เมนู

บทภาชนีย์


[344] การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี การสมมติ
ภิกษุ กำหนดสกุล ไม่กำหนดอาบัติก็มี การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติและ
กำหนดสกุลก็มี การสมมติภิกษุ ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี
ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติ คือ สงฆ์กำหนดอาบัติว่า พึงบอกตามจำ-
นวนอาบัติเท่านี้
ที่ชื่อว่า กำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดสกุลว่า พึงบอกในสกุล
มีจำนวนเท่านี้
ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติและกำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดอาบัติ
และกำหนดสกุลไว้ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ในสกุลมีจำนวนเท่านี้
ที่ชื่อว่า ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล คือ สงฆ์ไม่ได้กำ-
หนดอาบัติ และไม่ได้กำหนดสกุลไว้ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ใน
สกุลมีจำนวนเท่านี้.
[345] ในการกำหนดอาบัติภิกษุบอกอาบัติอื่นนอกจากอาบัติที่สงฆ์
กำหนดไว้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในการกำหนดสกุล ภิกษุบอกในสกุลอื่นนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดไว้
ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในการกำหนดอาบัติและกำหนดสกุล ภิกษุบอกอาบัตินอกจากอาบัติที่
สงฆ์กำหนดให้ ในสกุลนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในการไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล บอก ไม่ต้องอาบัติ

ติกปาจิตตีย์


[346] อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุป-
สัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้
รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่อาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุปสัมบัน
เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

ทุกกฏ


[347] ภิกษุบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุบอกอัชฌาจารที่ชั่วหยาบก็ตาม ไม่ชั่วหยาบก็ตาม แก่อนุปสัมบัน
ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติชั่วหยาบ . . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.

อนาปัตติวาร


[348] ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ 1 ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอก
วัตถุ 1 ภิกษุได้รับสมมติ 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้อง
อาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ 9 จบ

มุสาวาทวรรค ทุฏฐุลลาโรจนสิขาบทที่ 9


พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 9 ดังต่อไปนี้

[แก้อรรถ เรื่องอาบัติชั่วหยาบ]


ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิก
ไว้ในพระบาลีนี้ว่า อาบัติที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ปาราชิก 4 และสังฆาทิเสส
13 ดังนี้ เพื่อแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์, แต่สังฆาทิเสส ทรงประสงค์เอา
ในสิกขาบทนี้. ในบาลีนั้น มีการวิจารณ์ดังต่อไปนี้ ถ้าว่า เมื่อภิกษุบอก
ปาราชิก ไม่พึงเป็นปาจิตตีย์ไซร้. แม้เมื่อมีศัพท์ว่าอุปสัมบัน สำหรับภิกษุ
และภิกษุณี ในสิกขาบทใด ท่านไม่ประสงค์เอานางภิกษุณี, ในสิกขาบทนั้น
เว้นภิกษุเสีย ที่เหลือนอกนี้ ท่านเรียกว่า อนุปสัมบัน ฉันใด, ในสิกขาบทนี้
ก็ฉันนั้น แม้เมื่อมีศัพท์ว่าทุฏฐุลละ สำหรับปาราชิกและสังฆาทิเสส ถ้าไม่
ทรงประสงค์เอาปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงตรัสคำนี้เท่านั้นว่า อาบัติ
ที่ชื่อว่าชั่วหยาบ ได้แก่สังฆาทิเสส 13.
ในคำว่า ทุฏฐุลฺลา นาม อาปตฺติ เป็นต้นนั้น พึงมีมติของบาง
อาจารย์ว่า ภิกษุใด ต้องปาราชิกแล้ว ภิกษุนั้น เคลื่อนแล้วจากภิกษุภาวะ
เพราะเหตุนั้น ภิกษุ เมื่อบอกอาบัติของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ. เมื่อมี
อธิบายอย่างนี้ แม้ภิกษุผู้ด่าก็พึงต้องอาบัติทุกกฏ และต้องปาจิตตีย์เท่านั้น .
สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ (ในปาราชิก) ว่า บุคคลเป็นผู้ไม่
บริสุทธิ์ ต้องธรรมคือปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ่ง, ถ้าบุคคลเป็นผู้มีความเข้าใจ
ว่าบริสุทธิ์ ให้บุคคลผู้นั้นกระทำโอกาส แล้วพูดมีความประสงค์จะด่า ต้อง
โอมสวาท. เมื่อบาลีถูกวิจารณ์อย่างนี้ ปาจิตตีย์นั่นแหละ ย่อมปรากฏแม้แก่

ผู้บอกอาบัติปาราชิก. จะปรากฎ แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระอรรถกถาจารย์
เท่านั้นเป็นหลักได้ ในคำว่า ทุฏฐุลฺลา นาม อาปตฺติ นี้ เพราะ (คำว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ เพื่อทรงแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์ แต่
สังฆาทิเสสทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้) พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้แล้วใน
อรรถกถาทั้งปวง. การวิจารณ์แม้อย่างอื่น หามีไม่.
แม้ในเบื้องต้น ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวไว้แล้วว่า
ธรรมและวินัยใด อันพระพุทธเจ้า
ตรัสแล้ว ธรรมและวินัยนั้น อันโอรส
ทั้งหลายของพระพุทธเจ้านั้นรู้แล้วอย่างนั้น
นั่นเทียว ดังนี้เป็นต้น.

จริงอยู่ พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย ย่อมทราบพระประสงค์ของ
พระพุทธเจ้า. ก็คำของพระอรรถกถาจารย์นั่น บัณฑิตพึงทราบโดยบรรยาย
แม้นี้ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า เว้นไว้แต่ภิกษุผู้ใด้รับสมมติ. ก็การบอกแก่
ภิกษุผู้ได้รับสมมติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเพื่อประโยชน์ในอันสำรวม
ต่อไป คือ เพื่อประโยชน์จะไม่ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก, และไม่ใช่เพื่อต้องการ
จะประกาศเพียงโทษของภิกษุนั้น, ทั้งไม่ใช่เพื่อต้องการเกียดกันที่พึ่งของภิกษุ
นั้นในพระศาสนา, และความเป็นภิกษุของผู้ต้องปาราชิกโดยไม่ต้องอาบัติเห็น
ปานนั้นอีก หามีไม่ เพราะเหตุนั้น คำที่พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ใน
อรรถกถาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ เพื่อแสดงอรรถแห่ง
ทุฎฐุลลศัพท์ แต่สังฆาทิเสส ทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้ ดังนี้ เป็นอัน
ท่านกล่าวชอบแล้ว.
ก็ในคำว่า อตฺถิ ภิกฺขุสมฺมติ อาปตฺติปริยนฺตา เป็นต้น มี
วินิจฉัยดังนี้ ภิกษุสมมติ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไ่ว้นี้ไม่ได้มาในบาง

สิกขาบท, แต่เพราะภิกษุสมมติตรัสไว้ในสิกขาบทนี้นั่นแล จึงควรทราบว่า
สงฆ์เห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติเนือง ๆ แล้วอปโลกน์ 3 ครั้ง ทำด้วยความเป็นผู้
แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแก่ภิกษุนั้นว่า ภิกษุนี้จักถึงความสังวรต่อไป แม้ด้วย
ความละอายและความเกรงกลัวในคนเหล่าอื่นอย่างนี้.
คำว่า อทุฏฺฐุลฺลํ อาปตฺตึ อาโรเจติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส
มีความว่า เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้บอกกองอาบัติแม้ทั้ง 5. ในมหาปัจจรีท่าน
ปรับอาบัติทุกกฏอย่างเดียว แม้แก่ภิกษุผู้บอกอาบัติปาราชิก.
ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนสฺส ทุฏฺฐุลฺลํ วา อทุฏฺฐุลฺลํ วา
อชฺณาจารํ
นี้ ท่านกล่าวรูปความไว้ว่า สิกขาบท 5 ข้างต้น ชื่อว่า อัชฌาจาร
ชั่วหยาบ ที่เหลือชื่อว่าอัชฌาจารไม่ชั่วหยาบ, ก็สุกกวิสัฏฐิกายสังสัคคะ
ทุฎฐุลลวาจา และอัตตกามะ ชื่อว่าเป็นอัชฌาจาร ของภิกษุนั้น .
สองบทว่า วตฺถุํ อาโรเจติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้บอก
อย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ ต้องสุกกวิสัฎฐิ ต้องกายสังสัคคะ ต้องทุฏฐุลละ ต้อง
อัตตกามะ.
สองบทว่า อาปตฺตึ อาโรเจติ มีความว่า ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุนี้
ต้องปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส ต้องถุลลัจจัย ต้องปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ
ทุกกฏ ทุพภาสิต ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติ. เมื่อภิกษุบอกเชื่อมต่ออาบัติกับวัตถุ
โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุนี้ ปล่อยอสุจิ ต้องสังฆาทิเสส ดังนี้เท่านั้น จึงเป็น
อาบัติ. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน 3 เกิดขึ้นทางกายกับจิต 1 ทางวาจากับจิต 1
ทางกายวาจากับจิต 1 เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม
วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
ทุฏฐุลลาโรจนสิกขาบทที่ 9 จบ

