เมนู

เท่านี้ พึงทำบ่อยๆ แม้ในขณะทำบุญนั้น พึงทำความพอใจ คือความ
ชอบใจ ได้แก่ความอุตสาหะในบุญนั่นแหละ.
ถามว่า " เพราะเหตุไร? "
วิสัชนาว่า เพราะว่าความสั่งสมบุญให้เกิดสุข อธิบายว่า เพราะว่า
ความสั่งสมคือความพอกพูนบุญ ชื่อว่าให้เกิดสุข เพราะเป็นเหตุนำความ
สุขมาให้ในโลกนี้และโลกหน้า.
ในกาลจบเทศนา นางเทวธิดานั้น ยืนอยู่ในที่สุดทาง 45 โยชน์
นั่นแล ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องนางลาชเทวธิดา จบ.

4. เรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐี [98]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเศรษฐีชื่อ
อนาถบิณฑิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ "
เป็นต้น.

ท่านเศรษฐีบำรุงภิกษุสามเณรเป็นนิตย์


ความพิสดารว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี จ่ายทรัพย์ตั้ง 54 โกฎิ ใน
พระพุทธศาสนาเฉพาะวิหารเท่านั้น. เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระ-
เชตวัน ไปสู่ที่บำรุงใหญ่ 3 แห่งทุกวัน, ก็เมื่อจะไป คิดว่า " สามเณร
ก็ดี ภิกษุหนุ่มก็ดี พึงแลดูแม้มือของเรา ด้วยการนึกว่า เศรษฐีนั้นถือ
อะไรมาบ้าง ดังนี้ ไม่เคยเป็นผู้ชื่อว่ามีมือเปล่าไปเลย, เมื่อไปเวลาเช้า
ให้คนถือข้าวต้มไป บริโภคอาหารเช้าแล้วให้คนถือเภสัชทั้งหลาย มีเนยใส
เนยข้นเป็นต้นไป. ในเวลาเย็น ให้ถือวัตถุต่างๆ มีระเบียบดอกไม้ ของ
หอม เครื่องลูบไล้และผ้าเป็นต้น ไปสู่วิหาร. ถวายทาน รักษาศีล อย่างนั้น
ทุก ๆ วัน ตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว.

การหมดสิ้นแห่งทรัพย์ของเศรษฐี


ในกาลต่อมา เศรษฐี ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งทรัพย์. ทั้งพวกพาณิช
ก็กู้หนี้เป็นทรัพย์ 18 โกฏิจากมือเศรษฐีนั้น. เงิน 18 โกฏิแม้เป็นสมบัติ
แห่งตระกูลของเศรษฐี ที่ฝังตั้งไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำ เมื่อฝั่งพังลงเพราะน้ำ
(เซาะ) ก็จมลงยังมหาสมุทร. ทรัพย์ของเศรษฐีนั้นได้ถึงความหมดสิ้น
ไปโดยลำดับ ด้วยประการอย่างนี้.

เศรษฐีถวายทานตามมีตามได้


เศรษฐีแม้เป็นผู้อย่างนั้นแล้ว ก็ยังถวายทานแก่สงฆ์เรื่อยไป. แต่
ไม่อาจถวายทำให้ประณีตได้. ในวันหนึ่ง เศรษฐี เมื่อพระศาสดารับสั่งว่า
" คฤหบดี ก็ทานในตระกูล ท่านยังให้อยู่หรือ ? " กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า
ทานในตระกูล ข้าพระองค์ยังให้อยู่. ก็แลทานนั้น (ใช้) ข้าวปลายเกรียน
มีน้ำส้มพะอูมเป็นที่ 2."

เมื่อมีจิตผ่องใสทานที่ถวายไม่เป็นของเลว


ทีนั้น พระศาสดา ตรัสกะเศรษฐีว่า " คฤหบดี ท่านอย่าคิดว่า ' เรา
ถวายทานเศร้าหมอง. ' ด้วยว่าเมื่อจิตประณีตแล้ว, ทานที่บุคคลถวายแด่
พระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าเศร้าหมองย่อมไม่มี.
คฤหบดี อีกประการหนึ่ง ท่านได้ถวายทานแด่พระอริยบุคคลทั้ง 8แล้ว;
ส่วนเราในกาลเป็นเวลาพราหมณ์นั้น กระทำชาวชมพูททวีปทั้งสิ้น ให้พัก
ไถนา ยังมหาทานให้เป็นไปอยู่ ไม่ได้ทักขิไณยบุคคลไรๆ แม้ผู้ถึงซึ่ง
ไตรสรณะ. ชื่อว่าทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย ยากที่บุคคลจะได้ด้วยประการ
ฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านอย่าคิดเลยว่า 'ทานของเราเศร้าหมอง' ดังนี้
แล้ว ได้ตรัสเวลามสูตร1 แก่เศรษฐีนั้น.

