พระศาสดา. ฆรณี เธอจักทำอย่างไร ?
ฆรณี. พระเจ้าข้า หม่อมฉันจักทำแผ่นดินใหญ่ในท้องแห่งจักร-
วาลหนึ่งให้เป็นน้ำแล้วดำลงเหมือนนางนกเป็ดน้ำ แสดงตนที่ขอบปาก
แห่งจักรวาลด้านปาจีนทิศ. ที่ขอบปากแห่งจักรวาลด้านปัศจิมทิศ อุตรทิศ
และทักษิณทิศก็เช่นนั้น, ตรงกลางก็เช่นนั้น; เมื่อเป็นเช่นนั้น มหาชน
เห็นหม่อมฉันแล้ว. เมื่อใคร ๆ พูดขึ้นว่า ' นั่นใคร ' ก็จะบอกว่า ' นั่น
ชื่อนางฆรณี. อานุภาพของหญิงคนหนึ่งยังเพียงนี้ก่อน. ส่วนอานุภาพ
ของพระพุทธเจ้า จักเป็นเช่นไร ? ' พวกเดียรถีย์ไม่ทันเห็นพระองค์เลย
ก็จักหนี ไปด้วยอาการอย่างนี้.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า " ฆรณี เราย่อมทราบความ
ที่เธอเป็นผู้สามารถทำปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ได้. แต่พวงดอกไม้นี้เขามิได้
ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่เธอ " แล้วทรงห้ามเสีย.
นางฆรณีนั้นคิดว่า " พระศาสดาไม่ทรงอนุญาตแก่เรา. คนอื่น
ผู้สามารถทำปาฏิหาริย์ยิ่งขึ้นไปกว่าเราจะมีแน่แท้ " ดังนี้ แล้วได้ยืนอยู่
ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
ฝ่ายพระศาสดาทรงดำริว่า " คุณของสาวกเหล่านั้นจักปรากฏด้วย
อาการอย่างนี้แหละ " ทรงสำคัญอยู่ว่า " พวกสาวกจะบันลือสีหนาท
ณ ท่ามกลางบริษัทมีประมาณ 36 โยชน์ ด้วยอาการอย่างนี้ " จึงตรัส
ถามสาวกแม้พวกอื่นอีกว่า " พวกเธอจักทำปาฏิหาริย์อย่างไร ? สาวก
เหล่านั้นก็กราบทูลว่า " พวกข้าพระองค์จักทำอย่างนี้และอย่างนี้ พระ-
เจ้าข้า " แล้วยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดานั่นแหละ บันลือ
สีหนาท.
บรรดาสาวกเหล่านั้น ได้ยินว่า ท่านจุลอนาถบิณฑิกะ คิดว่า
" เมื่ออนาคามีอุบาสกผู้เป็นบุตรเช่นเรามีอยู่. กิจที่พระศาสดาต้องลำบาก
ย่อมไม่มี " จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จัก ทำปาฏิหาริย์
ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า " เธอจักทำอย่างไร ? " จึงกราบทูลว่า " พระ-
เจ้าข้า ข้าพระองค์จักนิรมิตอัตภาพเหมือนพรหมมีประมาณ 12 โยชน์
จักปรบดุจดังพรหมด้วยเสียงเช่นกับมหาเมฆกระหึ่มในท่ามกลางบริษัทนี้,
มหาชนจักถามว่า 'นี่ชื่อว่าเสียงอะไรกัน ? ' แล้วจักกล่าวกันเองว่า
' นัยว่า นี่ชื่อว่าเป็นเสียงแห่งการปรบดังพรหมของท่านจุลอนาถบิณฑิกะ.'
พวกเดียรถีย์จักคิดว่า " อานุภาพของคฤหบดียังถึงเพียงนี้ก่อน. อานุภาพ
ของพระพุทธเจ้าจะเป็นเช่นไร ? ยังไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนีไป."
พระศาสดาตรัสเช่นนั้นเหมือนกัน แม้เเก่ท่านจุลอนาถบิณฑิกะนั้นว่า
" เราทราบอานุภาพของเธอ " แล้วไม่ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์.
ต่อมา สามเณรีชื่อว่า วีรา มีอายุได้ 7 ขวบ บรรลุปฏิสัมภิทารูป
หนึ่ง ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า หม่อมฉันจักทำ
ปาฏิหาริย์. "
พระศาสดา. วีรา เธอจักทำอย่างไร.
