8. เรื่องปฐมโพธิกาล [125]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วย
สามารถเบิกบานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนทเถระทูลถาม จึงตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า " อเนกชาติสํสารํ " เป็นต้น.
ทรงกำจัดมารแล้วเปล่งอุทาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิ-
พฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคตเทียว ทรงกำจัดมารและพลแห่งมาร
แล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ. ใน
มัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว. ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัย
ความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว ทรง
พิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมปฏิโลม. ในเวลาอรุณขึ้น
ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณพร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะ
ทรงเปล่งอุทาน ที่พระพุทธเจ้ามิใช่แสนเดียวไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัส
พระคาถาเหล่านี้ว่า
8. อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการกํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
" เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ
จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก ความเกิด
บ่อยๆ เป็นทุกข์,1 แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่าน
แล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่2ของท่าน
เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของ
เราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเรา
บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า คหการํ3 คเวสวนฺโต ความว่า เรา
เมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหาผู้ทำเรือน กล่าวคืออัตภาพนี้มีอภินิหารอัน
ทำไว้แล้ว แทบบาทมูลแห่งพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร เพื่อ
ประโยชน์แก่พระญาณ อันเป็นเครื่องอาจเห็นนายช่างนั้นได้ คือพระ-
โพธิญาณ เมื่อไม่ประสบ ไม่พบ คือไม่ได้พระญาณนั้นแล จึงท่องเที่ยว
คือเร่ร่อน ได้แก่วนเวียนไป ๆ มา ๆ สู่สงสารมีชาติเป็นอเนก คือสู่
สังสารวัฏนี้ อันนับได้หลายแสนชาติ สิ้นกาลมีประมาณเท่านี้.
คำว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปนํ นี้ เป็นคำแสดงเหตุแห่งการแสวงหา
ช่างผู้ทำเรือน. เพราะชื่อว่าชาตินี้ คือการเข้าถึงบ่อย ๆ ชื่อว่าเป็นทุกข์
เพราะภาวะที่เจือด้วยชรา พยาธิและมรณะ. ก็ชาตินั้น เมื่อนายช่างผู้ทำ
เรือนนั้น อันใครๆ ไม่พบแล้ว ย่อมไม่กลับ. ฉะนั้น เราเมื่อแสวงหา
นายช่างผู้ทำเรือน จึงได้ท่องเที่ยวไป.
1. ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป. 2. อีกนัยหนึ่ง ผาสุกกา เป็นคำเปรียบกับเครื่องเรือน แปลว่า
จันทันเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว. 3. บาลีเป็น คหการกํ.
บทว่า ทิฏฺโฐสิ ความว่า บัดนี้เราตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ พบ
ท่านแล้วแน่นอน. บทว่า ปุน เคหํ ความว่า ท่านจักทำเรือนของเรา
กล่าวคืออัตภาพ ในสังสารวัฏนี้อีกไม่ได้.
บาทพระคาถาว่า สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคาความว่า ซี่โครง1กล่าว
คือกิเลสที่เหลือทั้งหมดของท่าน เราหักเสียแล้ว.
บาทพระคาถาว่า คหกูฏํ วิสงฺขตํ ความว่า ถึงมณฑลช่อฟ้ากล่าว
คืออวิชชา แห่งเรือนคืออัตภาพที่ท่านสร้างแล้วนี้ เราก็รื้อเสียแล้ว.
บาทพระคาถาว่า วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ความว่า บัดนี้ จิตของเราถึง
คือเข้าไปถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว คือพระนิพพาน ด้วย
สามารถแห่งอันกระทำให้เป็นอารมณ์.
บาทพระคาถาว่า ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ความว่า เราบรรลุ
พระอรหัต กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาแล้ว.
เรื่องปฐมโพธิกาล จบ.
1. หรือ จันทันเรือน กล่าวคือกิเลสที่เหลือทั้งหมด.
9. เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก [126]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงปรารภ
บุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อจริตฺวา
พฺรหฺมจริยํ. " เป็นต้น.
