เมนู

จะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นนาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ต้องอะไร
ต้องในเพราะเรื่องอะไร ท้องอย่างไร ท่านทั้งหลายว่าใคร ว่าเรื่องอะไร ดังนี้
ต้องอาบัติทุกกฏ.
เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกวิเหสกกรรม ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ
ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น
จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
[365] เมื่อสงฆ์ยกอัญญวาทกกรรมแล้ว ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะ
วัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนา
จะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง . . . ว่าเรื่อง
อะไร ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เมื่อสงฆ์ยกวิเหสกกรรมแล้ว ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ
ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น
จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ติกปาจิตตีย์


[366] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็น
ผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก

ติกทุกกฏ


กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ. . .
กรรมไม่เป็นธรรน ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ. . .
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ. . .

อนาปัตติวาร


[367] ภิกษุไม่เข้าใจจึงถาม 1 ภิกษุอาพาธให้การไม่ได้ 1 ภิกษุ
ไม่ให้การด้วยคิดว่า ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง หรือความ
วิวาทจักมีแก่สงฆ์ 1 ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า จักเป็นสังฆเภท หรือสังฆราชี 1
ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า สงฆ์จักทำกรรมโดยไม่ชอบธรรม โดยเป็นวรรค
หรือจักไม่ทำกรรมแก่ภิกษุผู้ควรแก่กรรม 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ
1 ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 2 จบ

เสนาสนวรรค อัญญวาทสิกขาบทที่ 2


พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 2 ดังต่อไปนี้

[แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องพระฉันนะ]


สองบทว่า อนาจารํ อาจริตฺวา คือ กระทำสิ่งทิ่ไม่ควรทำ มีคำ
อธิบายว่า ต้องอาบัติในทางกายทวารและวจีทวาร.
สองบทว่า อญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ ได้แก่ ย่อมกลบเกลื่อน คือ
ปกปิด ทับถมคำอื่นด้วยคำอื่น.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงวิธีกลบเกลื่อนนั้น จึงตรัส
คำว่า โก อาปนฺโน เป็นต้น . ในคำนั้น มีพจนสัมพันธ์ดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า พระฉันนะนั้นถูกภิกษุทั้งหลาย เห็นการล่วงละเมิดบางอย่างแล้ว
สอบถามด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้ต้องอาบัติ
ใช่ไหม ? กล่าวว่า ใครต้อง ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่าน จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าต้อง
อาบัติอะไร ? ทีนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ปาจิตตีย์ หรือทุกกฏ เมื่อ
จะถามวัตถุ จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องในเพราะวัตถุอะไร ? ลำดับนั้น เมื่อพวก
ภิกษุกล่าวว่า ในเพราะวัตถุชื่อโน้น จึงถามว่า ข้าพเจ้าต้องอย่างไร ? และ
ข้าพเจ้าทำอะไร จึงต้อง ? ดังนี้. ครั้งนั้น เมื่อพวกภิกษุกล่าวว่า ทำการ
ละเมิดชื่อนี้ จึงต้อง กล่าวว่า พวกท่านพูดกะใครกัน ? ดังนี้ ทีนั้นเมื่อพวก
ภิกษุกล่าวว่า พวกเราพูดกะท่าน จึงกล่าวว่า พวกท่านพูดเรื่องอะไร ?
อีกอย่างหนึ่ง ในคำว่า โก อาปนฺโน นี้ มีวิธีกลบเกลื่อนคำอื่น
ด้วยคำอื่น แม้นอกพระบาลี ดังต่อไปนี้
ภิกษุถูกพวกภิกษุกล่าวว่า พวกเราเห็นกหาปณะ (เหรียญกษาปณ์)
ในถุงของท่าน, ท่านทำกรรมไม่สมควรอย่างนี้ เพื่ออะไร ? แล้วกล่าวว่า
ที่พวกท่านเห็นถูกแล้ว ขอรับ แต่นั่นไม่ใช่กหาปณะ มันเป็นก้อนดีบุก ดังนี้
ก็ดี, ถูกพวกภิกษุกล่าวว่า พวกเราเห็นท่านดื่มสุรา ท่านทำกรรมไม่สมควร
อย่างนั้น เพื่ออะไร ? แล้วกล่าวว่า ที่พวกท่านเห็นถูกแล้ว ขอรับ แต่นั่น
ไม่ใช่สุรา, เป็นยาดองชื่ออริฏฐะ เขาปรุงขึ้นเพื่อต้องการเป็นยา ดังนี้ ก็ดี.
ถูกพวกภิกษุกล่าวว่า พวกเราเห็นท่านนั่งในอาสนะกำบังกับมาตุคาม ท่านทำ
กรรมไม่สมควรอย่างนั้น เพื่ออะไร ? แล้วกล่าวว่า ท่านที่เห็นนับว่าเห็นถูกแล้ว,

