เมนู

ไม่เห็นสัตว์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน เพราะความที่สักกายทิฏฐิ มีกำลังจึงไม่
กลัว.
พระคาถาว่า น หเนยฺย น ฆาตเย ความว่า บุคคลรู้ว่า " เราฉัน
ใด. แม้สัตว์เหล่าอื่นก็ฉันนั้น " ดังนี้แล้ว ก็ไม่ควรฆ่าเอง (และ)ไม่ควร
ใช้ผู้อื่นให้ฆ่า.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ.

2. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ [108]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกภิกษุ-
ฉัพพัคคีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สพฺเพ สนฺติ " เป็นต้น.

เหตุให้ทรงบัญญัติตลสัตติกสิกขาบท


ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ เงือดเงื้อหอก
คือฝ่ามือแก่พวกภิกษุสัตตรสพัคคีย์เหล่านั้น ด้วยเหตุที่ตนประหารพวก
สัตตรสพัคคีย์ ในสิกขาบทก่อนนั้นนั่นแล.
แม้ในเรื่องนี้ พระศาสดาทรงสดับเสียงของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ก็
ตรัสถามว่า " นี่อะไรกัน ? " ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " เรื่องชื่อนี้ " แล้ว
ตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จำเดิมแต่นี้ไป ธรรมดาภิกษุไม่ควรทำ
อย่างนี้, ภิกษุใดทำ, ภิกษุนั้นย่อมต้องอาบัติชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว ทรงบัญญัติ
ตลสัตติกสิกขาบท ตรัสว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุทราบว่า
แม้สัตว์เหล่าอื่นย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา อย่างเดียวกับเราเหมือนกัน,
อนึ่ง ชีวิตก็ย่อมเป็นที่รักของสัตว์เหล่านั้น เหมือนของเราโดยแท้ ไม่ควร
ประหารเอง ไม่ควรใช้ผู้อื่นให้ฆ่า " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
2. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส สพฺเพสํ ชีวิตํ ปิยํ
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเย.
" สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา ชีวิต
ย่อมเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหมด. บุคคลควรทำตนให้
เป็นอุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้ฆ่า. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า สพฺเพสํ ชีวิตํ ปิยํ ความว่า
ชีวิตย่อมเป็นที่รักยิ่งของเหล่าสัตว์ที่เหลือ เว้นพระขีณาสพเสีย. อันพระ-
ขีณาสพ ย่อมเป็นผู้วางเฉยในชีวิตหรือในมรณะโดยแท้. คำที่เหลือ เช่น
กับคำอันมีในก่อนนั่นแล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ.

3. เรื่องเด็กหลายคน [109]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเด็กเป็นอัน
มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุขกามานิ ภูตานิ " เป็นต้น.

พระศาสดาทรงพบพวกเด็กตีงู


ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จทรงบาตรเข้าไปใน
กรุงสาวัตถี ทรงเห็นพวกเด็กเป็นอันมาก เอาไม้ตีงูเรือน1ตัวหนึ่ง ใน
ระหว่างทาง ตรัสถามว่า " แน่ะ เจ้าเด็กทั้งหลาย พวกเจ้าทำอะไรกัน ? "
เมื่อเด็กเหล่านั้นกราบทูลว่า " พวกข้าพระองค์เอาไม้ตีงู " พระเจ้าข้า "
ตรัสถามอีกว่า " เพราะเหตุไร ? " เมื่อพวกเขากราบทูลว่า " เพราะกลัว
มันกัด พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " พวกเจ้าตีงูนี้ด้วยคิดว่า 'จักทำความสุข
แก่ตน ' จักไม่เป็นผู้ได้รับความสุขในที่แห่งตนเกิดแล้ว ๆ. แท้จริง บุคคล
เมื่อปรารถนาสุขแก่ตน (แต่) ประหารสัตว์อื่น ย่อมไม่ควร " ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
3. สุขกานานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน วิหึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ.
สุขกานานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน น หึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ ลภเต สุขํ.
" สัตว์ผู้เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่สุข บุคคล
ใดแสวงหาสุขเพื่อตน, แต่เบียดเบียนสัตว์อื่นด้วย
ท่อนไม้ บุคคลนั้นละไปแล้วย่อมไม่ได้สุข. สัตว์ผู้

1. คืองูที่อาศัยอยู่ตามเรือน เช่นงูเขียว งูลายสอ เป็นต้น.

เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่สุข, บุคคลใดแสวงหา
สุขเพื่อตน, ไม่เบียดเบียน (ผู้อื่น) ด้วยท่อนไม้,
บุคคลนั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข.

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า โย ทณฺเฑน ความว่า บุคคลใด
ย่อมเบียดเบียน (ผู้อื่น) ด้วย ท่อนไม้หรือวัตถุทั้งหลายมีก้อนดินเป็นต้น.
บาทพระคาถาว่า เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ ความว่า บุคคลนั้น
ย่อมไม่ได้สุขสำหรับมนุษย์ สุขอันเป็นทิพย์ หรือสุขคือพระนิพพาน อัน
เป็นปรมัตถ์ (สุข) ในโลกหน้า.
ในพระคาถาที่ 2 (มีความว่า) หลายบทว่า เปจฺจ โส ลภเต สุขํ
ความว่า บุคคลนั้นย่อมได้สุขทั้ง 3 อย่าง มีประการดังกล่าวแล้วใน
ปรโลก.
ในกาลจบเทศนา เด็กเหล่านั้นทั้ง 500 ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
ดังนี้แล.
เรื่องเด็กหลายคน จบ.

