ทั้งหลาย จักไม่ปล่อยเรา, เราจักไม่อำลาไปละ" ดังนี้แล้ว ก็ไม่บอก
แก่ภิกษุเหล่านั้นเลยออกไปแล้ว. ทราบว่า ข้อที่เขาไม่บอกพวกภิกษุ
หลีกไปเท่านั้น ได้เป็นความพลั้งพลาดอย่างขนาดใหญ่, ก็ในหนทางไป
ของบุรุษนั้น มีดงอยู่แห่งหนึ่ง. วันที่ 7 เป็นวันของโจร 500 คน
ผู้ทำการบนบานเทวดาว่า " ผู้ใดจักเข้าสู่ดงนี้, พวกเราจักฆ่าผู้นั้นแล้ว
ทำพลีกรรมแด่ท่าน ด้วยเนื้อและเลือดของผู้นั้นแหละ" แล้วอยู่ในดง
นั้น.
เขาถูกโจรจับในกลางดง
เพราะฉะนั้น ในวันที่ 7 หัวหน้าโจรขึ้นต้นไม้ตรวจดูพวกมนุษย์
เห็นบุรุษนั้นเดินมา จึงได้ให้สัญญาแก่พวกโจร. โจรเหล่านั้นรู้ความที่
บุรุษนั้นเข้าสู่กลางดง จึงล้อมจับเขา ทำการผูกอย่างมั่นคง สีไฟด้วยไม้
สีไฟ ขนฟืนมาก่อเป็นกองไฟใหญ่ เสี้ยมหลาวไว้. บุรุษนั้นเห็นกิริยา
ของโจรเหล่านั้น ถึงถามว่า "นาย ในที่นี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นหมูและเนื้อ
เป็นต้นเลย, เหตุไร พวกท่านจึงทำหลาวนี้ ?"
พวกโจร. พวกเราจักฆ่าเจ้า ทำพลีกรรมแก่เทวดา ด้วยเนื้อและ
เลือดของเจ้า.
บุรุษนั้นถูกมรณภัยคุกคาม มิได้ติดถึงอุปการะนั้นของพวกภิกษุ
เมื่อจะรักษาชีวิตของตนอย่างเดียวเท่านั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า "นาย
ข้าพเจ้าเป็นคนกินเดน กินภัตที่เป็นเดนเติบโต, ขึ้นชื่อว่าคนกินเดน
เป็นคนกาลกิณี; ก็พวกพระผู้เป็นเจ้า แม้ออกบวชจากสกุลใดสกุลหนึ่ง
เป็นกษัตริย์ทีเดียว; ภิกษุ 31 รูปอยู่ในที่โน้น พวกท่านจงฆ่าภิกษุ
เหล่านั้นแล้วทำกรรม, เทวดาของพวกท่านจักยินดี เป็นอย่างยิ่ง."
พวกโจรไปจับภิกษุเพื่อทำพลีกรรม
พวกโจรฟังคำนั้นแล้วคิดว่า "คนนี้พูดดี, ประโยชน์อะไรด้วย
คนกาลกิณีนี้, พวกเราจักฆ่าพวกกษัตริย์ทำพลีกรรม" ดังนี้แล้ว
จึงกล่าวว่า "มาเถิด, จงแสดงที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น" แล้วให้เขา
นั่นแลเป็นผู้นำทาง ถึงที่นั้นแล้ว ไม่เห็นพวกภิกษุในท่านกลางวิหาร
จึงถามเขาว่า "พวกภิกษุไปไหน ?" เขารู้กติกวัตรของภิกษุเหล่านั้น
เพราะอยู่ถึง 2 เดือน จึงกล่าวอย่างนี้ว่า "พวกภิกษุนั่งอยู่ในที่พัก
กลางคืนและที่พักกลางวันของตน, จงตีระฆังนั่น, พวกภิกษุจักประชุม
กันด้วยเสียงระฆัง." หัวหน้าโจรตีระฆังแล้ว. พวกภิกษุได้ยินเสียงระฆัง
คิดว่า "ใครตีระฆังผิดเวลา, ความไม่ผาสุกจักมีแก่ใคร" ดังนี้แล้ว
จึงมานั่งบนแผ่นหินที่เขาแต่งตั้งไว้ โดยลำดับตรงกลางวิหาร พระสังฆ-
เถระแลดูพวกโจรแล้ว ถามว่า "อุบาสก ใครตีระฆังนี้." หัวหน้าโจร
ตอบว่า ข้าพเจ้าเองขอรับ."