เทวดาเตือนเศรษฐีให้เลิกการบริจาค


ครั้งนั้น เทวดาซึ่งสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูของเศรษฐี เมื่อพระศาสดา
และสาวกทั้งหลายเข้าไปสู่เรือน. ไม่อาจจะดำรงอยู่ได้เพราะเดชแห่งพระ-
ศาสดาและพระสาวกเหล่านั้น คิดว่า " พระศาสดาและพระสาวกเหล่านี้จะ
1. อัง. นวก. 23/406

ไม่เข้าไปสู่เรือนนี้ได้ด้วยประการใด. เราจะยุยงคฤหบดีด้วยประการนั้น:
แม้ใคร่จะพูดกะเศรษฐีนั้น ก็ไม่ได้อาจเพื่อจะกล่าวอะไร ๆ ในกาลที่
เศรษฐีเป็นอิสระ " คิดว่า " ก็บัดนี้เศรษฐีนี้เป็นผู้ยากจนแล้ว. คงจักเชื่อ
ฟังคำของเรา " ในเวลาราตรี เข้าไปสู่ห้องอันเป็นสิริของเศรษฐี ได้ยืนอยู่
ในอากาศ.
ขณะนั้น เศรษฐีเห็นเทวดานั้นแล้วถามว่า " นั่นใคร ? "
เทวดา. มหาเศรษฐี ข้าพเจ้าเป็นเทวดาสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ 4 ของ
ท่าน มาเพื่อต้องการเตือนท่าน.
เศรษฐี. เทวดา ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านพูดเถิด.
เทวดา. มหาเศรษฐี ท่านไม่เหลียวแลถึงกาลภายหลังเลย จ่าย
ทรัพย์เป็นอันมากในศาสนาของพระสมณโคคม. บัดนี้ ท่านแม้เป็นผู้ยาก
จนแล้ว ก็ยังไม่ละการจ่ายทรัพย์อีก. เมื่อท่านประพฤติอย่างนี้ จักไม่ได้
แม้วัตถุสักว่าอาหารและเครื่องนุ่งห่ม โดย 2-3 วันแน่แท้; ท่านจะต้อง
การอะไรด้วยพระสมณโคคม ท่านจงเลิกจากการบริจาคเกิน (กำลัง) เสีย
แล้วประกอบการงานทั้งหลาย รวบรวมสมบัติไว้เถิด.
เศรษฐี. นี้เป็นโอวาทที่ท่านให้แก่ข้าพเจ้าหรือ ?
เทวดา. จ้ะ มหาเศรษฐี.
เศรษฐี. ไปเถิดท่าน. ข้าพเจ้า อันบุคคลผู้เช่นท่าน แม้ตั้งร้อย
ตั้งพัน ตั้งแสนคน ก็ไม่อาจให้หวั่นไหวได้. ท่านกล่าวคำไม่สมควร จะ
ต้องการอะไรด้วยท่านผู้อยู่ในเรือนของข้าพเจ้า. ท่านจงออกไปจากเรือน
ของข้าพเจ้าเร็ว ๆ.

เทวดาถูกเศรษฐีขับไล่ไม่มีที่อาศัย


เทวดานั้น ฟังคำของเศรษฐีผู้เป็นโสดาบันอริยสาวกแล้ว ไม่อาจ
ดำรงอยู่ได้ จึงพาทารกทั้งหลายออกไป, ก็แล ครั้นออกไปแล้วไม่ได้ที่อยู่
ในที่อื่น จึงคิดว่า " เราจักให้ท่านเศรษฐีอดโทษแล้วอยู่ในที่เดิมนั้น
เข้าไปหาเทพบุตรผู้รักษาพระนคร แจ้งความผิดที่ตนทำแล้ว กล่าวว่า
" เชิญมาเถิดท่าน, ขอท่านจงนำข้าพเจ้าไปยังสำนักของท่านเศรษฐี ให้
ท่านเศรษฐีอดโทษแล้วให้ที่อยู่ (แก่ข้าพเจ้า). "
เทพบุตรห้ามเทวดานั้นว่า " ท่านกล่าวคำไม่สมควร, ข้าพเจ้าไม่
อาจไปยังสำนักของเศรษฐีนั้นได้. "
เทวดานั้นจึงไปสู่สำนักของท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ถูกท่านเหล่านั้น
ห้ามไว้ จึงเข้าไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช กราบทูลเรื่องนั้น (ให้ทรงทราบ)
แล้ว ทูลวิงวอนอย่างน่าสงสารว่า " ข้าแต่เทพเจ้า ข้าพระองค์ไม่ได้ที่อยู่
ต้องจูงพวกทารกเที่ยวระหกระเหิน หาที่พึ่งมิได้. ขอได้โปรดให้เศรษฐี
ให้ที่อยู่แก่ข้าพระองค์เถิด."