แต่ในที่นั่นมีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่เป็นเพื่อน. เพราะเหตุไรท่านจึงไม่เห็นเขา ?
ดังนี้ ก็ดี, ถูกพวกภิกษุถามว่า ท่านเห็นการละเมิดเช่นนี้ บางอย่างไหม ?
ตะแคงหูเข้าไปพูดว่า ไม่ได้ยิน หรือจ้องคาเข้าไปหาพวกภิกษุ ผู้กระซิบถาม
ในที่ใกล้หูก็ดี, บัณฑิณพึงทราบว่า ย่อมกลบเกลื่อนถ้อยคำ
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อญฺญวาทเก วิเหสเก ปาจิตฺติยํ นี้
ต่อไป คำใด* ย่อมกล่าวความอื่นจากที่ถาม เพราะฉะนั้น คำนั้น ชื่อว่า
อัญญวาทกะ. คำว่า อัญญวาทกะ นี้ เป็นชื่อแห่งความกลบเกลื่อนถ้อยคำ
(การกลบเกลื่อนเหตุอื่นด้วยเหตุอื่น).
ความเป็นผู้นิ่งใด ย่อมทำสงฆ์ให้ลำบาก เพราะฉะนั้น ความเป็น
ผู้นิ่งนั่น ชื่อว่า วิเหสกะ. คำว่า วิเหสกะ นี้ เป็นชื่อแห่งความเป็นผู้นิ่ง.
ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบากนั้น
ด้วยบทว่า ปาจิตฺติยํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับปาจิตตีย์ 2 ตัว
ใน 2 วัตถุ.
สองบทว่า อญฺญวาทกํ โรเปตุ ความว่า สงฆ์จงยกอัญญวาทกรรม
ขึ้น คือ จงให้ตั้งขึ้น. แม้ในคำว่า วิเหสกํ โรเปตุ นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน.
สองบทว่า อโรปิเต อญฺญวาทเก ได้แก่ ในเพราะความเป็นผู้
กล่าวคำอื่นที่สงฆ์ไม่ได้ยกขึ้นด้วยกรรมวาจา. แม้ในคำว่า อโรปิเต วิเหสเก
นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ในคำว่า ธมฺมกมฺเม ธมฺมกมฺมสญฺญี เป็นต้น พึงทราบใจความ
โดยนัยนี้ว่า อัญญวาทกวิเหสกโรปนกรรม นั้นใด อันสงฆ์กระทำแล้ว, ถ้า
กรรมนั้นเป็นกรรมชอบธรรม. และภิกษุนั้น มีความสำคัญในกรรมนั้นว่า
* แปลตามโยชนา 2/ 24-25.

เป็นกรรมชอบธรรม ยังทำความเป็นผู้กล่าวคำอื่น และความเป็นผู้ให้ลำบาก
เมื่อนั้น ภิกษุนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น และ
ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบากนั้น
สองบทว่า อชานนฺโต ปุจฺฉติ มีความว่า ภิกษุเมื่อไม่รู้ว่าตนต้อง
อาบัติเลยจึงถามว่า ท่านทั้งหลายพูดอะไร ? ข้าพเจ้าไม่รู้เลย
สองบทว่า คิลาโน น กเถติ มีความว่า ภิกษุมีพยาธิที่ปาก เช่น
พยาธิที่เป็นเหตุให้ไม่สามารถจะพูดได้.
ในคำว่า สงฺฆสฺส ภณฺฑนํ วา เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบเนื้อความ
โดยนัยนี้ว่า ภิกษุมีความสำคัญว่า เมื่อเรากล่าวในท่ามกลางสงฆ์ ความ
บาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง หรือความวิวาทจักมีแก่สงฆ์ เพราะ
การพูดนั้นเป็นปัจจัย ความวิวาทนั้นอย่าได้มีเลย จึงไม่พูด. บทที่เหลือตื้น
ทั้งนั้นแล.
สิกขาบท มีสมุฏฐาน 3 เกิดขึ้น ทางกายกับจิต 1 ทางวาจากับ
จิต 1 ทางกายวาจากับจิต 1 เป็นกิริยาก็มี เป็นอกิริยาก็มี จริงอยู่ เมื่อภิกษุ
กลบเกลื่อนถ้อยคำ เป็นกิริยา เมื่อทำให้ลำบากเพราะความเป็นผู้นิ่ง เป็นอกิริยา
เป็นสัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต
เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
อัญญวาทสิกขาบทที่ 2 จบ

ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 3


เรื่องพระทัพพมัลลบุตร


[368] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์
ครั้งนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตแก่สงฆ์ สมัยนั้น
พระเมตติยและพระภุมมชกะเป็นผู้บวชใหม่ และมีบุญน้อย เสนาสนะของสงฆ์
ที่เลวและอาหารที่ทรามย่อมตกมาถึงเธอทั้งสอง เธอทั้งสองจึงให้ภิกษุทั้งหลาย
เพ่งโทษท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า จัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัต
ตามความพอใจ บรรดาภิกษุผู้มักน้อย . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน พระเมตติยะและพระภุมมชกะจึงได้ให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาท่านพระ-
ทัพพมัลลบุตรเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า . . . ทรงสอบถามพระเมตติยะและพระ
ภุมมชกะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอให้ภิกษุทั้งหลายโพนทะนา
ภิกษุทัพพามัลลบุตร จริงหรือ.
พระเมติยะและพระภุมมชกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงให้ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษภิกษุทัพพมัลลบุตร การกระทำของเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลือมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนั้น
ว่าดังนี้

พระบัญญัติ


62. 3. ก. เป็นปาจิตตีย์ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ .
เรื่องพระทัพพมัลลบุตร จบ

เรื่องพระทัพพมัลลบุตร (ต่อ)


[269] ก็สมัยนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะคิดว่า ภิกษุทั้งหลาย
จักเชื่อฟังด้วยพระบัญญัติเพียงเท่านี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการให้
โพนทะนาแล้ว จึงบ่นว่าท่านพระทัพพมัลลบุตรอยู่ใกล้ ๆ ภิกษุทั้งหลายว่า
พระทัพพมัลลบุตรจัดเสนาสนะตามความพอใจ และแจกภัตตามความพอใจ
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย . . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเมตติยะ
และพระภุมมชกะจึงได้บ่นว่า ท่านพระทัพพมัลลบุตรอยู่เล่า แล้วกราบทูล
เนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงสอบถาม


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .ทรงสอบถามพระเมทติยะและพระ-
ภุมมชกะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอบ่นว่าภิกษุทัพพมัลลบุตร
จริงหรือ.
พระเมตติยะและพระภุมมชกะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.