4. เรื่องพระโกณฑธานเถระ [110]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อ
โกณฑธานะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " มาโวจ ผรุสํ กญฺจิ " เป็นต้น.

รูปสตรีติดตามพระเถระไปทุกแห่ง


ดังได้สดับมา จำเดิมแต่วันที่พระเถระนั้นบวชแล้ว รูปสตรีรูปหนึ่ง
เที่ยวไปกับพระเถระ (แต่) พระเถระไม่เห็นรูปสตรีนั้น, ส่วนมหาชนเห็น.
เมื่อท่านแม้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ภายในบ้าน. พวกมนุษย์ถวายภิกษาทัพพี 1
แล้ว พูดว่า " ท่านขอรับ ส่วนนี้จงเป็นของสำหรับท่าน, แต่ส่วนนี้
สำหรับสตรีผู้สหายของท่าน " ดังนี้แล้ว ก็ถวายภิกษาแม้ทัพพีที่ 2.

บุรพกรรมของพระเถระ


ถามว่า " บุรพกรรมของท่านเป็นอย่างไร ? "
ตอบว่า " ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
ภิกษุ 2 รูปเป็นสหายกัน ได้เป็นผู้กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง ดุจคลอดจาก
ครรภ์มารดาเดียวกัน."
ก็ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนมายุยืน ภิกษุทั้งหลายย่อม
ประชุมกัน เพื่อประโยชน์แก่การทำอุโบสถทุก ๆ 1 ปี หรือทุก ๆ 6เดือน
(ครั้งหนึ่ง) เพราะฉะนั้น แม้ท่านทั้งสองรูปนั้น ก็ออกไปจากที่อยู่ด้วย
คิดว่า " จักไปสู่โรงอุโบสถ. "

เทวดาแกล้งทำพระเถระให้แตกกัน


เทวดาผู้เกิดในชั้นดาวดึงส์ผู้หนึ่ง เห็นท่านทั้งสองแล้ว คิดว่า " ภิกษุ
เหล่านั้นช่างกลมเกลียวกันเหลือเกิน, เราอาจทำลายภิกษุเหล่านี้ได้หรือ

หนอ ? " ดังนี้แล้ว ได้มาในลำดับเวลาที่ตนคิดแล้วนั่นแล เพราะความ
ที่ตนเป็นผู้เกเร. ในภิกษุ 2 รูปนั้น เมื่อรูปหนึ่งกล่าวว่า " ผู้มีอายุ ขอ
ท่านจงรออยู่สักครู่หนึ่ง ผมมีความต้องการถ่ายอุจจาระ1 " จึงนิรมิตเพศ
เป็นหญิงมนุษย์คนหนึ่ง. ในกาลที่พระเถระเข้าไปในระหว่างพุ่มไม้เเล้ว
ออกมา เอามือข้างหนึ่งเกล้ามวยผม ข้างหนึ่งจัดผ้านุ่ง (เดินตาม) ออก
มาข้างหลังพระเถระนั้น. ท่านไม่เห็นหญิงนั้น. แต่ภิกษุรูปที่ยืนอยู่ข้าง
หน้าซึ่งคอยท่านอยู่ เหลียวมาแลดูเห็นหญิงนั้นทำอย่างนั้น (เดินตาม)
ออกมา.

รังเกียจกันด้วยสีลเภท


เทวดานั้นรู้ภาวะแห่งตน อันภิกษุนั้นเห็นแล้ว ก็อันตรธานไป.
ภิกษุรูปนอกนี้ (ที่คอยอยู่) พูดกะภิกษุนั้น ในเวลาที่มาสู่ที่ใกล้ตนว่า
" ผู้มีอายุ ศีลของท่านทำลายเสียแล้ว. "
ภิกษุนั้นกล่าวว่า " ผู้มีอายุ กรรมเห็นปานนั้นของผมไม่มี. " ภิกษุ
นอกนี้กล่าวว่า " เดี๋ยวนี้เอง หญิงรุ่นสาว (เดินตาม) ออกมาข้างหลัง
ท่าน ทำกรรมชื่อนี้ผมเห็นแล้ว. ท่านยังพูด (ปฏิเสธ) ได้ว่า 'กรรมเห็น
ปานนี้ของผมไม่มี. "
ภิกษุนั้น ปานประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดลงที่กระหม่อม กล่าววิงวอน
ว่า " ผู้มีอายุ ขอท่านจงอย่าให้ผมฉิบหายเลย. กรรมเห็นปานนั้นของผม
ไม่มีจริง ๆ. "
ภิกษุนอกนี้ก็พูดว่า " ผมเห็นด้วยนัยน์ตาทั้งสองเอง, จักเชื่อท่าน
1. สรีรกิจฺเจน ด้วยกิจแห่งสรีระ.