนั้นนั่นเอง นักปราชญ์
นั้น จึงเป็นผู้มีสุขในโลกหน้า. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กทริยา คือผู้มีความตระหนี่เหนียว
แน่น. ผู้ไม่รู้จักประโยชน์โนโลกนี้และโลกหน้า ชื่อว่าพวกพาล บัณฑิต
ชื่อว่า ธีรชน, สองบทว่า สุขี ปรตฺถ ความว่า ธีรชนนั้น เมื่อเสวย
ทิพยสมบัติ ชื่อว่าเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า เพราะบุญอันสำเร็จแต่การ
อนุโมทนาทานนั้นนั่นเอง.
ในเวลาจบเทศนา ชุณหอำมาตย์ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. เทศนา
ได้มีประโยชน์แม้เเก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว. ชุณหอำมาตย์ ครั้นเป็น
พระโสดาบันแล้ว ได้ถวายทานโดยทำนองที่พระราชาถวายแล้วสิ้น 7 วัน
เหมือนกัน ดังนี้แล.
เรื่องอสทิสทาน จบ.
11. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี [147]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรของ
ท่านอนาถบิณฑิกะ ชื่อว่า กาละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปฐพฺยา
เอกรชฺเชน " เป็นต้น.
บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม
ได้ยินว่า นายกาละนั้นเป็นบุตรเศรษฐี ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศรัทธา
เช่นนั้น ก็ไม่ปรารถนาจะไปสู่สำนักของพระศาสดาเลย. ไม่ปรารถนาจะฟัง
ธรรม. ไม่ปรารถนาจะทำการขวนขวายแก่สงฆ์; แม้ถูกบิดาพูดว่า " เจ้า
อย่าทำอย่างนี้ พ่อ " ก็ไม่ฟังคำของท่าน.
ลำดับนั้น บิดาของเขาคิดว่า เจ้ากาละนี้ เมื่อถือทิฏฐิเห็นปานนี้
เที่ยวไป จักเป็นผู้มีอเวจีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า; ก็เมื่อเรายังเห็นอยู่ บุตร
ของเราพึงไปสู่นรก, ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราเลย; ก็ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่เพ่ง
เล็งเพราะการให้ทรัพย์ ไม่มีในโลกนี้เลย, เราจักทำลายทิฏฐิของบุตรนั้น
ด้วยทรัพย์."
ลำดับนั้น เศรษฐีพูดกะนายกาละนั้นว่า " พ่อ เจ้าจงเป็นผู้รักษา
อุโบสถ ไปสู่วิหารฟังธรรมแล้วมาเถิด เราจักให้กหาปณะ 100 แก่เจ้า."
กาละ. จักให้หรือ ? พ่อ.
เศรษฐี. จักให้ ลูก.
นายกาละนั้น รับปฏิญญา 3 ครั้งแล้ว เป็นผู้รักษาอุโบสถ ได้ไป
สู่วิหารแล้ว. แต่กิจด้วยการฟังธรรมของเขาไม่มี; เขานอนในที่ตามความ
สำราญแล้ว ได้ไปบ้านแต่เช้าตรู่. ลำดับนั้น บิดาของเขาพูดว่า " บุตร
ของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ, ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาแก่เขา
เร็ว " ดังนี้แล้ว ก็สั่งคนใช้ให้ ๆ. นายกาละนั้นห้ามอาหารเสีย ด้วย
พูดว่า " เรายังมิได้รับกหาปณะจักไม่บริโภค. " ลำดับนั้น บิดาของเขา
เมื่ออดทนการรบกวนไม่ได้ จึงให้ห่อกหาปณะแล้ว. นายกาละนั้น ต่อ
รับกหาปณะนั้นไว้ด้วยมือแล้ว จึงบริโภคอาหาร.
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เศรษฐีสั่งเขาไป ด้วยพูดว่า " พ่อ เราจักให้
กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า. เจ้ายืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอา
บทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา. เขาไปวิหาร ยืนตรงพระพักตร์
ของพระศาสดา ได้เป็นผู้ใคร่จะเรียนเอาบทแห่งธรรม บทเดียวเท่านั้น
แล้วหนีไป. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงทำอาการ คือการกำหนดไม่ได้
แก่เขา. เขากำหนดบทนั้นไม่ได้เเล้ว จึงได้ยืนฟังแล้วเทียว ด้วยคิดว่า
" เราจักเรียนบทต่อไป. " นัยว่าชนทั้งหลาย ต่อฟังอยู่ ด้วยคิดว่า " เรา
จักเรียนให้ได้ ชื่อว่าฟังโดยเคารพ.
ก็ธรรมดา เมื่อชนทั้งหลายฟังอยู่อย่างนี้, ธรรมย่อมให้โสดา-
ปัตติมรรคเป็นต้น. ถึงนายกาละนั้นก็ฟังอยู่ด้วยคิดว่า " จักเรียนให้ได้."
แม้พระศาสดาก็ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำลังยืนฟัง
อยู่เทียว ด้วยคิดว่า " จักเรียนต่อไป " จึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
บรรลุโสดาปัตติผลแล้วรับค่าจ้าง
ในวันรุ่งขึ้น นายกาละนั้นไปสู่กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขทีเดียว. มหาเศรษฐีพอเห็นเขาก็คิดว่า " วันนี้
เราชอบใจอาการของบุตร." แม้นายกาละนั้นก็ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า
" โอหนอ วันนี้ บิดาของเราไม่พึงให้กหาปณะในที่ใกล้พระศาสดา
พึงปกปิดความที่เราเป็นผู้รักษาอุโบสถเพราะเหตุแห่งกหาปณะไว้. " แต่
พระศาสดา ได้ทรงทราบความที่นายกาละนั้น เป็นผู้รักษาอุโบสถ เพราะ
เหตุแห่งกหาปณะแล้วในวันวาน มหาเศรษฐีให้ถวายข้าวต้มแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว จึงสั่งให้ ๆ แม้แก่บุตร. นายกาละนั้นเป็น
ผู้นั่งนิ่งเทียว ดื่มข้าวต้ม เคี้ยวของควรเคี้ยว บริโภคภัต.
ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระศาสดา มหาเศรษฐีให้บุคคลวางห่อ
กหาปณะพันหนึ่งไว้ตรงหน้าบุตรแล้ว พูดว่า " พ่อ พ่อพูดว่า 'จักให้'
กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า' จึงให้เจ้าสมาทานอุโบสถ ส่งไปวิหาร นี้กหา-
ปณะพันหนึ่งของเจ้า. " นายกาละนั้น เห็นกหาปณะที่บิดาให้เฉพาะพระ-
พักตร์ของพระศาสดา ละอายอยู่ จึงพูดว่า " ผมไม่ต้องการด้วยกหาปณะ
ทั้งหลาย " แม้ถูกบิดาพูดว่า " จงรับเถิด พ่อ " ก็ไม่รับแล้ว.
โสดาปัตติผลเลิศกว่าสมบัติทุกอย่าง
ลำดับนั้น บิดาของเขาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ ข้าพระองค์ ชอบใจอาการของบุตร " เมื่อ
พระศาสดาตรัส ถามว่า " อะไร ? มหาเศรษฐี " จึงกราบทูลว่า " ใน
วันก่อน บุตรของข้าพระองค์นี้ อันข้าพระองค์พูดว่า 'เราจักให้กหาปณะ
10 แก่เจ้า ' แล้วส่งไปวิหาร ในวันรุ่งขึ้น ยังไม่ได้รับกหาปณะแล้ว
ไม่ปรารถนาจะบริโภค; แต่วันนี้ เขาไม่ปรารถนากหาปณะแม้ที่ข้าพระ-
องค์ให้. " พระศาสดาตรัสว่า " อย่างนั้น มหาเศรษฐี. วันนี้ โสดาปัตติผล
นั่นแลของบุตรของท่าน ประเสริฐแม้กว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ
แม้กว่าสมบัติในเทวโลก และพรหมโลก " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-
11. ปฐพฺยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปจฺเจน โสตาปตฺติผลํ วรํ.
" โสดาปัตติผล ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราช
ในแผ่นดิน กว่าการไปสู่สวรรค์ และกว่าความเป็น
ใหญ่ในโลกทั้งปวง. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปฐพฺยา เอกรชฺเชน คือ
กว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. บาทพระคาถาว่า สคฺคสฺส คมเนน วา
ความว่า กว่าการกล่าวถึงสวรรค์ 26 ชั้น. บาทพระคาถาว่า สพฺพโลกา
ธิปจฺเจน ความว่า กว่าความเป็นใหญ่ในโลก มีประมาณเท่านั้น ๆ คือ
ในโลกทั้งปวง พร้อมด้วยนาค ครุฑ และเวมานิกเปรต. บาทพระคาถาว่า
โสตาปตฺติผลํ วรํ ความว่า เพราพระพระราชา แม้เสวยราชสมบัติในที่มี
ประมาณเท่านั้น ก็เป็นผู้ไม่พ้นจากนรกเป็นต้นได้เลย ส่วนพระโสดาบัน
เป็นผู้มีประตูอบายอันปิดแล้ว แม้มีกำลังเพลากว่าพระโสดาบัน1ทั้งสิ้น ก็
1. พระโสดาบัน 3 พวก คือ สัตตักขัตตุปรมะ 1 โกลังโกละ 1 เอกพิชี 1. พวกแรกมีกำลัง
เพลากว่า 2 พวกหลัง.
ไม่เกิดในภพที่ 8; ฉะนั้น โสดาปัตติผลนั่นแล จึงประเสริฐ คือสูงสุด.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จบ.
โลกวรรครรรณนา จบ.
วรรคที่ 13 จบ.
คาถาธรรมบท
พุทธวรรค1ที่ 14
ว่าด้วยเรื่องพระพุทธเจ้า
[24] 1. กิเลสชาตมีราคะเป็นต้น อันพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า พระองค์ใดชนะแล้ว อันพระองค์ย่อมไม่-
กลับแพ้ กิเลสหน่อยหนึ่งในโลกย่อมไปหากิเลสชาต
ที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นชนะแล้วไม่ได้ พวกเจ้าจัก
นำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มี
ร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ตัณหามีข่ายซ่านไปตาม
อารมณ์ต่าง ๆ ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เพื่อ
นำไปในภพไหนๆ พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระ-
องค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอยไปด้วย
ร่องรอยอะไร.
2. พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเป็นปราชญ์ ขวน-
ขวายในฌาน ยินดีแล้วในธรรมที่เข้าไปสงบ ด้วย-
สามารถแห่งการออก แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ก็ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมพุทธเจ้าผู้มีสติเหล่านั้น.
3. ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก ชีวิต
ของสัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ยาก การฟังพระสัทธรรม
1. วรรคนี้ มีอรรถกถา 9 เรื่อง.