7. เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ [113]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระมหา-
โมคคัลลานเถระ. ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โย ทณฺเฑน อทณฺเฑสุ "
เป็นต้น.
พวกเดียรถีย์คิดหาอุบายฆ่าท่าน
ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง พวกเดียรถีย์ประชุมกัน คิดว่า " ท่าน
ผู้มีอายุ ท่านทั้งหลายทราบหรือ ? ด้วยเหตุไร ลาภสักการะ จึงเกิดขึ้น
เป็นอันมากแก่พระสมณโคดม ? เดียรถีย์พวกหนึ่งกล่าวว่า " พวกข้าพเจ้า
ไม่ทราบ ส่วนพวกท่านทราบหรือ ? " เดียรถีย์ที่รู้เรื่องก็พากันตอบว่า
ขอรับ พวกข้าพเจ้าทราบ ลาภและสักการะเกิดขึ้นเพราะอาศัยพระเถระ
รูปหนึ่ง ชื่อมหาโมคคัลลานะ เพราะพระเถระนั้น ไปเทวโลก ถาม
กรรมที่พวกเทวดาทำแล้ว ก็กลับมาบอกกับพวกมนุษย์ว่า ' ทวยเทพทำ
กรรมชื่อนี้ ย่อมได้สมบติเห็นปานนี้.' แม้ไปนรก ก็ถามกรรมของหมู่
สัตว์ผู้เกิดในนรกแล้วกลับมาบอกพวกมนุษย์ว่า 'พวกเนรยิกสัตว์ทำกรรม
ชื่อนี้ ย่อมเสวยทุกข์เห็นปานนี้.' พวกมนุษย์ได้ฟังถ้อยคำของพระเถระ
นั้นแล้ว ย่อมนำลาภสักการะเป็นอันมากไป (ถวาย). ถ้าพวกเราจักสามารถ
ฆ่าพระเถระนั้นได้ไชร้. ลาภและสักการะนั้น ก็จักเกิดแก่พวกเรา. "
เดียรถีย์จ้างพวกโจรฆ่าพระเถระ
เดียรถีย์เหล่านั้นต่างรับรองว่า " อุบายนี้ใช้ได้ " ทุกคนเป็นผู้มี
ฉันทะอันเดียวกัน ตกลงกันว่า " พวกเราจักทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ฆ่าพระเถระนั้นเสีย " ดังนี้แล้ว ชักชวนพวกอุปัฏฐากของตนได้ทรัพย์
พันกหาปณะ ให้เรียกหมู่โจรผู้เที่ยวทำกรรมคือฆ่าบุรุษมาแล้ว สั่งว่า
" พระเถระชื่อมหาโมคคัลลานะอยู่ที่กาฬสิลา. พวกเจ้าไปในที่นั้นแล้ว
จงฆ่าพระเถระนั้น. " ดังนี้แล้ว ก็ได้ให้กหาปณะ (แก่พวกโจร).
พวกโจร รับคำเพราะความโลภในทรัพย์ ตั้งใจว่า " พวกเราจัก
ฆ่าพระเถระ " ดังนี้แล้ว ไปล้อมที่อยู่ของพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นไว้.
พระเถระถูกพวกโจรทุบ
พระเถระ ทราบความที่ตนถูกพวกโจรเหล่านั้นล้อมแล้ว จึงออก
ไปทางช่องลูกกุญแจหลีกไปเสีย. ในวันนั้น พวกโจรนั้น มิได้เห็นพระ-
เถระ. วันรุ่งขึ้น จึงไปล้อม (อีก).
พระเถระทราบแล้ว ก็ทำลายมณฑลช่อฟ้าเหาะไปสู่อากาศ. เมื่อ
เป็นเช่นนี้ ในเดือนแรกก็ดี ในเดือนท่ามกลางก็ดี พวกเดียรถีย์นั้น ก็
มิได้อาจจับพระเถระได้. แต่เมื่อมาถึงเดือนสุดท้าย. พระเถระทราบภาวะ
คือการชักมาแห่งกรรมอันตนทำไว้เเล้ว จึงมิได้หลบเลี่ยง.