วีรา. พระเจ้าข้า หม่อมฉันจักนำภูเขาสิเนรุ ภูเขาจักรวาล และ
ภูเขาหิมพานต์ตั้งเรียงไว้ในที่นี้ แล้วจักออกจากภูเขานั้น ๆ ไปไม่ขัดข้อง
ดุจนางหงส์. มหาชนเห็นหม่อมฉันแล้วจักถามว่า ' นั่นใคร? ' แล้วจัก
กล่าวว่า ' วีราสามเณรี. พวกเดียรถีย์คิดกันว่า อานุภาพของสามเณรี
ผู้มีอายุ 7 ขวบ ยังถึงเพียงนี้ก่อน, อานุภาพของพระพุทธเจ้าจักเป็น
เช่นไร ? ยังไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนีไป. เบื้องหน้าแต่นี้ไป พึง
ทราบคำเห็นปานนี้ โดยทำนองดังที่กล่าวแล้วนั่นแล. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแม้เเก่สามเณรีนั้นว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ " ดังนี้แล้ว ก็ไม่
ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์."
ลำดับนั้น สามเณรชื่อจุนทะผู้เป็นขีณาสพ บรรลุปฏิสัมภิทารูปหนึ่ง
มีอายุ 7 ขวบแต่เกิดมา เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูล
ว่า " ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า. " ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า
" เธอจักทำอย่างไร ? " จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักจับ
ต้นหว้าใหญ่ที่เป็นธงแห่งชมพูทวีปที่ลำต้นแล้วเขย่า นำผลหว้าใหญ่มาให้
บริษัทนี้เคี้ยวกิน. และข้าพระองค์จักนำดอกแคฝอยมาแล้ว ถวายบังคม
พระองค์. พระศาสดาตรัสว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ " ดังนี้แล้ว
ก็ทรงห้ามการทำปาฏิหาริย์ แม้ของสามเณรนั้น.
ลำดับนั้น พระเถรีชื่ออุบลวรรณา ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
กราบทูลว่า " หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า " ถูกพระศาสดา
ตรัสถามว่า " เธอจักทำอย่างไร ? " จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า หม่อมฉัน
จักแสดงบริษัทมีประมาณ 32 โยชน์โดยรอบ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อัน
บริษัทมีประมาณ 36 โยชน์โดยกลมแวดล้อมแล้วมาถวายบังคมพระองค์."
พระศาสดาตรัสว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ " แล้วก็ทรงห้ามการทำ
ปาฏิหาริย์ แม้ของพระเถรีนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค-
เจ้าแล้วกราบทูลว่า " ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า " ถูก
พระศาสดาตรัสถามว่า " เธอจักทำอะไร ? " จึงกราบทูลว่า " ข้าพระองค์
จักวางเขาหลวงชื่อสิเนรุไว้ในระหว่างฟันแล้ว เคี้ยวกินภูเขานั้นดุจพืช
เมล็ดผักกาด พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักม้วนแผ่นดินใหญ่นี้ดุจเสื่อลำแพน
แล้วใส่เข้าไว้(หนีบไว้) ในระหว่างนิ้วมือ.
พระศาสดา เธอจักทำอะไร. อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักหมุนแผ่นดินใหญ่ ให้เป็นเหมือน
แป้นหมุนภาชนะดินของช่างหม้อ แล้วให้มหาชนเคี้ยวกินโอชะแผ่นดิน.
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักทำแผ่นดินไว้ในมือเบื้องซ้ายแล้ว
วางสัตว์เหล่านั้นไว้ในทวีปอื่นด้วยมือเบื้องขวา.
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักทำเขาสิเนรุให้เป็นด้ามร่ม ยก
แผ่นดินใหญ่ขึ้นวางไว้ข้างบนของภูเขาสิเนรุนั้น เอามือข้างหนึ่งถือไว้
คล้ายภิกษุมีร่มในมือ จงกรมไปในอากาศ.
พระศาสดาตรัสว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ " ดังนี้แล้วก็ไม่
ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์ แม้ของพระเถระนั้น. พระเถระนั้นคิดว่า
" ชะรอยพระศาสดาจะทรงทราบผู้สามารถทำปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าเรา " จึงได้
ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระเถระนั้นว่า " โมคคัลลานะ พวง
ดอกไม้นี้เขามิได้ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่เธอ, ด้วยว่า เราเป็นผู้มีธุระที่หา
ผู้เสมอมิได้. ผู้อื่นที่ชื่อว่าสามารถนำธุระของเราไปได้ไม่มี; การที่ผู้สามารถ
นำธุระของเราไปได้ไม่พึงมีในบัดนี้ไม่เป็นของอัศจรรย์, แม้ในกาลที่เรา
เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานที่เป็นอเหตุกกำเนิด ผู้อื่นที่สามารถนำธุระของ
เราไป ก็มิได้มีแล้วเหมือนกัน " อันพระเถระทูลถามว่า " ในกาลไรเล่า ?
