" ไฟเสมอด้วยราคะ ย่อมไม่มี, โทษเสมอด้วย
โทสะ ย่อมไม่มี, ทุกข์ทั้งหลายเสมอด้วยขันธ์ ย่อม
ไม่มี, สุขอื่นจากความสงบ ย่อมไม่มี. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า นตฺถิ ราคสโม ความว่า ชื่อว่าไฟ
อื่นเสมอด้วยราคะ ซึ่งสามารถเพื่อจะไม่แสดงควัน เปลว หรือถ่าน ไหม้
ในภายในเท่านั้น แล้วจึงกระทำกองเถ้า ย่อมไม่มี.
บทว่า กลิ ความว่า แม้โทษ เสมอด้วยโทสะ ย่อมไม่มี.
บทว่า ขนฺธสมา1 ได้แก่ เสมอด้วยขันธ์ทั้งหลาย. อธิบายว่า ชื่อว่า
ทุกข์อย่างอื่น เหมือนอย่างขันธ์ทั้งหลายที่บุคคลบริหารอยู่เป็นทุกข์ ย่อม
ไม่มี.
สองบทว่า สนฺติปรํ สุขํ ความว่า แม้สุขอื่นยิ่งกว่าพระนิพพาน
ย่อมไม่มี. อธิบายว่า ความจริง สุขอย่างอื่นก็เป็นสุขเหมือนกัน แต่
พระนิพพานเป็นบรมสุข.
ในกาลจบเทศนา กุมาริกาและกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. ใน
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำอาการคืออันเห็นซึ่งกันและกัน แก่
คนทั้งสองนั้นดังนี้แล.
เรื่องเด็กหญิงแห่งตระกูลคนใดคนหนึ่ง จบ.
1. บาลีเป็น ขนฺธาทิสา.
5. เรื่องอุบาสกคนใดคนหนึ่ง [161]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเมืองอาฬวี ทรงปรารภอุบาสกคน
หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ชิฆจฺฉา " เป็นต้น.
เสด็จโปรดคนเข็ญใจ
ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎี
ในพระเชตวันเทียว ทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นมนุษย์เข็ญใจ
คนหนึ่ง ในเมืองอาฬวี ทรงทราบความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยของเขา
มีภิกษุ 500 เป็นบริวาร ได้เสด็จไปสู่เมืองอาฬวี. ชาวเมืองอาฬวีนิมนต์
พระศาสดา. มนุษย์เข็ญใจแม้นั้นได้ยินว่า " พระศาสดาเสด็จมา " ดังนี้แล้ว
ได้ตั้งใจไว้ว่า " เราจักฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา." แลในวันนั้น
เอง โคของเขาตัวหนึ่งหนีไป เขาคิดว่า " เราจักค้นหาโคหรือจะฟังธรรม "
แล้วคิดว่า " เราค้นหาโคต้อนให้เข้าไปสู่ฝูงโคแล้ว จึงจักฟังธรรมภาย
หลัง " ดังนี้แล้ว จึงออกจากเรือนแต่เช้าตรู่. แม้ชาวเมืองอาฬวีนิมนต์
ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานให้นั่งแล้วอังคาส รับบาตร เพื่อ
ประโยชน์แก่อนุโมทนา. พระศาสดาได้ทรงนิ่งเสีย ด้วยหมายพระหฤทัย
ว่า " เราอาศัยบุคคลใดมาแล้ว ตลอดหนทาง 30 โยชน์, บุคคลนั้นเข้า
ไปสู่ป่า เพื่อแสวงหาโค; เมื่อเขามาแล้วนั่นแหละ เราจึงจักแสดงธรรม. "
มนุษย์แม้นั้น เห็นโคในกลางวัน ต้อนเข้าฝูงโคแล้วคิดว่า " แม้ถ้าของ
อื่นไม่มี. เราจักกระทำกิจสักว่าการถวายบังคมพระศาสดา " แม้ถูกความ
หิวบีบคั้นก็ไม่ใฝ่ใจจะไปเรือน มาสู่สำนักพระศาสดาโดยเร็ว ถวายบังคม
พระศาสดาแล้ว ได้ยืนอยู่ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ในเวลาที่เขายืนอยู่ พระศาสดา
ตรัสกะผู้ขวนขวายในทานว่า " ของอะไรที่เป็นเดนของภิกษุสงฆ์ มีอยู่
หรือ ? "
ผู้ขวนขวายในทาน. มีอยู่ทุกอย่าง พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ถ้ากระนั้น เธอจงเลี้ยงดูผู้นี้.