ท้าวสักกะทรงแนะนำอุบายให้เทวดา


คราวนั้น ท้าวสักกะ ตรัสกะเทวดานั้นว่า " ถึงเราก็จักไม่อาจกล่าว
กะเศรษฐีเพราะเหตุแห่งท่านได้ (เช่นเดียวกัน). แต่จักบอกอุบายให้แก่
ท่านสักอย่างหนึ่ง. "
เทวดา. ดีละ เทพเจ้า ขอพระองค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกเถิด.
ท้าวสักกะ. ไปเถิดท่าน. จงแปลงเพศเป็นเสมียนของเศรษฐี ให้
ใครนำหนังสือ (สัญญากู้เงิน) จากมือเศรษฐีมาแล้ว (นำไป) ให้เขาชำระ

ทรัพย์ 18 โกฏิ ที่พวกค้าขายถือเอาไป ด้วยอานุภาพของตนแล้ว บรรจุ
ไว้ให้เต็มในห้องเปล่า. ทรัพย์ 18 โกฏิ ที่จมลงยังมหาสมุทรมีอยู่ก็ดี.
ทรัพย์ 8 โกฏิ ส่วนอื่น ซึ่งหาเจ้าของมิได้ มีอยู่ในที่โน้นก็ดี. จงรวบ
รวมทรัพย์ทั้งหมดนั้น บรรจุไว้ให้เต็มในห้องเปล่าของเศรษฐี ครั้นทำ
กรรมชื่อนี้ให้เป็นทัณฑกรรมแล้ว จึงขอขมาโทษเศรษฐี.

เศรษฐีกลับรวยอย่างเดิม


เทวดานั้น รับว่า " ดีละ เทพเจ้า " แล้วทำกรรมทุก ๆ อย่างตาม
นัยที่ท้าวสักกะตรัสบอกแล้วนั่นแล ยังห้องอันเป็นสิริของท่านเศรษฐีให้
สว่างไสว ดำรงอยู่ในอากาศ เมื่อท่านเศรษฐีกล่าวว่า " นั่น ใคร " จึง
ตอบว่า " ข้าพเจ้าเป็นเทวดาอันธพาล ซึ่งสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ 4 ของ
ท่าน. คำใด อันข้าพเจ้ากล่าวแล้วในสำนักของท่านด้วยความเป็นอันธ-
พาล. ขอท่านจงอดโทษคำนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด. เพราะข้าพเจ้าได้ทำทัณฑ-
กรรมด้วยการรวบรวมทรัพย์ 54 โกฏิ มาบรรจุไว้เต็มห้องเปล่า ตาม
บัญชาของท้าวสักกะ. ข้าพเจ้าเมื่อไม่ได้ที่อยู่ ย่อมลำบาก. "

เศรษฐีอดโทษแก่เทวดา


อนาถบิณฑิกเศรษฐี จินตนาการว่า " เทวดานี้ กล่าวว่า "ทัณฑ-
กรรม อันข้าพเจ้ากระทำแล้ว" ดังนี้. และรู้สึกโทษ (ความผิด) ของตน.
เราจักแสดงเทวดานั้นแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า." ท่านเศรษฐี นำเทวดา
นั้นไปสู่สำนักของพระศาสดา กราบทูลกรรมอันเทวดานั้นทำแล้ว
ทั้งหมด.
เทวดาหมอบลงด้วยเศียรเกล้า แทบพระบาทยุคลแห่งพระศาสดา

กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ทราบพระคุณทั้งหลาย
ของพระองค์ ได้กล่าวคำใดอันชั่วช้า เพราะความเป็นอันธพาล. ขอ
พระองค์ทรงงดโทษคำนั้นแก่ข้าพระองค์ ให้พระศาสดาทรงอดโทษแล้ว
จึงให้ท่านมหาเศรษฐีอดโทษให้ (ในภายหลัง).

เมื่อกรรมให้ผล คนโง่จึงเห็นถูกต้อง


พระศาสดา เมื่อจะทรงโอวาทเศรษฐีและเทวดา ด้วยสามารถวิบาก
แห่งกรรมดีและชั่วนั่นแล จึงตรัสว่า " ดูก่อนคฤหบดี แม้บุคคลผู้ทำบาป
ในโลกนี้ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล. แต่เมื่อใด
บาปของเขาเผล็ดผล, เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่วเเท้ ๆ; ฝ่ายบุคคล
ผู้ทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล,
แต่เมื่อใด กรรมดีของเขาเผล็ดผล. เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่า
ดีจริง ๆ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ภาษิตพระ-
คาถาเหล่านี้ว่า
4. ปาโปปิ ปสฺสติ ภทฺรํ ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจติ ปาปํ อถ (ปาโป) ปาปานิ ปสฺสติ.
ภโทฺรปิ ปสฺสติ ปาปํ ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจติ ภทฺรํ อถ (ภโทฺร) ภทฺรานิ ปสฺสติ.

" แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาล
ที่บาปยังไม่เผล็ดผล, แต่เมื่อใด บาปเผล็ดผล,
เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว, ฝ่ายคนทำกรรมดี
ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ด