พวกโจรไปจับพระเถระได้แล้ว ทุบกระดูกทั้งหลายของท่านให้
(แตกยับเป็นชิ้นน้อย) มีประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหัก. ทีนั้น พวกโจร
เหวี่ยงท่านไปที่หลังพุ่มไม้เเห่งหนึ่ง ด้วยสำคัญว่า ' ตายแล้ว.' ก็หลีกไป.
พระเถระประสานกระดูกแล้วไปเฝ้าพระศาสดา
พระเถระคิดว่า " เราเฝ้าพระศาสดาเสียก่อนแล้วจักปรินิพพาน "
ดังนี้แล้ว จึงประสานอัตภาพด้วยเครื่องประสานคือฌาน ทำให้มั่นคง
แล้ว ไปสู่สำนักพระศาสดาโดยอากาศ ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
กราบทูลว่า " ข้าพระองค์จักปรินิพพาน พระเจ้าข้า. "
พระผู้มีพระภาคเจ้า. เธอจักปรินิพพานหรือ ? โมคคัลลานะ.
พระเถระ. จักปรินิพพาน พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เธอจักปรินิพพาน ณ ที่ไหน ?
พระเถระ. ข้าพระองค์จักไปสู่ประเทศชื่อกาฬสิลาแล้วปรินิพพาน
พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. โมคคัลลานะ ถ้ากระนั้น เธอกล่าวธรรมแก่เราแล้ว
จึงค่อยไป เพราะบัดนี้ เราไม่พบเห็นสาวกผู้เช่นเธอ (อีก).
พระเถระแสดงฤทธิ์แล้วปรินิพพาน
พระเถระกราบทูลว่า " ข้าพระองค์จักทำอย่างนั้น พระเจ้าข้า "
ดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระศาสดา เหาะขึ้นไปในอากาศ แสดงฤทธิ์มีประ-
การต่าง ๆ อย่างพระสารีบุตรแสดงฤทธิ์ในวันปรินิพพานแล้วกล่าวธรรม
ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปสู่ดงใกล้กาฬสิลาประเทศ ปรินิพพานแล้ว.
ถ้อยคำ (เล่าลือ) แม้นี้ว่า " ข่าวว่า พวกโจรฆ่าพระเถระเสียแล้ว "
ดังนี้ ได้กระฉ่อนไปทั่วชมพูทวีป.
พวกโจรถูกจารบุรุษจับได้
พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงแต่งจาร1บุรุษไปเพื่อต้องการสืบเสาะหาพวก
โจร. เมื่อโจรแม้เหล่านั้น ซึ่งกำลังดื่มสุราอยู่ในโรงดื่มสุรา, โจรคนหนึ่ง
ก็ถองหลังโจรคนหนึ่งให้ล้มลง. โจรที่ถูกถองนั้น ขู่ตะคอกโจรนั้นแล้ว
พูดว่า " เฮ้ย อ้ายหัวดื้อ ทำไมจึงถองหลังกูเล่า."
โจรผู้หนึ่ง. เฮ้ย อ้ายโจรชั่วร้าย ก็พระมหาโมคคัลลานะ มึง
(ลงมือ) ตีก่อนหรือ ?
1. บุรุษสอดแนม.
โจรอีกผู้หนึ่ง. ก็มึงไม่รู้ว่าพระโมคัลลานะถูกตีดอกหรือ ?
เมื่อพวกโจรเหล่านั้นพากันกล่าว (อวดอ้าง) อยู่ว่า "พระโมคคัล-
ลานะ กูเองตีแล้ว ๆ."
จารบุรุษเหล่านั้นได้ยินแล้ว จึงจับโจรเหล่านั้นไว้ทั้งหมดแล้ว
กราบทูลแด่พระราชา.
พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกพวกโจรมาแล้ว ตรัสถามว่า "พวก
เจ้าฆ่าพระเถระหรือ ? "
พวกโจร. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พระราชา. ใครใช้พวกเจ้าเล่า ?