พระศาสดายังถูกโพนทะนา
เขาให้มนุษย์นั้นนั่งในที่ที่พระศาสดาตรัสสั่งนั่นแหละ แล้วเลี้ยง
ดูด้วยข้าวยาคู ของควรเคี้ยว และของควรบริโภค โดยเคารพ. มนุษย์
ผู้นั้นบริโภคภัตเสร็จ บ้วนปากแล้ว. ได้ยินว่า ชื่อว่าการจัดภัตของพระ-
ตถาคต ย่อมไม่มีในที่อื่น ในปิฎก 3 เว้นที่นี้เสีย. จิตของเขามีความ
กระวนกระวายสงบแล้ว ได้เป็นจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว. ครั้งนั้น พระ-
ศาสดาตรัสอนุปุพพีกถาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลายแก่เขา. ในที่สุด
แห่งเทศนา เขาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แม้พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนา
แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป. มหาชนตามส่งเสด็จพระศาสดาแล้ว
ก็กลับ.
ภิกษุทั้งหลายที่ไปกับพระศาสดานั่นแหละ ยกโทษว่า " ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย พวกท่านจงดูกรรมของพระศาสดาเถิด. กรรมเห็นปานนี้ ย่อม
ไม่มีในวันทั้งหลายอื่น, แต่วันนี้ พระศาสดาทรงอาศัยมนุษย์คนหนึ่ง
รับสั่งให้คนจัดแจงข้าวยาคูเป็นต้นให้ให้แล้ว. " พระศาสดาเสด็จกลับ
ประทับยืนอยู่แล้วเทียว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพูดอะไร
กัน ? " ทรงสดับเนื้อความนั้นแล้ว ตรัสว่า " อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย เรา
คิดว่า ' เราเมื่อมาสิ้นทางกันดาร 30 โยชน์ เห็นอุปนิสัยของอุบาสกคนนั้น
แล้วจึงมา. อุบาสกนั้นหิวยิ่งนัก ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วเที่ยวไปหาโคในป่า
แม้เมื่อเราแสดงธรรมอยู่ ก็ไม่อาจบรรลุได้ เพราะความเป็นทุกข์อันเกิด
แต่ความหิว. จึงได้กระทำอย่างนี้; ภิกษุทั้งหลาย ด้วยว่าชื่อว่าโรค เช่น
กับโรค คือความหิวไม่มี " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
5. ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
เอตํ ญฺตวา ยถาภูตํ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ.
" ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง, สังขารทั้งหลาย เป็น
ทุกข์อย่างยิ่ง, บัณฑิตทราบเนื้อความนั่น ตามความ
จริงแล้ว (กระทำให้เเจ้งซึ่งพระนิพพาน) เพราะ
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา ความ
ว่า เพราะโรคอย่างอื่นรักษาคราวเดียวก็หาย หรือว่าอันบุคคลย่อมบำบัด
ได้ ด้วยความสามารถแห่งองค์นั้น ๆ (คือเป็นครั้งคราว). ส่วนความหิว
ต้องรักษากันสิ้นกาลเป็นนิตย์ทีเดียว เหตุนั้น ความหิวนี้จึงจัดเป็นเยี่ยม
กว่าโรคที่เหลือ.
ขันธ์ 5 ชื่อว่า สังขารทั้งหลาย. สองบทว่า เอตํ ญตฺวา ความว่า
บัณฑิตทราบเนื้อความตามเป็นจริงว่า " โรคเสมอด้วยความหิว ย่อมไม่มี,
ชื่อว่าทุกข์ เสมอด้วยการบริหารขันธ์ ย่อมไม่มี, " แล้วกระทำพระ-
นิพพานให้แจ้ง.
บาทพระคาถาว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ความว่า เพราะพระนิพพาน
นั้น เป็นสุขอย่างยอด คืออย่างสูงสุดกว่าสุขทั้งหมด.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องอุบาสกคนใดคนหนึ่ง จบ.
6. เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล [162]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเจ้า
ปเสนทิโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อาโรคฺยปรมา ลาภา " เป็น
ต้น.
พระราชาเสวยพระกระยาหารจุ
ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง พระราชาเสวยพระกระยาหารตั้ง
ทะนานแห่งข้าวสาร ด้วยสูปะและพยัญชนะอันสมควรแก่พระกระยาหาร
นั้น. วันหนึ่ง ท้าวเธอเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ยังไม่บรรเทาความ
เมาเพราะภัตเลย เสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา มีพระรูปอึดอัด ทรง
พลิกกลับไปมาข้างโน้นข้างนี้อยู่ แม้ถูกความหลับครอบงำ เมื่อไม่
สามารถจะทรงผทมตรงได้ จึงประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น
พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า " มหาบพิตร พระองค์ยังไม่ทันพักผ่อนเลย
เสด็จมาแล้วหรือ ? "
พระราชา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ตั้งแต่เวลาบริโภคแล้วหม่อมฉัน
มีทุกข์มาก.
อุบายแก้การบริโภคอาหารจุ
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า " มหาบพิตร การบริโภค
มากเกินไป เป็นทุกข์อย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสสอนด้วยพระคาถานี้ว่า :-
" ในกาลใด บุคคลเป็นผู้กินจุ มักง่วง และมัก
นอนหลับ กระสับกระส่าย เป็นดุจสุกรใหญ่ที่เขา
เลี้ยงด้วยอาหาร, ในกาลนั้น เขาเป็นคนมึนซึม ย่อม
เข้าห้องบ่อย ๆ."