พวกนักเลงชวนเศรษฐีบุตรให้ดื่มเหล้า
ดังได้สดับมา บุตรเศรษฐีนั้น เกิดแล้วในตระกูลผู้มีสมบัติ 80 โกฏิ
ในกรุงพาราณสี. ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาคิดว่า " ในตระกูลของเรา
มีกองโภคะเป็นอันมาก. เราจักมอบกองโภคะนั้นไว้ในมือบุตรของเรา
ทำให้ใช้สอยอย่างสบาย. กิจด้วยการงานอย่างอื่นไม่ต้องมี. " ดังนี้แล้วจึง
ให้เขาศึกษาศิลปะสักว่าการฟ้อน ขับ และประโคมอย่างเดียว. ในพระนคร
นั้นแล แม้ธิดาคนหนึ่ง ก็เกิดแล้วในตระกูลอื่น ซึ่งมีสมบัติ 80 โกฏิ.
บิดามารดาแม้ของนางก็คิดแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ให้นางศึกษาก็ได้
ศิลปะสักว่าการฟ้อนขับและประโคมอย่างเดียว. เมื่อเขาทั้งสองเจริญวัยแล้ว
ก็ได้มีการอาวาหวิวาหมงคลกัน ต่อมาภายหลัง มารดาบิดาของคนทั้งสอง
นั้นได้ถึงแก่กรรมแล้ว. ทรัพย์ 160 โกฏิ ก็ได้รวมอยู่ในเรือนเดียวกัน
ทั้งหมด. เศรษฐีบุตร ย่อมไปสู่ที่บำรุงพระราชาวันหนึ่งถึง 3 ครั้ง ครั้งนั้น
พวกนักเลงในพระนครนั้น คิดกันว่า " ถ้าเศรษฐีบุตรนี้ จักเป็นนักเลง
สุรา. ความผาสุกก็จักมีแก่พวกเรา; เราจะให้เธอเรียนความเป็นนักเลง
สุรา. " พวกนักเลงนั้นจึงถือเอาสุรา มัดเนื้อสำหรับแกล้ม และก้อนเกลือ
ไว้ที่ชายผ้า ถือหัวผักกาด นั่งแลดูทางของเศรษฐีบุตรนั้น ผู้มาจาก
ราชกุล เห็นเขากำลังเดินมา จึงดื่มสุรา เอาก้อนเกลือใส่เข้าในปาก กัดหัว
ผักกาด กล่าวว่า " จงเป็นอยู่ 100 ปีเถิด นายเศรษฐีบุตร. พวกผม
อาศัยท่าน ก็พึงสามารถในการเคี้ยวและการดื่ม. "
บุตรเศรษฐีฟังคำของพวกนักเลงนั้นแล้ว จึงถามคนใช้สนิทผู้ตาม
มาข้างหลังว่า " พวกนั้น ดื่มอะไรกัน ? "
คนใช้. น่าดื่มชนิดหนึ่ง นาย.
บุตรเศรษฐี. มีรสชาติอร่อยหรือ ?
คนใช้. นาย ธรรมดาน้ำที่ควรดื่ม เช่นกับน้ำดื่มนี้ ไม่มีในโลก
ที่เป็นอยู่นี้.
เศรษฐีบุตรหมดตัวเพราะประพฤติอบายมุข
บุตรเศรษฐีนั้นพูดว่า " เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้เราดื่มก็ควร " ดังนี้
แล้ว จึงให้นำมาแต่นิดหน่อยแล้วก็ดื่ม ต่อมาไม่นานนัก นักเลงเหล่านั้น
รู้ว่าบุตรเศรษฐีนั้นดื่ม จึงพากันแวดล้อมบุตรเศรษฐีนั้น เมื่อกาลล่วงไป
ก็ได้มีบริวารหมู่ใหญ่. บุตรเศรษฐีนั้น ให้นำสุรามาด้วยทรัพย์ 100 บ้าง
200 บ้าง ดื่มอยู่ตั้งกองกหาปณะไว้ในที่นั่งเป็นต้นโดยลำดับ ดื่มสุรา
กล่าวว่า " จงนำเอาดอกไม้มาด้วยกหาปณะนี้ จงนำเอาของหอมมาด้วย
กหาปณะนี้ ผู้นี้ฉลาดในการขับ ผู้นี้ฉลาดในการฟ้อน ผู้นี้ฉลาดในการ
ประโคม จงให้ทรัพย์ 1 พันแก่ผู้นี้ จงให้ทรัพย์ 2 พันแก่ผู้นี้. " เมื่อ
ใช้สุรุ่ยสุร่ายอย่างนั้นต่อกาลไม่นานนัก ก็ยังทรัพย์ 80 โกฏิ อันเป็นของ
ตนให้หมดไปแล้ว เมื่อเหรัญญิกเรียนว่า " นาย ทรัพย์ของนายหมด
แล้ว. " จึงพูดว่า " ทรัพย์ของภรรยาของข้าไม่มีหรือ ? " เมื่อเขาเรียนว่า
" ยังมีนาย " จึงบอกว่า " ถ้ากระนั้น จงเอาทรัพย์นั้นมา, " ได้ยังทรัพย์
แม้นั้นให้สิ้นไปแล้วอย่างนั้น เหมือนกัน แล้วขายสมบัติของตนทั้งหมดคือ
นา สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ยานพาหนะ เป็นต้นบ้าง โดยที่สุด
ภาชนะเครื่องใช้บ้าง เครื่องลาด ผ้าห่ม และผ้าปูนั่งบ้าง โดยลำดับ
เคี้ยวกิน.
เศรษฐีต้องเที่ยวขอทาน
ครั้นในเวลาที่เขาแก่ลง เจ้าของเรือนจึงไล่เขาออกจากเรือน ที่เขา
มีโภคะหมดแล้ว ขายเรือนของตัว (แต่ยัง) ถืออาศัยอยู่ก่อน. เขาพา
ภรรยาไปอาศัยเรือนของชนอื่นอยู่ ถือชิ้นกระเบื้องเที่ยวไปขอทาน
ปรารภจะบริโภคภัตที่เป็นเดนของชนแล้ว. ครั้งนั้น พระศาสดาทอด
พระเนตรเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอยรับโภชนะที่เป็นเดนอันภิกษุ
หนุ่มและสามเณรให้ในวันหนึ่ง จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ ลำดับนั้น
พระอานนทเถระทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มกะพระองค์. พระศาสดา เมื่อ
จะตรัสบอกเหตุที่ทรงแย้ม จึงว่า " อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐี
ผู้มีทรัพย์มากผู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย 160 โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทาน
อยู่ในนครนี้แล: ก็ถ้าบุตรเศรษฐีไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น จักประกอบ
การงานในปฐมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล และถ้าจัก
ออกบวช, ก็จักบรรลุอรหัต. แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล.
ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย. จักได้เป็น
เศรษฐีชั้นที่ 2. ออกบวชจักได้เป็นอนาคามี. แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรง
อยู่ในสกทาคามิผล. ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป ประกอบการงานใน
ปัจฉิมวัยจักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 3 แม้ออกบวช ก็จักได้เป็นสกทาคามี,
แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. แต่เดี๋ยวนี้บุตรเศรษฐีนั่น
ทั้งเสื่อมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล. ก็แล
ครั้นเสื่อมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกะเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น " ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
9. อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ อลทฺธนา โยพฺพเน ธนํ
ชิณฺณโกญฺจาว ณายนฺติ ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล
อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
เสนฺติ จาปาติขีณาว ปุราณานิ อนุตฺถุนํ.
" พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้
ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซาดังนก
กะเรียนแก่ ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลาฉะนั้น.
พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์
ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์
เก่า เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่งฉะนั้น.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจริตฺวา ความว่า ไม่อยู่พรหมจริยาวาส.
บทว่า โยพฺพเน ความว่า ไม่ได้แม้ทรัพย์ในเวลาที่ตนสามารถ เพื่อจะยัง
โภคะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือเพื่อตามรักษาโภคะที่เกิดขึ้นแล้ว. บทว่า
ขีณมจฺเฉ ความว่า คนเขลาเห็นปานนั้นนั่น ย่อมซบเซา ดังนกกะเรียนแก่
มีขนเปียกอันเหี้ยนเกรียน ซบเซาอยู่ในเปือกตม. ที่ชื่อว่าหมดปลาแล้ว
เพราะไม่มีน้ำ. มีคำอธิบายกล่าวไว้ดังนี้ว่า " อันความไม่มีที่อยู่ของคนเขลา
เหล่านี้ เหมือนความไม่มีน้ำในเปือกตม. ความไม่มีโภคะของคนเขลา
เหล่านี้ เหมือนความหมดปลา, ความไม่สามารถจะรวบรวมโภคะไว้ได้