พระเจ้าข้า " จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสกัณหอุสภชาดก1นี้ให้พิสดารว่า :-
" ธุระหนักมีอยู่ในกาลใด ๆ, ทางไปในที่ลุ่มลึก
มีอยู่ในกาลใด ในกาลนั้นแหละ พวกเจ้าของย่อม
เทียมโคชื่อกัณหะ; โคชื่อกัณหะนั้นแหละ ย่อมนำ
ธุระนั้นไป. "
เมื่อจะทรงแสดงเรื่องนั้นนั่นแหละให้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก จึงตรัส
นันทวิสาลชาดก2นี้ให้พิสดารว่า :-
" บุคคลพึงกล่าวคำเป็นที่พอใจเท่านั้น, ไม่พึง
กล่าวคำไม่เป็นที่พอใจในกาลไหน ๆ; (เพราะ) เมื่อ
พราหมณ์กล่าวคำเป็นที่พอใจอยู่, โคนันทวิสาลเข็น
ภาระอันหนักไปได้; ยังพราหมณ์นั้นให้ได้ทรัพย์,
และพราหมณ์นั้นได้เป็นผู้มีใจเบิกบาน เพราะการได้
ทรัพย์นั้น."
ก็แล พระศาสดาครั้นตรัสแล้ว จึงเสด็จขึ้นสู่จงกรมแก้วนั้น. ข้าง
หน้าได้มีบริษัทประมาณ 12 โยชน์. ข้างหลัง ข้างซ้าย และข้างขวา
ก็เหมือนอย่างนั้น, ส่วนโดยตรง มีประมาณ 24 โยชน์ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ในท่ามกลางบริษัท. ยมกปาฏิหาริย์นั้น
บัณฑิตพึงทราบตามพระบาลีอย่างนี้ก่อน.
1. ขุ. ชา. 27/10. อรรถกถา. 1/289. 2. ขุ. ชา. 27/10. อรรถกถา. 1/293.
ลักษณะของยมกปาฏิหาริย์
"1 ญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคตเป็นไฉน ? ในญาณนี้
พระตถาคตทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ไม่ทั่วไปด้วยพวกสาวก; ท่อไฟพลุ่ง
ออกแต่พระกายเบื้องบน, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องล่าง; ท่อไฟ
พลุ่งออกแต่พระกายเบื้องล่าง, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องบน; ท่อ
ไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหน้า, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องหลัง;
ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหลัง, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้อง
หน้า; ท่อไฟพลุ่งออกเเต่พระเนตรเบื้องขวา, สายน้ำไหลออกแต่พระเนตร
เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระเนตรเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่
พระเนตรเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา, สายน้ำ
ไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณ
เบื้องซ้าย; สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา, ท่อไฟพลุ่งออก
แต่ช่องพระนาสิกเบื้องขวา; สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย;
ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระ-
นาสิกเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวา, สายน้ำไหล
ออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้อง
ซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่
พระหัตถ์เบื้องขวา, สายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่ง
ออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องขวา; ท่อไฟ
พลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องขวา; สายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้าย;
1. ขุ. ปฏิ. 30/183.
ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้อง
ขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องขวา, สายน้ำไหลออกเเต่พระบาท
เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่
พระบาทเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระองคุลี, สายน้ำไหลออกแต่
ช่องพระองคุลี; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระองคุลี, สายน้ำไหลออกจาก
พระองคุลี; ท่อไฟพลุ่งออกแค่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ. สายน้ำไหลออก
แต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ๆ, ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ๆ,
สายน้ำไหลออกแต่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ. รัศมีทั้งหลาย ย่อมเป็นไป
ด้วยสามารถแห่งสี 6 อย่าง คือ เขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท ปภัสสร;
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรม. พระพุทธนิรมิตย่อมยืนหรือนั่งหรือสำเร็จ
การนอน; (พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืน พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม นั่ง
หรือสำเร็จการนอน, พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง พระพุทธนิรมิตย่อม
จงกรม ยืนหรือสำเร็จการนอน; พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จสีหไสยา
พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม ยืนหรือนั่ง; พระพุทธนิรนิตจงกรม. พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ย่อมทรงยืน ประทับนั่ง หรือสำเร็จสีหไสยา; พระพุทธ-
นิรมิตทรงยืน. พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงจงกรม ประทับนั่งหรือทรง
สำเร็จสีหไสยา;). พระพุทธนิรมิตประทับนั่ง, พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรง
จงกรม ประทับยืน หรือสำเร็จสีหไสยา พระพุทธนิรมิตสำเร็จสีหไสยา.
พระผู้มีพระภาคย่อมทรงจงกรม ประทับยืน หรือประทับนั่ง. นี้เป็น
ญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคต. "
ก็พระศาสดาเสด็จจงกรมบนที่จงกรมนั้น ได้ทรงทำปาฏิหาริย์นี้
แล้ว. เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น " ท่อไฟย่อมพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องบน
ด้วยอำนาจเตโชกสิณสมาบัติของพระศาสดานั้น. สายน้ำไหลออกแต่พระ-
กายเบื้องล่าง ด้วยอำนาจอาโปกสิณสมาบัติ; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ที่ ๆ สาย
น้ำไหลออกแล้วอีก, และสายน้ำก็ไหลออกแต่ที่ ๆ ท่อไฟพลุ่งออก
พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า " เหฏฺฐิมกายโต อุปริมกายโต. " นัยในบท
ทั้งปวงก็เช่นนี้. ก็ในยมกปาฏิหาริย์นี้ ท่อไฟมิได้เจือปนกับสายน้ำเลย,
อนึ่ง สายน้ำก็มิได้เจือด้วยท่อไฟ, ก็นัยว่าท่อไฟและสายน้ำทั้งสองนี้ พลุ่ง
ขึ้นไปตลอดถึงพรหมโลก แล้วก็ลุกลามไปที่ขอบปากจักรวาล. ก็เพราะ
เหตุที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า " ฉนฺน วณฺณานํ " พระรัศมีพรรณะ
6 ประการของพระศาสดานั้น พลุ่งขึ้นไปจากห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง ดุจ
ทองคำละลายคว้าง ซึ่งกำลังไหลออกจากเบ้า และดุจสายน้ำแห่งทองคำ
ที่ไหลออกจากทะนานยนต์ จดพรหมโลกแล้วสะท้อนกลับมาจดขอบปาก
จักรวาลตามเดิม. ห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง ได้เป็นดุจเรือนต้นโพธิที่ตรึง
ไว้ด้วยซี่กลอนอันคด มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน.
ในวันนั้น พระศาสดาเสด็จจงกรมทรงทำ (ยมก) ปาฏิหาริย์แสดง
ธรรมกถาแก่มหาชนในระหว่าง ๆ, และเมื่อทรงแสดงไม่ทรงทำให้มหาชน
ให้หนักใจ ประทานให้เบาใจยิ่ง. ในขณะนั้น มหาชนยังสาธุการให้เป็น
ไปแล้ว. ในเวลาที่สาธุการของมหาชนนั้นเป็นไป พระศาสดาทรงตรวจดู
จิตของบริษัทซึ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ได้ทรงทราบวาระจิตของคนหนึ่ง ๆ ด้วย
1. นิรสฺสาสํ ให้มีความโล่งใจออกแล้ว.
อำนาจอาการ 16 อย่าง. จิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นไปเร็วอย่างนี้,
บุคคลใด ๆ เลื่อมใสในธรรมใด และในปาฏิหาริย์ใด. พระศาสดาทรง
แสดงธรรม และได้ทรงทำปาฏิหาริย์ด้วยอำนาจอัธยาศัยแห่งบุคคลนั้น ๆ.
เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรม และทรงทำปาฏิหาริย์ด้วยอาการอย่างนี้
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่มหาชนแล้ว. ก็พระศาสดาทรงกำหนดจิตของพระองค์
ไม่ทรงเห็นคนอื่นผู้สามารถจะถามปัญหาในสมาคมนั้น จึงทรงนิรมิตพระ-
พุทธนิรมิต. พระศาสดาทรงเฉลยปัญหาที่พระพุทธนิรมิตนั้นถามแล้ว.
พระพุทธนิรมิตนั้นก็เฉลยปัญหาที่พระศาสดาตรัสถามแล้ว. ในเวลาที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรม พระพุทธนิรมิตสำเร็จอิริยาบถมีการยืน
เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. ในเวลาที่พระพุทธนิรมิตจงกรม พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงสำเร็จพระอิริยาบถ มีการประทับยืนเป็นต้นอย่างใดอย่าง
หนึ่ง. เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า " พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรมบ้าง " เป็นต้น .
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ 20 โกฏิในสมาคมนั้น เพราะเห็น
ปาฏิหาริย์ของพระศาสดา ผู้ทรงทำอยู่อย่างนั้น และเพราะได้ฟังธรรมกถา.
พระศาสดาเสด็จจำพรรษาชั้นดาวดึงส์
พระศาสดากำลังทรงทำปาฏิหาริย์อยู่นั่นแล ทรงรำพึงว่า " พระ-
พุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย ทำปาฏิหาริย์นี้แล้ว จำพรรษาที่ไหนหนอแล ? "
ทรงเห็นว่า " จำพรรษาในภพดาวดึงส์ แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎก
แก่พระพุทธมารดา " ดังนี้แล้ว ทรงยกพระบาทขวาเหยียบเหนือยอด
ภูเขายุคันธร ทรงยกพระบาทอีกข้างหนึ่งเหยียบเหนือยอดเขาสิเนรุ วาระที่
ย่างพระบาท 3 ก้าว ได้มีแล้วในที่ 68 แสนโยชน์อย่างนี้. ช่องพระบาท