อนาปัตติวาร
[401] ภิกษุมุง 2-3 ชั้น 1 ภิกษุมุงหย่อนกว่า 2-3 ชั้น 1 ภิกษุ
สร้างถ้า 1 คูหา 1 กุฎีมุงหญ้า 1 ภิกษุสร้างกุฎีเพื่อภิกษุอื่น 1 ภิกษุสร้าง
ด้วยทรัพย์ของตน 1 ยกอาคารอันเป็นที่อยู่เสีย ภิกษุสร้างทุกอย่างไม่ต้อง
อาบัติ 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรคสิกขาบทที่ 9 จบ
เสนาสนวรรค มหัลลกวิหารสิกขาบทที่ 9
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 9 ดังต่อไปนี้
[แก้อรรถปาฐะ เรื่องกรอบประตูหน้าต่าง]
โอกาสขนาดเท่าความกว้างของบานประตู โดยรอบแห่งบานประตู
ชื่อ ว่าทวารโกส (กรอบแห่งประตู) ในคำว่า ยาว ทฺวารโกสา นี้. แต่ใน
มหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า หนึ่งศอกคืบ วัดจากบานประตู. ในกุรุนทีกล่าวว่า
ขนาดเท่าบานประตูในข้างทั้งสอง ด้านแห่งประตู ในมหาอรรถกถาท่านกล่าว
ว่า ชื่อว่าบานประตู มีขนาดศอกคืบก็มี 2 ศอกก็มี 2 ศอกคืบก็มี. คำใน
มหาอรรถกถานั้นท่านกล่าวดีแล้ว. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอา
อรรถนั้นนั่นแล จึงทรงทำการกำหนดอย่างสูงไว้ ดังนี้ว่า ชั่วหัตถบาส โดย
รอบแห่งบานประตู.
บทว่า อคฺคลฏฺฐปนาย มีความว่า เพื่อจะวางทวารพันธ์ (กรอบ
ประตู) พร้อมทั้งบาน, อธิบายว่า เพื่อต้องการความไม่เคลื่อนที่แห่งกรอบ
ประตูพร้อมทั้งบานประตู. จริงอยู่ แม้บทภาชนะว่า ทฺวารฏฺฐปนาย นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสหมายเอาอรรถนี้นั่นแล.
ก็ในคำนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ก็บานประตูหมุนคล่องย่อมกระทบฝา
ในเวลาเปิด, ย่อมกระทบกรอบประตูในเวลาปิด. ฝาย่อมกระเทือนด้วยการ
กระทบนั้น, เพราะฝากระเทือนนั้น ดินย่อมคลอน ครั้นคลอนแล้วย่อมหย่อน
หรือหลุดลง. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยาว ทฺวารโกสา
อคฺคลฏฺฐปนาย ดังนี้ .
บัณฑิตพึงเห็นใจความในคำนั้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้
ตรัสไว้ในมาติกา ไม่ได้ตรัสไว้ในบทภาชนะเลยว่า กิจชื่อนี้ ควรกระทำ
แม้ก็จริง. ถึงกระนั้นเพื่อจะวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู ก็พึงฉาบ
เอง หรือพึงให้ฉาบบ่อย ๆ โดยอำนวยการตามในอัตถุปปสัตติเหตุว่า ภิกษุให้
ฉาบบ่อย ๆ ให้โบกบ่อย ๆ ดังนี้ .
ส่วนในคำที่ตรัสไว้ในบทภาชนะว่า ปิฏฐิสงฺฆาฏสฺส สมนฺตา
หตฺถปาสา พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ วิหารใดมีประตูอยู่ตรงกลาง และมีฝา
สูงอยู่ส่วนบน หัตถบาสโดยรอบใน 3 ทิศ เป็นอุปจารแห่งวิหารนั้น. สำหรับ
วิหารเล็ก มีอุปจารใน 2 ทิศ. แม้ในวิหารเล็กนั้น บานประตูที่เปิดออก
ย่อมกระทบฝาใด, แม้ฝานั้น ก็ยังจัดเป็นอุปจารไม่ได้ครบถ้วน. แต่โดย
กำหนดอย่างสูง ทรงอนุญาตหัตถบาสโดยรอบใน 3 ทิศ (และ) ทรงอนุญาต
การโบกฉาบ เพื่องต้องการทำประตูให้แน่น. แต่ถ้าว่า มีโอกาสที่ควรฉาบ
แม้ในส่วนเบื้องบนแห่งประตู, จะฉาบโอกาสแม้นั้นก็ควร.
ในคำว่า อาโลกสนฺปริกมฺมาย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก
บานหน้าต่างว่า อาโลกสันธิ. ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า บานหน้าต่างเหล่านั้น
ในเวลาเปิด จะกระทบส่วนของฝาประมาณคืบหนึ่งบ้าง เกินกว่าบ้าง. ก็ใน
คำว่าอโลกสันธิ นี้ ย่อมได้อุปจารในทิศทั้งปวง เพราะเหตุนั้น โอกาสประมาณ
เท่าความกว้างแห่งบานหน้าต่างในทิศทั้งปวง. ภิกษุพึงฉาบเองหรือพึงให้ฉาบ
เพื่อประโยชน์แก่การบริกรรมบานหน้าต่าง.
คำว่า เสตวณฺณํ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นการแจกบทมาติกา. จริงอยู่
ชื่อว่าวิหารจะเป็นของหนักด้วยสีขาวเป็นต้นนี้ หามิได้ เหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาต (สีขาวเป็นต้น ) ไว้ในบทภาชนะนั่นแล. เพราะ
เหตุนั้น ภิกษุพึงทำกิจทุกอย่างมีการฉาบปูนขาวเป็นต้นนี้ตามสบาย.
[ว่าด้วยการอำนวยให้การพอกบนหลังคา]
เพื่อทรงแสดงกรรม คือการฉาบอันภิกษุพึงทำอย่างนั้นแล้ว แสดง
กรรมที่ภิกษุพึงทำบนหลังคาอีก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ทฺวิตฺติจฺ-
ฉทนสฺส เป็นต้น . พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น ดังนี้
คำว่า ทฺวิตฺติจฺฉทนสฺส ปริยายํ คือ (อำนวยให้) การพอกหลังคา
ได้ 2-3 ชั้น. การพอกเรียกว่า ปริยาย. อธิบายว่า พึงอำนวยให้พอกได้
2 ครั้ง หรือพอกได้ 3 ครั้ง
สองบทว่า อปหริเต ฐิเตน คือ ยืนอยู่ในที่ปราศจากของสดเขียว.
ก็ในคำว่า หริตํ นี้ ทรงประสงค์เอาบุพพัณชาติต่างโดยเป็นข้าวเปลือก
7 ชนิด และอปรัณชาติต่างโดยเป็นถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ถั่วพู น้ำเต้า
และฟักเขียวเป็นต้น . ด้วยเหตุนั้นแล พระองค์จึงตรัสว่า ที่ชื่อว่า ของสดเขียว
ได้แก่ บุพพัณชาติ อปรัณชาติ.
ก็ในคำว่า สเจ หริเต ฐิโต อธิฏฺฐาติ อปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้
พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้ พืชที่เขาหว่านในนาแม้ใด ชั้นแรกยังไม่สำเร็จ