แล้วตรัสว่า " มหาบพิตร การบริโภคโภชนะแต่พอประมาณ จึงควร,
เพราะผู้บริโภคพอประมาณ ย่อมมีความสุข " เมื่อจะทรงโอวาทให้ยิ่ง จึง
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" คนมีสติทุกเมื่อ รู้ประมาณในโภชนะที่ได้แล้ว
นั้น มีเวทนาเบาบาง, (อาหารที่บริโภคแล้ว) เลี้ยง
อายุอยู่ ค่อย ๆ ย่อยไป1 "
พระราชาไม่อาจจะทรงเรียนพระคาถาได้. แต่ตรัสกะเจ้าหลานชื่อ
สุทัสนะ ซึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ว่า " พ่อ เธอจงเรียนคาถานี้. " สุทัสนะนั้น
ทรงเรียนคาถานั้นเเล้ว ทูลถามพระศาสดาว่า " ข้าพระองค์จะกระทำ
อย่างไร พระเจ้าข้า ? " ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า " เมื่อพระ-
ราชาเสวยอยู่ ท่านพึงกล่าวคาถานี้ในกาลเสวยก้อนที่สุด, พระราชาทรง
กำหนดเนื้อความได้เเล้ว จักทรงทิ้งก้อนข้าวนั้น, ในการหุงภัตเพื่อพระ-
ราชา เธอพึงให้ลดข้าวสารมีประมาณเท่านั้น ด้วยอันนับเมล็ดข้าวในก้อน
ข้าวนั้น. " สุทัสนะนั้นทูลรับว่า " ดีละ พระเจ้าข้า เมื่อพระราชาเสวย
เวลาเช้าก็ตาม เวลาเย็นก็ตาม ก็กล่าวคาถานั้นขึ้น ในการเสวยก้อน
สุดท้าย แล้วให้ลดข้าวสาร ด้วยอันนับเมล็ด ในก้อนข้าวที่พระราชานั้น
ทรงทิ้ง. แม้พระราชาทรงสดับคาถาของสุทัสนะนั้นแล้ว รับสั่งให้พระ-
ราชทานทรัพย์ครั้งละพัน.
1. แปลกันมาอย่างนี้. คือเติม ภุตฺตาหาโร เป็นประธาน แต่น่าจะหมายความว่า....... มีโรค
ภัยไข้เจ็บน้อย, เขาแก่ช้าอายุยืน.
พระราชาลดพระกระยาหารได้แล้ว
โดยสมัยอื่นอีก พระราชานั้นทรงตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีพระกระยา-
หารแห่งข้าวสารทะนานหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ทรงถึงความสุขแล้ว ได้มีพระ-
สรีระอันเบา.
ภายหลังวันหนึ่ง ท้าวเธอเสด็จไปสำนักพระศาสดา ถวายบังคม
พระศาสดาแล้วทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ความสุขเกิดแก่
หม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันเป็นผู้สามารถ จะติดตามจับเนื้อก็ได้ ม้าก็ได้,
เมื่อก่อนหม่อมฉันมีการยุทธ์กับหลาน; บัดนี้หม่อมฉันให้ธิดาชื่อว่าวชิร-
กุมารีแก่หลานแล้ว ให้บ้านนั้น ทำให้เป็นค่าน้ำอาบของธิดานั้นนั่นแล.
ความทะเลาะกับหลานนั้นสงบแล้ว, สุขแท้เกิดแล้วแก่หม่อมฉัน เพราะ
เหตุแม้นี้. เเม้เเก้วมณีของพระเจ้ากุสะ ซึ่งหายไปแล้วในเรือนของหม่อม-
ฉันในวันก่อน; บัดนี้แก้วมณีแม้นั้นมาสู่เงื้อมมือแล้ว, ความสุขแท้เกิด
แล้วแก่หม่อมฉัน เพราะเหตุแม้นี้, หม่อมฉันปรารถนาความคุ้นเคยกับ
เหล่าสาวกของพระองค์ จึงทำแม้ธิดาแห่งญาติของพระองค์ไว้ในเรือน,
ความสุขแท้เกิดแล้วแก่หม่อนฉัน เพราะเหตุเเม้นี้. " พระศาสดาตรัสว่า
" มหาบพิตร ชื่อว่าความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง, ทรัพย์แม้เช่นกับ
ความเป็นผู้สันโดษ ด้วยวัตถุตามที่ตนได้แล้ว ไม่มี, ชื่อว่าญาติเช่นกับ
ด้วยผู้คุ้นเคยกัน ไม่มี, ชื่อว่าความสุขอย่างยิ่ง เช่นกับด้วยพระนิพพาน
ไม่มี " จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
6. อาโรคฺยปรมา ลาภา สนฺตุฏฺฐิปรมํ ธนํ
วิสฺสาสปรมา ญาติ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ.