ทั้งหลาย จุลกาลอุบาสก ได้ชีวิตเพราะอาศัยพวกนางกุมภทาสี และ
ความที่ตนไม่ใช่ผู้ทำ ; ด้วยว่า ธรรมดาสัตว์เหล่านี้ทำบาปกรรมด้วยตน
แล้ว ย่อมเศร้าหมองด้วยตนเอง ในอบายมีนรกเป็นต้น. ส่วนสัตว์
ทั้งหลายทำกุศลแล้ว ไปสู่สุคติและนิพพาน ย่อมชื่อว่าบริสุทธิ์ได้ด้วยตน
เอง " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
9. อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.
" บาปอันผู้ใดทำแล้วด้วยตนเอง ผู้นั้นย่อมเศร้า
หมองด้วยตน ; บาปอันผู้ใดไม่ทำด้วยตน, ผู้นั้นย่อม
บริสุทธิ์ด้วยตนเอง ; ความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ เป็น
ของเฉพาะตน, คนอื่นทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้. "
แก้อรรถ
ความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
อกุศลกรรมเป็นกรรมอันผู้ใดทำแล้วด้วยตน. ผู้นั้นเมื่อเสวยทุกข์
ในอบาย 4 ชื่อว่าเศร้าหมองด้วยตนเอง ; ส่วนบาปอันผู้ใดไม่ได้ทำด้วย
ตน ผู้นั้นเมื่อไปสู่สุคติและนิพพาน ชื่อว่าย่อมบริสุทธิ์ด้วยตนเอง. ความ
บริสุทธิ์กล่าวคือกุศลกรรม และความไม่บริสุทธิ์กล่าวคืออกุศลกรรม เป็น
ของเฉพาะตน คือย่อมเผล็ดผลเฉพาะในตนของสัตว์ผู้ทำทั้งหลาย. บุคคล
อื่นทำบุคคลอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้ คือให้หมดจดไม่ได้เลย ให้เศร้าหมอง
ไม่ได้เลย. "
ในกาลจบเทศนา จุลกาลตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. พระธรรม-
เทศนาได้มีประโยชน์แม้เเก่บริษัทผู้ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องอุบาสกชื่อจุลกาล จบ.
10. เรื่องพระอัตตทัตถเถระ [136]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอัตต-
ทัตถเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน " เป็นต้น.
พระเถระพยายามบำเพ็ญประโยชน์
ความพิสดารว่า เมื่อพระศาสดาตรัสในกาลที่จวนจะปรินิพพานว่า
" ภิกษุทั้งหลาย โดยกาลล่วงไป 4 เดือนแต่วันนี้ เราจักปรินิพพาน. "
ภิกษุประมาณ 700 รูปซึ่งยังเป็นปุถุชน เกิดความสังเวช ไม่ละสำนัก
พระศาสดาเยล เที่ยวปรึกษากันว่า " ท่านผู้มีอายุ พวกเราจะทำอะไร
หนอแล ? "
ส่วนพระอัตตทัตถเถระ คิดว่า " ข่าวว่า พระศาสดา จักปรินิพพาน
โดยกาลล่วงไป 4 เดือน. ก็ตัวเรายังเป็นผู้มีราคะไม่ไปปราศ. เมื่อพระ-
ศาสดายังทรงพระชนม์อยู่นี่แหละ เราจักพยายามเพื่อประโยชน์แก่พระ-
อรหัต. " พระเถระนั้น ย่อมไม่ไปสำนักของภิกษุทั้งหลาย. ลำดับนั้น
ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านว่า " ผู้มีอายุ ทำไม ? ท่านจึงไม่มาสำนักของ
พวกกระผมเสียเลย. ท่านไม่ปรึกษาอะไร ๆ " ดังนี้แล้ว ก็นำไปสู่สำนัก
พระศาสดา กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ภิกษุรูปนี้ ย่อมทำชื่ออย่างนี้. "
พระอัตตทัตถเถระนั้น แม้พระศาสดาตรัสว่า " เหตุไร ? เธอ
จึงทำอย่างนั้น " ก็กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ข่าวว่า พระองค์จัก
ปรินิพพานโดยกาลล่วงไป 4 เดือน. ข้าพระองค์พยายามเพื่อบรรลุพระ-
อรหัต ในเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่นี่แหละ."
