2. เรื่องพระเจ้าสุทโธนทะ [138]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภพระบิดา
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย " เป็นต้น.
พระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรก
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง พระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์บุรี
โดยเสด็จไปครั้งแรก มีการต้อนรับอันพระญาติทั้งหลายทำแล้วเสด็จไปสู่
นิโครธาราม ทรงนิรมิตตนจงกรมในอากาศ จงกรมบนรัตนจงกรมนั้น
ทรงแสดงธรรมเพื่อต้องการทำลายมานะของพระญาติทั้งหลายแล้ว. พระ-
ญาติทั้งหลายมีจิตเลื่อมใสแล้ว ถวายบังคมตั้งต้นแต่พระเจ้าสุทโธทนมหา-
ราช. ฝนโบกขรพรรษตกในสมาคมแห่งพระญาตินั้น. เมื่อมหาชนปรารภ
ฝนนั้น สนทนากันแล้วพระศาสดาตรัสว่า " ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้
ภิกษุทั้งหลาย. ถึงในกาลก่อน ฝนโบกขรพรรษก็ตกในสมาคมแห่งญาติ
ของเราเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว จึงตรัสเวสสันดรชาดก1. บรรดาพระญาติ
ซึ่งฟังพระธรรมเทศนาแล้วหลีกไปอยู่. แม้องค์หนึ่งก็ไม่นิมนต์พระศาสดา
แล้ว. แม้พระราชาก็ไม่ทรงนิมนต์เลย ด้วยทรงดำริว่า " บุตรเราไม่มา
สู่เรือนของเรา จักไปไหน ? " ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไป ; ก็แลครั้นเสด็จไป
แล้ว รับสั่งให้คนตกแต่งข้าวต้มเป็นต้น ให้ปูลาดอาสนะทั้งหลายไว้เพื่อ
ภิกษุมีประมาณสองหมื่น ในพระราชมนเฑียร.
1. ขุ. ชา. มหา. 27/365. อรรถกถา.10/315.
วันรุ่งขึ้น พระศาสดาเมื่อเสด็จเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต ทรง
ใคร่ครวญว่า " พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย เสด็จถึงพระนครแห่งพระ-
บิดาแล้ว เสด็จตรงไปสู่ตระกูลแห่งพระญาติทีเดียวหรือหนอแล ? หรือว่า
เสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต โดยลำดับ " ทรงเห็นว่า " เสด็จเที่ยวไปโดย
ลำดับ " ดังนี้แล้ว จึงเสด็จดำเนินไปเพื่อบิณฑบาตตั้งแต่เรือนหลังแรก.
พระมารดาของพระราหุลประทับนั่งบนพื้นปราสาทแลเห็นแล้ว จึงกราบ-
ทูลประพฤติเหตุนั้นแด่พระราชา พระราชาทรงจัดแจงผ้าสาฎกรีบเสด็จ
ออกไป ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ตรัสว่า " ลูก เพราะเหตุไร ? ท่าน
จึงให้ข้าพเจ้าฉิบหาย. ท่านเที่ยวไปเพื่อภิกษา ให้ความละอายเกิดขึ้นแล้ว
แก่ข้าพเจ้าเหลือเกิน. ขึ้นชื่อว่ากรรมไม่ควรอันท่านทำแล้ว. การที่ท่าน
เที่ยวไปด้วยวอทองคำเป็นต้น เที่ยวไปเพื่อภิกษา ในนครนี้นั้นแหละจึง
ควร ; ท่านให้ข้าพเจ้าละอายทำไม ? "
การบิณฑบาตเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้า
พระศาสดา. มหาบพิตร อาตมภาพให้พระองค์ละอายหามิได้,
แต่อาตมภาพย่อมประพฤติตามวงศ์สกุลของตน.
พระราชา. พ่อ ก็การเที่ยวไปเพื่อภิกษาแล้วเป็นอยู่ เป็นวงศ์
ของข้าพเจ้าหรือ ?