พวกโจร. พวกสมณะเปลือย พระเจ้าข้า.
พวกเดียรถีย์และพวกโจรถูกลงโทษ
พระราชา ทรงมีรับสั่งให้จับสมณะเปลือยประมาณ 500 แล้วให้ฝัง
ไว้ในหลุมประมาณเพียงสะดือที่พระลานหลวง รวมกับโจรทั้ง 500 คน
ให้กลบด้วยฟางแล้ว ก่อไฟ (เผา). ครั้นทรงทราบว่าพวกเหล่านั้นถูกไฟ
ไหม้แล้ว จึงรับสั่งให้ไถด้วยไถเหล็ก ทำพวกนั้นทั้งหมดให้เป็นท่อนและ
หาท่อนมิได้. รับสั่งให้ทำการเสียบหลาวไว้ในโจร 4 คน.
พระเถระถึงมรณะสมควรแก่กรรมของตน
ภิกษุทั้งหลายสนทนา1กันในโรงธรรมว่า "น่าสังเวชจริง พระมหา
โมคคัลลานะ มรณภาพ2ไม่สมควรแก่ตน."
1. กถํ สมุฏฺฐาเปสุํ แปลว่า ยังกถาให้ตั้งขึ้นพร้อม. 2. มรณํ ปตฺโต แปลว่า ถึงแล้วซึ่ง
มรณะ.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ
นั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า " ด้วย
กถาชื่อนี้ พระเจ้าข้า " ดังนี้แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ
มรณภาพไม่สมควรแก่อัตภาพนี้เท่านั้น, แต่เธอถึงมรณภาพสมควรแท้
แก่กรรมที่เธอทำไว้ในกาลก่อน " อันภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า " ก็บุรพ-
กรรมของท่านเป็นอย่างไร ? พระเจ้าข้า " ได้ตรัส (อดีตนิทาน) อย่าง
พิสดาร (ดังต่อไปนี้) :-
บุรพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
ดังได้สดับมา ในอดีตกาล กุลบุตรผู้หนึ่ง เป็นชาวเมืองพาราณสี
ทำกิจต่าง ๆ มีตำข้าวและหุงต้มเป็นต้นเองทั้งนั้น ปรนนิบัติมารดาบิดา.
ต่อมา มารดาบิดาของเขา พูดกะเขาว่า " พ่อ เจ้าผู้เดียวเท่านั้น
ทำงานทั้งในเรือน ทั้งในป่า ย่อมลำบาก, มารดาบิดาจักนำหญิงสาวคน
หนึ่งมาให้เจ้า," ถูกเขาห้ามว่า ' คุณแม่และคุณพ่อ ผมไม่ต้องการด้วย
หญิงสาวเห็นปานนั้น, ผมจักบำรุงท่านทั้งสองด้วยมือของผมเอง ตราบ
เท่าท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ " ก็อ้อนวอนเขาแล้ว ๆ เล่า ๆ แล้วนำหญิง-
สาวมา (ให้เขา).
หญิงชั่วยุยงผัวฆ่ามารดาบิดา
หญิงนั้นบำรุงแม่ผัวและพ่อผัวได้เพียง 2-3 วันเท่านั้น ภายหลัง
ก็ไม่อยากเห็นท่านทั้งสองนั้นเลย จึงบอกสามีว่า " ฉันไม่อาจอยู่ในที่แห่ง
เดียวกับมารดาบิดาของเธอได้ " ดังนี้แล้ว ติเตียน (ต่าง ๆ นานา) เมื่อ
สามีนั้นไม่เชื่อถ้อยคำของตน, ในเวลาสามีไปภายนอก ถือเอาปอ ก้านปอ
และฟองข้าวยาคู ไปเรี่ยรายไว้ในที่นั้น ๆ (ให้รกรุงรังเลอะเทอะ) สามีมา
แล้ว ก็ถามว่า " นี้ อะไรกัน " ก็บอกว่า " นี่ เป็นกรรมของคนแก่ผู้
บอดเหล่านี้, แกทั้งสองเที่ยวทำเรือนทั่วทุกแห่งให้สกปรก. ฉันไม่อาจ
อยู่ในที่แห่งเดียวกันกับแกทั้งสองนั่นได้.