ผู้ปฏิบัติธรรมชื่อว่าบูชาพระศาสดา
พระศาสดา ประทานสาธุการแก่พระเถระนั้นแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย ผู้ใดมีความสิเนหาในเรา. ผู้นั้นควรเป็นดุจอัตตทัตถะ ด้วยว่า
ชนทั้งหลายบูชาอยู่ด้วยวัตถุต่าง ๆ มีของหอมเป็นต้น ย่อมไม่ชื่อว่าบูชา
เรา, ส่วนผู้บูชาอยู่ด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมชื่อว่าบูชา
เรา; เพราะฉะนั้น แม้ภิกษุรูปอื่นก็พึงเป็นเช่นอัตตทัตถะ " ดังนี้แล้ว
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
10. อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเย
อตฺตทตฺถมภิญฺญาย สทตฺถปสุโต สิยา.
" บุคคลไม่พึงยังประโยชน์ของตน ให้เสื่อมเสีย
เพราะประโยชน์ของคนอื่นแม้มาก รู้จักประโยชน์
ของตนแล้ว พึงเป็นผู้ขวนขวายในประโยชน์ของตน."
แก้อรรถ
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า.
" บุคคลผู้เป็นคฤหัสถ์ ไม่พึงยังประโยชน์ของตน แม้ประมาณ
กากณิก1หนึ่งให้เสื่อมเสีย เพราะประโยชน์ของคนอื่น แม้ประมาณค่าตั้ง
พันทีเดียว. ด้วยว่าประโยชน์ของตนแห่งบุคคลนั้นแล แม้ประมาณกากณิก
หนึ่ง ก็ยังของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภคให้สำเร็จได้, ประโยชน์ของ
คนอื่น หาให้สำเร็จไม่. ส่วนสองบาทพระคาถาเหล่านี้ พระผู้มีพระภาค
เจ้าไม่ตรัสอย่างนั้น ตรัสด้วยหัวข้อแห่งกัมมัฏฐาน. เพราะฉะนั้น ภิกษุ
1. เป็นชื่อของมาตราเงินอย่างต่ำที่สุด แทบไม่มีค่าเสียเลย แต่ในที่นี้ เป็นคุณบทของคำว่า
ประโยชน์ จึงหมายความว่า ประโยชน์ของตนแม้น้อย จนไม่รู้จะประมาณได้ว่าเท่าไหน ก็ไม่
ควรให้เสียไป.
ตั้งใจว่า ' เราจะไม่ยังประโยชน์ของตนให้เสื่อมเสีย ' ดังนี้แล้ว ก็ไม่พึง
ยังกิจมีการปฏิสังขรณ์พระเจดีย์เป็นต้น อันบังเกิดขึ้นแก่สงฆ์ หรือวัตถุมี
อุปัชฌายวัตรเป็นต้นให้เสื่อมเสีย. ด้วยว่าภิกษุบำเพ็ญอภิสมาจาริกวัตร
ให้สมบูรณ์อยู่แล ย่อมทำให้แจ้งซึ่งผลทั้งหลายมีอริยผลเป็นต้น. เพราะ-
ฉันนั้น การบำเพ็ญวัตรให้บริบูรณ์แม้นี้ จึงชื่อว่าเป็นประโยชน์ของตนแท้.
อนึ่ง ภิกษุใด มีวิปัสสนาอันปรารภยิ่งแล้ว ปรารถนาการแทง
ตลอดว่า 'เราจักแทงตลอดในวันนี้ ๆ แหละ ' ดังนี้แล้ว ประพฤติอยู่.
ภิกษุนั้น แม้ยังวัตรมีอุปัชฌายวัตรเป็นต้นให้เสื่อมแล้ว ก็พึงทำกิจของตน
ให้ได้. ก็ภิกษุรู้จักประโยชน์ของตนเห็นปานนั้น คือกำหนดได้ว่า ่นี้
เป็นประโยชน์ตนของเรา ' พึงเป็นผู้เร่งขวนขวาย ประกอบในประโยชน์
ของตนนั้น. "
ในกาลจบเทศนา พระเถระนั้น ได้ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล เทศนา
ได้เป็นประโยชน์แม้เเก่ภิกษุผู้ประชุมกันทั้งหลาย ดังนี้แล.
เรื่องพระอัตตทัตถเถระ จบ.
อัตตวรรควรรณนา จบ.
วรรคที่ 12 จบ.
คาถาธรรมบท
โลกวรรค1ที่ 13
ว่าด้วยเรื่องโลก
[23] 1. บุคคลไม่พึงเสพธรรมอันเลว ไม่พึงอยู่ร่วม
ด้วยความประมาท ไม่พึงเสพความเห็นผิด ไม่พึง
เป็นคนรกโลก.
2. บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตน
พึงลุกขึ้นยืนรับ บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต
ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และ
โลกหน้า, บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึง
ประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต ผู้มีปกติประพฤติธรรม
ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า.
3. พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณา
เห็นอยู่ซึ่งโลก เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด.
4. ท่านทั้งหลายจงดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ
ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ (แต่) พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่.
5. ผู้ใดประมาทในก่อน ภายหลังไม่ประมาท
ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือนดวงจันทร์พ้น
จากหมอกฉะนั้น.
6. บุคคลใดละบาปกรรมที่ตนทำไว้แล้วได้ด้วย
1. วรรคนี้ มีอรรถกถา 10 เรื่อง.
กุศล บุคคลนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือนดวง
จันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.
7. สัตว์โลกนี้เป็นเหมือนคนบอด ในโลกนี้น้อย
คนนักจะเห็นแจ้ง น้อยคนนักจะไปในสวรรค์ เหมือน
นกหลุดเเล้วจากข่าย (มีน้อย) ฉะนั้น.
8. หงส์ทั้งหลาย ย่อมไปในทางแห่งดวงอาทิตย์
ท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายย่อมไปในอากาศด้วยฤทธิ์ ธีรชน
ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ย่อมออกไปจากโลกได้.
9. บาปอันชนผู้ก้าวล่วงธรรมอย่างเอกเสีย ผู้
มักพูดเท็จ ผู้มีปรโลกอันล่วงเลยเสียแล้ว ไม่พึงทำ
ย่อมไม่มี.
10. พวกคนตระหนี่ จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย
พวกชนพาลแล ย่อมไม่สรรเสริญทาน ส่วนนัก-
ปราชญ์อนุโมทนาทานอยู่ เพราะเหตุนั้นนั่นแล นัก-
ปราชญ์นั้นจึงเป็นผู้มีสุขในโลกหน้า.
11. โสดาปัตติผลประเสริฐกว่าความเป็นเอกราช
ในแผ่นดิน กว่าการไปสู่สวรรค์ และกว่าความเป็น
ใหญ่ในโลกทั้งปวง.
จบโลกวรรคที่ 13
13. โลกวรรควรรณนา
1. เรื่องภิกษุหนุ่ม [137]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุหนุ่ม
รูปใดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " หีนํ ธมฺมํ " เป็นต้น.
ภิกษุทะเลาะกับหลานสาวนางวิสาขา
ได้ยินว่า พระเถระรูปใดรูปหนึ่งพร้อมทั้งภิกษุหนุ่ม ได้ไปสู่เรือน
ของนางวิสาขาแต่เช้าตรู่ ข้าวต้มประจำย่อมเป็นของอันเขาตกแต่งไว้เป็น
นิตย์ เพื่อภิกษุประมาณ 500 รูป ในเรือนของนางวิสาขา. พระเถระ
ฉันข้าวต้มแล้ว ให้ภิกษุหนุ่มนั่งอยู่บนเรือนของนางวิสาขานั้น ส่วนตน
ได้ไปเรือนหลังอื่น. ก็โดยสมัยนั้น ธิดาของบุตรของนางวิสาขาตั้งอยู่ใน
ฐานะของย่า1 ทำการขวนขวายแก่ภิกษุทั้งหลาย. นางกรองน้ำเพื่อภิกษุ
หนุ่มนั้น เห็นเงาหน้าของตนในตุ่ม จึงหัวเราะ. แม้ภิกษุหนุ่มมองดูนาง
ก็หัวเราะ. นางเห็นภิกษุหนุ่มนั้นหัวเราะอยู่ จึงกล่าวว่า " คนหัวขาด
ย่อมหัวเราะ" ลำดับนั้นภิกษุหนุ่มด่านางว่า " เธอก็หัวขาด. ถึงมารดา
บิดาของเธอก็หัวขาด." นางร้องไห้ไปสู่สำนักของย่าในโรงครัวใหญ่.
เมื่อนางวิสาขากล่าวว่า " นี้อะไร ? แม่ " จึงบอกเนื้อความนั้น. นาง-
วิสาขานั้นมาสู่สำนักของภิกษุหนุ่มแล้ว พูดว่า " ท่านเจ้าข้า อย่า
โกรธแล้ว. คำนั้นเป็นคำไม่หนักนักสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีผมและ
1. หมายความว่า ทำแทนนางวิสาขาผู้เป็นย่า