พระสังฆเถระ. เพราะเหตุไร ?
หัวหน้าโจร. พวกข้าพเจ้าบนบานเทพยดาประจำดงไว้, จักจับ
ภิกษุรูปหนึ่งไป เพื่อต้องการทำพลีกรรมแก่เทวดานั้น.
พวกภิกษุยอมตัวให้โจรจับ
พระมหาเถระฟังคำนั้นแล้ว จึงกล่าวกะพวกภิกษุว่า "ผู้มีอายุ
ธรรดากิจเกิดแก่พวกน้อง ๆ ผู้เป็นพี่ชายต้องช่วยเหลือ, ผมจักสละชีวิต
ของตนเพื่อพวกท่าน ไปกับโจรเหล่านี้, ข้ออันตรายจงอย่ามีแก่ทุก ๆ
ท่าน, พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาททำสมณธรรมเถิด." พระอนุเถระ
กล่าวว่า "ท่านขอรับ ธรรมดากิจของพี่ชายย่อมเป็นภาระของน้องชาย,
กระผมจักไป, ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด." โดยอุบายนี้
ชนแม้ทั้ง 30 ลุกขึ้นพูดเป็นลำดับว่า "ผมเอง ผมเอง." ด้วยประการ
ฉะนี้ ภิกษุทั้งหมดไม่เป็นบุตรของมารดาเดียวกันเลย. ไม่เป็นบุตรของ
บิดาเดียวกัน, ทั้งยังไม่สิ้นราคะ, แต่กระนั้นก็ยอมเสียสละชีวิตตามลำดับ
เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุที่เหลือ; บรรดาภิกษุเหล่านั้น แม้ภิกษุรูปหนึ่ง
ชื่อว่าสามารถกล่าวว่า "ท่านไปเถิด" มิได้มีเลย.
สังกิจจสามเณรยอมมอบตัวให้แก่โจร
สังกิจจสามเณรได้ฟังคำของภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าวว่า "หยุด
เถิด ท่านขอรับ, กระผมจักสละชีวิตเพื่อพวกท่านไปเอง."
พวกภิกษุ. ผู้มีอายุ เราทั้งหมดแม้จักถูกฆ่ารวมกัน ก็จักไม่ยอม
สละเธอผู้เดียว.
สามเณร. เพราะเหตุไร ? ขอรับ.
พวกภิกษุ. ผู้มีอายุ เธอเป็นสามเณรของพระธรรมเสนาบดี
สารีบุตรเถระ, ถ้าเราจักสละเธอ, พระเถระจักติว่า 'พวกภิกษุพา
สามเณรของเราไปมอบให้แก่พวกโจร,' เราไม่อาจจะสลัดคำติเตียนนั้น
ได้ ด้วยเหตุนั้น เราจักไม่สละเธอ.
สามเณร. ท่านขอรับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงส่งพวกท่านไปยัง
สำนักพระอุปัชฌายะของกระผมก็ดี, พระอุปัชฌายะของกระผม ส่ง
กระผมมากับพวกท่านก็ดี. ได้ทรงเห็นเหตุอันนี้แล้วทั้งนั้น จึงส่งมา,
หยุดเถิด ขอรับ, กระผมนี่แหละจักไปเอง.
สามเณรนั้นไหว้ภิกษุทั้ง 30 รูปแล้ว กล่าวว่า "ท่านขอรับ
ถ้าโทษของกระผมมีอยู่, ขอท่านจงอดโทษ" ดังนี้ แล้วก็ออกไป.
ความสลดใจอย่างใหญ่เกิดขึ้นแก่พวกภิกษุแล้ว, ตาเต็มไปด้วยน้ำตา,
เนื้อหัวใจสิ้นแล้ว. พระมหาเถระพูดกะพวกโจรว่า "อุบาสก เด็กนี้เห็น
พวกท่านก่อไฟ เสี้ยมหลาว ลาดใบไม้จักกลัว, ท่านทั้งหลายพักสามเณร
นี้ไว้ในที่ส่วนหนึ่ง พึงทำกิจเหล่านั้น." พวกโจรพาสามเณรไปพักไว้ใน
ที่ส่วนหนึ่ง แล้วทำกิจทั้งปวง.
นายโจรลงมือฆ่าสามเณร
ในเวลาเสร็จกิจ หัวหน้าโจรชักดาบเดินเข้าไปหาสามเณร. สามเณร
เมื่อนั่ง นั่งเข้าฌานมั่น, หัวหน้าโจรแกว่งดาบฟันลงที่คอสามเณร.
ดาบงอเอาคมกระทบคม. หัวหน้าโจรนั้นสำคัญว่า "เราประหารไม่ดี"
จึงดัดดาบนั้นให้ตรงแล้วประหารอีก. ดาบเป็นดังใบตาลที่ม้วน ได้ร่นถึง
โคนดาบ. แท้จริง บุคคลแม้จะเอาภูเขาสิเนรุทับสามเณรในเวลานั้น
ชื่อว่าสามารถจะให้สามเณรตายไม่มีเลย, จะป่วยกล่าวไปไยถึงว่าจะเอา
ดาบฟันให้ตาย. หัวหน้าโจรเห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้วคิดว่า "เมื่อก่อนดาบ
ของเรา ย่อมตัดเสาหินหรือตอไม้ตะเคียนเหมือนหยวกกล้วย, บัดนี้ ดาบ
ของเรางอคราวหนึ่ง อีกคราวหนึ่งเกิดเป็นดังใบตาลม้วน; ดาบชื่อนี้
แม้ไม่มีเจตนา ยังรู้คุณของสามเณรนี้, เรามีเจตนายังไม่รู้.
นายโจรเลื่อนใสในปาฏิหาริย์ของสามเณร
นายโจรนั้นทิ้งดาบลงที่ฟันดิน เอาอกหมอบแทบใกล้เท้าของ
สามเณร แม้จะถามว่า "ท่านเจ้าข้า พวกผมเข้ามาในดงนี้ เพราะเหตุ
ต้องการทรัพย์. บุรุษแม้มีประมาณพันคน เห็นพวกเราแต่ที่ไกลเทียว
ยังสั่น, ไม่อาจพูด 2 - 3 คำได้, ส่วนสำหรับท่านแม้เพียงความหวาด
สะดุ้งแห่งจิตก็มิได้มี, หน้าของท่านผ่องใสดังทองคำในปากเบ้า และ
ดังดอกกรรณิการ์ที่บานดี; เหตุอะไรกันหนอ ?" จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
"ความหวาดเสียวไม่มีแก่ท่าน, ความกลัวก็
ไม่มี, วรรณะผ่องใสยิ่งนัก, เหตุไร ท่านจึงไม่
คร่ำครวญ ในเพราะภัยใหญ่หลวงเห็นปานนี้เล่า ?"
สามเณรออกจากฌาน เมื่อจะแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรนั้น จึง
กล่าวว่า "ท่านผู้เป็นนายบ้าน ขึ้นชื่อว่าอัตภาพของพระขีณาสพ ย่อม
เป็นเหมือนภาระ (ของหนัก) ซึ่งวางไว้บนศีรษะ, พระขีณาสพนั้น
เมื่ออัตภาพนั้นแตกไป ย่อมยินดีทีเดียว ย่อมไม่กลัวเลย" ดังนี้แล้ว
ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
"ท่านผู้เป็นนายบ้าน ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่
ท่านผู้ไม่มีความห่วงใย, ท่านผู้แสวงหาคุณ สิ้น
สัญโญชน์แล้ว ก้าวล่วงภัยทุกอย่างได้, ตัณหา
อันนำไปสู่ภพของพระขีณาสพนั้นสิ้นแล้ว, ท่านเห็น
ธรรมแล้วตามเป็นจริง หรือโดยถ่องแท้, ความตาย
[ของท่าน] หมดภัยดังปลงภาระลงฉะนั้น."
นายโจรขอบรรพชากะสามเณร
หัวหน้าโจรนั้นฟังคำสามเณรนั้นแล้ว แลดูโจร 500 คนพูดว่า
" พวกท่านจักทำอย่างไร ?"
พวกโจร. ก็ท่านเหล่า ? นาย.
นายโจร. กิจในท่ามกลางเรือนของฉันไม่มี เพราะเห็นปาฏิหาริย์
เห็นปานนี้ก่อน, ฉันจักบวชในสำนักพระผู้เป็นเจ้า.
พวกโจร. แม้เราจักทำอย่างนั้นเหมือนกัน.
นายโจร. ดีละ พ่อ.
ลำดับนั้น โจรทั้ง 500 คนไหว้สามเณรแล้วจึงขอบรรพชา.
สามเณรนั้นตัดผมและชายผ้าด้วยคมดาบของโจรเหล่านั้นเอง ย้อมด้วย
ดินแดง ให้ครองผ้ากาสายะเหล่านั้น ให้ตั้งอยู่ในศีล 10 เมื่อพา
สามเณรเหล่านั้นไป คิดว่า "ถ้าเราจักไม่เยี่ยมพระเถระทั้งหลายไปเสีย,
พระเถระเหล่านั้นจักไม่อาจทำสมณธรรมได้, จำเดิมแต่กาลที่พวกโจรจับ
เราออกไป บรรดาพระเถระเหล่านั้น แม้รูปหนึ่งก็มิได้อาจอดกลั้นน้ำตา
ไว้ได้, เมื่อพระเถระเหล่านั้น คิดอยู่ว่า 'สามเณรถูกโจรฆ่าตายแล้ว
หรือยังหนอ' กัมมัฏฐาน จักไม่มุ่งหน้าได้;1 เพราะฉะนั้น เราเยี่ยม
ท่านแล้วนั้นแหละ จึงจักไป."
สามเณรกลับไปเยี่ยมพวกภิกษุ
สามเณรนั้นมีสามเณร 500 รูปเป็นบริวารไปในที่นั้น, เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นกลับได้ความเบาใจเพราะเห็นตนแล้ว กล่าวว่า "สังกิจจะผู้
สัตบุรุษ เธอได้ชีวิตแล้วหรือ ?" จึงตอบว่า "อย่างนั้นขอรับ, โจร
เหล่านี้ใคร่จะฆ่ากระผมให้ตาย ก็ไม่อาจฆ่าได้ เลื่อมใสในคุณธรรมของ
กระผม ฟังธรรมแล้วบวช: กระผมมาด้วยหวังว่า 'เยี่ยมท่านแล้วจัก
1. ถือเอาความว่า ไม่เป็นอันตั้งหน้าทำกัมมัฏฐานได้.
ไป,' ขอท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาททำสมณธรรมเถิด, กระผมจักไปสำนัก
พระศาสดา" แล้วไหว้ภิกษุเหล่านั้น พาสามเณรนอกนี้ไปยังสำนัก
พระอุปัชฌายะ, เมื่อท่านถามว่า "สังกิจจะ เธอได้อันเตวาสิกแล้ว
หรือ ?" จึงตอบว่า "ถูกแล้ว ขอรับ" ดังนี้แล้วก็เล่าเรื่องนั้น, ก็
เมื่อพระเถระกล่าวว่า 'สังกิจจะ เธอจงไป, เฝ้าเยี่ยมพระศาสดา,' เธอ
รับว่า "ดีละ" แล้วไหว้พระเถระพาสามเณรเหล่านั้นไปยิ่งสำนักพระ-
ศาสดา, แม้เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า "สังกิจจะ เธอได้อันเตวาสิก
แล้วหรือ ?" จึงกราบทูลเรื่องนั้น
ผู้มีศีลประเสริฐกว่าผู้ทุศีล
พระศาสดาตรัสถามว่า "ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ ? ภิกษุทั้งหลาย,"
เมื่อพวกภิกษุทูลรับว่า "อย่างนั้น พระเจ้าข้า" จึงตรัสว่า "ความ
ตั้งอยู่ในศีลแล้วเป็นอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ ประเสริฐกว่าการที่ท่านทำ
โจรกรรมตั้งอยู่ในทุศีลเป็นอยู่ตั้ง 100 ปี" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบ
อนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
9. โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุกสฺสีโล อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย สีลวนฺตสฺส ฌายิโน.
"ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็นอยู่ 100 ปี,
ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌาน ประเสริฐ
ว่า (ความเป็นอยู่ของผู้นั้น)."