เชื่อเมียต้องเสียพ่อแม่
เมื่อหญิงนั้น บ่นพร่ำอยู่อย่างนั้น. สัตว์ผู้มีบารมีบำเพ็ญไว้แล้ว
แม้เห็นปานนั้น ก็แตกกับมารดาบิดาได้. เขาพูดว่า " เอาเถอะ, ฉันจักรู้
กรรมที่ควรทำแก่ท่านทั้งสอง " ดังนี้แล้ว เชิญมารดาบิดาให้บริโภคแล้ว
ก็ชักชวนว่า " ข้าแต่พ่อและแม่ พวกญาติในที่ชื่อโน้น หวังการมาของ
ท่านทั้งสองอยู่. ผมจัก (พา) ไปในที่นั้น " ดังนี้แล้ว ให้ท่านทั้งสองขึ้น
สู่ยานน้อยแล้วพาไป ในเวลาถึงกลางดงลวงว่า " คุณพ่อขอรับ ขอพ่อ
จงถือเชือกไว้. โคทั้งสองจักไปด้วยสัญญาแห่งปฏัก, ในที่นี้มีพวกโจรซุ่ม
อยู่, ผมจะลงไป " ดังนี้แล้ว มอบเชือกไว้ในมือของบิดา ลงไปแล้ว
ได้เปลี่ยนเสียงทำให้เป็นเสียงพวกโจรซุ่มอยู่.
มารดาบิดาสิเนหาในบุตรยิ่งกว่าตน
มารดาบิดาได้ยินเสียงนั้น ด้วยสำคัญว่า " พวกโจรซุ่มอยู่ " จึงกล่าว
ว่า " ลูกเอ๋ย แม่และพ่อแก่แล้ว, เจ้าจงรักษาเฉพาะตัวเจ้า (ให้พ้นภัย)
เถิด." เขาทำเสียงดุจโจร ทุบตีมารดาบิดา แม้ผู้ร้องอยู่อย่างนั้นให้ตาย
แล้ว ทิ้งไว้ในดง แล้วกลับไป.
ผลของกรรมชั่วตามสนอง
พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระมหาโมคคัลลานะนั้นแล้ว
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะ ทำกรรมประมาณเท่านี้ไหม้ใน
นรกหลายแสนปี, ด้วยวิบากที่ยังเหลือ จึงถูกทุบตีอย่างนั้นนั่นแล ละเอียด
หมด ถึงมรณะ สิ้น 100 อัตภาพ, โมคคัลลานะ ได้มรณะอย่างนี้ ก็พอ
สมแก่กรรมของตนเองแท้. พวกเดียรถีย์ 500 กับโจร 500 ประทุษ-
ร้ายต่อบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้าย ก็ได้มรณะที่เหมาะ (แก่กรรมของเขา)
เหมือนกัน, ด้วยว่า บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อม
ถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ 10 ประการเป็นแท้ " ดังนี้แล้ว เมื่อจะ
ทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
7. โย ทณฺเฑน อทณฺเฑนสุ อปฺปทุฏฺเฐสุ ทุสฺสติ
ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ
เวทนํ ผรุสํ ชานึ สรีรสฺส จ เภทนํ
ครุกํ วาปิ อาพาธํ จิตฺตกฺเขปํ ว ปาปุเณ
ราชฺโต วา อุปสคฺคํ อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ โภคานํ ว ปภงฺคุณํ
อถ วาสฺส อคารานิ อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ นิรยํ โส อุปปชฺชติ.
" ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้ง
หลาย ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ 10
อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือ ถึงเวทนา
กล้า 1 ความเสื่อมทรัพย์ 1 ความสลายแห่งสรีระ 1
อาพาธหนัก 1 ความฟุ้งซ่านแห่งจิต 1 ความขัดข้อง
แต่พระราชา 1 การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง 1 ความ
ย่อยยับแห่งเครือญาติ 1 ความเสียหายแห่งโภคะ
ทั้งหลาย 1 อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของ
เขา, ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก ย่อมเข้า
ถึงนรก."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทณฺเฑสุ ความว่า ในพระขีณาสพ
ทั้งหลาย ผู้เว้น จากอาชญามีอาชญาทางกายเป็นอาทิ.
บทว่า อปฺปทุฏฺเฐสุ ความว่า ผู้ไม่มีความผิดในชนเหล่าอื่น หรือ
ในตน.
บาทพระคาถาว่า ทสนฺนนญฺญตร ฐานํ ความว่า ในเหตุแห่งทุกข์
10 อย่าง ซึ่งเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า เวทนํ ได้แก่ เวทนากล้า อันต่างด้วยโรคมีโรคในศีรษะ
เป็นต้น.
บทว่า ชานึ ได้แก่ ความเสื่อมทรัพย์ที่ได้โดยยาก.
บทว่า เภทนํ ได้แก่ ความสลายแห่งสรีระมีการตัดมือเป็นต้น.
บทว่า ครุกํ ได้แก่ (หรือ) อาพาธหนักต่างโดยโรคมีโรคอัมพาต1
มีจักษุข้างเดียว เปลี้ย ง่อย และโรคเรื้อนเป็นต้น.
บทว่า จิตฺตกฺเขปํ ได้แก่ ความเป็นบ้า.
บทว่า อุปสคฺคํ ได้แก่ (หรือ) ความขัดข้องแต่พระราชาเป็นต้น
ว่า ถอดยศลดตำแหน่งเสนาบดีเป็นต้น.
บทว่า อพฺภกฺขานํ ความว่า การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรงเห็นปานนี้
ว่า ' กรรมมีการตัดที่ต่อเป็นต้นนี้ก็ดี, กรรมคือการประพฤติผิดในพระ-
ราชานี้ก็ดี เจ้าทำแล้ว.' ซึ่งตนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยคิดเลย.
1. Caralysis โรคเส้นประสาทพิการทำให้เนื้อตัวตาย.
บาทพระคาถาว่า ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ ได้แก่ ความย่อยยับแห่ง
เครือญาติ ผู้สามารถเป็นที่พำนักของตน.
บทว่า ปภงฺคุณํ คือ ความเสียหาย ได้แก่ ความผุพังไป. ก็
ข้าวเปลือกในเรือนของเขา ย่อมถึงความผุ. ทองคำถึงความเป็นถ่าน
เพลิง. แก้วมุกดาถึงความเป็นเมล็ดฝ้าย. กหาปณะถึงความเป็นชิ้นกระ-
เบื้องเป็นต้น. สัตว์ 2 เท้า 4 เท้า ถึงความเป็นสัตว์บอดเป็นอาที.
สองบทว่า อคฺคิ ฑหตี ความว่า ในปีหนึ่ง เมื่อไฟผลาญอย่าง
อื่นแม้ไม่มี ไฟคืออสนิบาต ย่อมตกลงเผาผลาญ 2-3 ครั้ง. หรือไฟป่า
ตั้งขึ้นตามธรรมดาของมัน ย่อมไหม้เทียว.
บทว่า นิรยํ เป็นต้น ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " ผู้นั้น
ย่อมเข้าถึงนรก " ก็เพื่อแสดงฐานะ อันการกบุคคลแม้ถึงฐานะ 10 อย่าง
เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้แล้ว ก็พึงถึงในสัมปรายภพโดยอย่าง
เดียวกัน.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มี
โสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ จบ.
8. เรื่องภิกษุมีภัณฑะมาก [114]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มีภัณฑะ
มาก1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น นคฺคจริยา " เป็นต้น.
กุฎุมพีเตรียมเครื่องใช้ก่อนบวช
ได้ยินว่า กุฎุมพีชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง มีภรรยาทำกาละแล้ว จึง
บวช. เขาเมื่อจะบวช ให้สร้างบริเวณ เรือนไฟและห้องเก็บภัณฑะเพื่อตน
บรรจุห้องเก็บภัณฑะแม้ทั้งหมดให้เต็มด้วยวัตถุทั้งหลายมีเนยใสและน้ำมัน
เป็นต้นแล้ว จึงบวช. ก็แล ครั้นบวชแล้วให้เรียกพวกทาสของตน มา
หุงต้มอาหารตามที่ตนชอบใจ แล้วบริโภค. ได้เป็นผู้มีภัณฑะมาก และ
มีบริขารมาก. ผ้านุ่งผ้าห่มในราตรีมีชุดหนึ่ง. กลางวันมีอีกชุดหนึ่ง. อยู่
ในวิหารหลังสุดท้าย.
ถูกพวกภิกษุต่อว่าแล้วนำตัวไปเฝ้าพระศาสดา
วันหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้น ตากจีวรและผ้าปูที่นอนอยู่. ภิกษุทั้งหลาย
เดินเที่ยวจาริกไปตามเสนาสนะ2 เห็นแล้ว จึงถามว่า " ผู้มีอายุ จีวรและ
ผ้าปูที่นอนเหล่านี้ของใคร ? " เมื่อเขาตอบว่า " ของผมขอรับ " ดังนี้
แล้ว จึงกล่าวว่า " ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตจีวร (เพียง)
3 ผืน. ก็ท่านบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีความปรารถนาน้อย3อย่าง
นี้ (ทำไม) จึงเป็นผู้มีบริขารมากอย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ได้นำภิกษุนั้นไปสู่
สำนักพระศาสดา กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปนี้ เป็น
ผู้มีภัณฑะมากเหลือเกิน."
1. สั่งสมสิ่งของ. 2. เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา. 3. มังคลัตถทีปนี ทุติยภาค หน้า 271
แก้ศัพท์นี้ว่า ไม่มีความปรารถนา.
พระศาสดาตรัสถาม (ภิกษุนั้น) ว่า "ได้ยินว่า เป็นอย่างนั้น
จริงหรือ ? ภิกษุ " เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า " จริง พระเจ้าข้า " จึงตรัส
ว่า " ภิกษุ ก็เหตุไร เธอ เมื่อเราแสดงธรรมเพื่อความเป็นผู้มีความ
ปรารถนาน้อยแล้ว, จึงกลับเป็นผู้มีภัณฑ์มากอย่างนี้เล่า ? "
ภิกษุนั้นโกรธแล้วด้วยเหตุเพียงเท่านั้นแล คิดว่า " บัดนี้เราจัก
เที่ยวไป โดยทำนองนี้ " ดังนี้แล้ว ทิ้ง (เปลื้อง) ผ้าห่ม มีจีวรตัวเดียว
ได้ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท.
พระศาสดาให้เธอกลับมีหิริและโอตตัปปะ
ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงอุปถัมภ์ภิกษุรูปนั้น จึงตรัสว่า
" ภิกษุ ในกาลก่อน เธอแสวงหาหิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลเป็นรากษส
น้ำ ก็แสวงหาหิริโอตตัปปะอยู่ (ถึง) 12 ปี มิใช่หรือ ? (แต่) บัดนี้ เธอ
บวชในพระพุทธศาสนาที่เคารพอย่างนี้แล้ว เปลื้องผ้าห่มละหิริและโอต-
ตัปปะ ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท 4 เพราะเหตุไร ? "
ภิกษุนั้นฟังพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว กลับตั้งหิริและโอต-
ตัปปะขึ้นได้ ห่มจีวรนั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ สมควร
ข้างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลายทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้ทรงประกาศ
เนื้อความนั้น. ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า:-
บุรพกรรมของภิกษุนั้น
" ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์
พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี. ในวันขนานพระนามของพระโพธิ-
1. คือ เหลือสบงตัวเดียว เพราะ ติจีวรํ ย่อมหมายผ้า 3 ผืน.