พระศาสดาตรัส ว่า " มหาบพิตร นั่นมิใช่เป็นวงศ์ของพระองค์. แต่
นั่นเป็นวงศ์ของอาตมภาพ ; เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่พันหนึ่ง เสด็จเที่ยว
ไปเพื่อบิณฑบาตแล้วเป็นอยู่เหมือนกัน" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรม
ได้ภาษิตพระคาถาเหล่านั้นว่า:-
2. อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย ธมฺมํ สุจริตํ จเร
ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ.
ธมฺมํ จเร สุจริตํ น นํ ทุจฺจริตํ จเร
ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ.
" บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตนพึง
ลุกขึ้นยืนรับ, บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ผู้มี
ปกติประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลก
หน้า, บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต, ไม่พึง
ประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต, ผู้มีปกติประพฤติธรรม
ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺติฏฺเฐ ความว่า ในก้อนข้าว อันตน
พึงลุกขึ้นยืนรับที่ประตูเรือนของชนเหล่าอื่น. บทว่า นปฺปมชฺเชยฺย
ความว่า ก็ภิกษุเมื่อให้ธรรมเนียมของผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นปกติเสื่อมแล้ว
แสวงหาโภชนะอันประณีต ชื่อว่าย่อมประมาท ในก้อนข้าวอันตนพึงลุก
ขึ้นยืนรับ. แต่ว่าเมื่อเที่ยวไปตามลำดับตรอกเพื่อบิณฑบาต ชื่อว่าย่อมไม่
ประมาท. ทำอยู่อย่างนั้น ชื่อว่าไม่พึงประมาท ในก้อนข้าวที่ตนพึงลุกขึ้น
ยืนรับ.
บทว่า ธมฺมํ ความว่า เมื่อละการแสวงหาอันไม่ควรแล้วเที่ยวไป
ตามลำดับตรอก ชื่อว่าพึงประพฤติธรรม คือการเที่ยวไปเพื่อภิกษานั้น
นั่นแลให้เป็นสุจริต. คำว่า สุขํ เสติ นั่น สักว่าเป็นเทศนา. อธิบายว่า
เมื่อประพฤติธรรมคือการเที่ยวไปเพื่อภิกษา ชื่อว่าประพฤติธรรมเป็น
ปกติ ย่อมอยู่เป็นสุขโดยอิริยาบถแม้ทั้ง 4 ในโลกนี้และโลกหน้า.
สองบทว่า น ตํ ทุจฺจริตํ ความว่า เมื่อเที่ยวไปในอโคจร ต่างด้วย
อโคจรมีหญิงแพศยาเป็นต้น ชื่อว่าย่อมประพฤติธรรม คือการเที่ยวไปเพื่อ
ภิกษาให้เป็นทุจริต. ไม่ประพฤติอย่างนั้น พึงประพฤติธรรมนั้นให้เป็น
สุจริต, ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้เป็นทุจริต. คำที่เหลือ มีเนื้อความ
ดังกล่าวแล้วเหมือนกัน.
ในเวลาจบเทศนา พระราชาทรงดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว.
เทศนาได้มีประโยชน์แม้เเก่ชนทั้งหลายผู้ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องพระเจ้าสุทโธทนะ จบ.
3. เรื่องภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา [139]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เจริญ
วิปัสสนามีประมาณ500รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยถา ปุพฺพุฬกํ
ปสฺเส " เป็นต้น.
ภิกษุถือเอาพยับแดดเป็นอารมณ์
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดา
แล้ว เข้าไปสู่ป่า แม้พยายามอยู่ ก็ไม่ได้บรรลุคุณวิเศษ จึงคิดว่า '' พวก
เราจักเรียนกัมมัฏฐานให้วิเศษ " กำลังมาสู่สำนักของพระศาสดา เห็น
พยับแดดในระหว่างทาง เจริญกัมมัฏฐานมีพยับแดดเป็นอารมณ์นั่นแหละ
มาแล้ว. ฝนตกในขณะแห่งภิกษุเหล่านั้นเข้าไปสู่วิหารนั่นเอง ภิกษุ
เหล่านั้นยืนที่หน้ามุขนั้น ๆ เห็นฟองน้ำทั้งหลายซึ่งตั้งขึ้นแล้ว แตกไป
อยู่ด้วยความเร็วแห่งสายน้ำ ยึดเอาเป็นอารมณ์ว่า " อัตภาพแม้นี้ เป็น
เช่นกับฟองน้ำ เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นแล้วแตกไปเหมือนกัน. " พระศาสดา
ประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ทรงแลดูภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงแผ่
พระโอภาส เหมือนตรัสกับภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. ยถา ปุพฺพุฬกํ ปสฺเส ยถา ปสฺเส มรีจิกํ
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ.
" พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็น
อยู่ซึ่งโลก เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรีจิกํ คือพยับแดด จริงอยู่ พยับแดด
แม้ปรากฏขึ้นแต่ที่ไกลเทียว ด้วยสามารถมีสัณฐานดังสัณฐานเรือนเป็นต้น
เป็นของเข้าถึงความเป็นรูปที่ถือเอามิได้ เป็นของว่างเปล่าแท้ (ย่อม
ปรากฏ) แก่คนทั้งหลายผู้เข้าไปใกล้อยู่, เพราะเหตุนั้น จึงมีอธิบายว่า
" พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็นอยู่ซึ่งโลกมีขันธ์เป็นอาทิ
เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นแล้วแตกไป (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด เพราะความเป็นธรรมชาติว่างเปล่าเป็น
อาทิ ฉะนั้น. "
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ในที่แห่ง
ตนยืนนั่นเอง ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา จบ.
4. เรื่องอภัยราชกุมาร [140]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภอภัยราชกุมาร
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ " เป็นต้น.
พระกุมารได้รับพระราชทานราชสมบัติ
ได้ยินว่า เมื่ออภัยราชกุมารนั้น ทรงปราบปรามปัจจันตชนบทให้
สงบมาแล้ว พระเจ้าพิมพิสารผู้พระบิดา ทรงพอพระทัยแล้ว พระราชทาน
หญิงฟ้อนคนหนึ่ง ผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับแล้ว ได้พระราชทาน
ราชสมบัติสิ้น 7 วัน. อภัยราชกุมารนั้น ไม่เสด็จออกภายนอกพระราช-
มนเฑียรเลย. เสวยสิริแห่งความเป็นพระราชาสิ้น 7 วัน เสด็จไปสู่ท่า
แม่น้ำในวันที่ 8 ทรงสรงสนานแล้ว เสด็จเข้าไปสู่พระอุทยาน ประทับ
นั่งทอดพระเนตรการฟ้อนและการขับของหญิงนั้น ดุจสันตติมหาอำมาตย์.
ในขณะนั้นเอง แม้นางนั้นได้ทำกาละ ด้วยอำนาจกองลมกล้าดุจศัสตรา
ดุจหญิงฟ้อนของสันตติมหาอำมาตย์ พระกุมารมีความโศกเกิดขึ้นแล้ว
เพราะกาลกิริยาของหญิงฟ้อนนั้น ทรงดำริว่า " ผู้อื่น เว้นพระศาสดาเสีย
จักไม่อาจเพื่อให้ความโศกนี้ของเราดับได้ " ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระ-
ศาสดากราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงให้ความโศกของข้าพระองค์
ดับเถิด. "
อุบายระงับความโศก
พระศาสดา ทรงปลอบพระกุมารนั้นแล้วตรัสว่า " กุมาร ก็ประมาณ
แห่งน้ำตาทั้งหลาย ที่เธอร้องไห้อยู่ในกาลแห่งหญิงนี้ตายแล้ว อย่างนี้
นี่แลให้เป็นไปแล้ว ย่อมไม่มีในสงสาร ซึ่งมีที่สุดอันใคร ๆ รู้ไม่ได้ "