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ 10


เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี


[349] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬว-
เจดีย์ เขตรัฐอาฬวี ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีช่วยกันท่านวกรรม ขุดเอง
บ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่ง
ปฐพี พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่ง
ซึ่งมีชีวะ ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดา
ที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา
ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุชาวรัฐอาฬวีจึงได้ขุดเองบ้าง
ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า. . .แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงสอบถาม


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอ
ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี จริงหรือ.
ภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า เพราะคนทั้งหลายสำคัญ
ในปฐพีว่ามีชีวะ การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ
ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้

พระบัญญัติ


59. 10. อนึ่ง ภิกษุใด ขุดก็ดี ให้ขุดก็ดี ซึ่งปฐพี เป็น
ปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี จบ

สิกขาบทวิภังค์


[350] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
ที่ชื่อว่า ปฐพี ได้แก่ปฐพี 2 อย่าง คือ ปฐพีแท้อย่างหนึ่ง ปฐพี
ไม่แท้อย่างหนึ่ง.
ที่ชื่อว่า ปฐพีแท้ คือ มีดินร่วนล้วน มีดินเหนียวล้วน มีหินน้อย
มีกรวดน้อย มีกระเบื้องน้อย มีแร่น้อย มีทรายน้อย มีดินร่วนมาก มีดิน
เหนียวมาก แม้ดินที่ยังไม่ได้เผาไฟก็เรียกว่า ปฐพีแท้.
กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี ที่ฝนตกรดเกิน 4 เดือนมาแล้ว
แม้นี้ก็เรียกว่า ปฐพีแท้.
ที่ชื่อว่า ปฐพีไม่แท้ คือ เป็นหินล้วน เป็นกรวดล้วน เป็น
กระเบื้องล้วน เป็นแร่ล้วน เป็นทรายล้วน มีดินร่วนน้อย มีดินเหนียวน้อย
มีหินมาก มีกรวด มีกระเบื้อง มีแร่ มีทรายมาก แม้ดินที่เผาไฟแล้ว ก็
เรียกว่า ปฐพีไม่แท้.
กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี ที่ฝนตกรดยังหย่อนกว่า 4 เดือน
แม้นี้ก็เรียกว่า ปฐพีไม่แท้.

[351] บทว่า ขุด คือ ขุดเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า ให้ขุด คือ ใช้ให้คนอื่นขุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
สั่งครั้งเดียว เขาขุดแม้หลายครั้ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

บทภาชนีย์


[352] ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า ปฐพี ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลาย
เองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
ปฐพี ภิกษุสงสัย ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลายเองก็ดี ใช้ให้
เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า มิใช่ปฐพี ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลาย
เองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ไม่ต้องอาบัติ.
มิใช่ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า ปฐพี . . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
มิใช่ปฐพี ภิกษุสงสัย ...ต้องอาบัติทุกกฏ.

ไม่ต้องอาบัติ


มิใช่ปฐพี ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ปฐพี. . .ไม่ต้องอาบัติ.

อานาปัตติวาร


[353] ภิกษุกล่าวว่า ท่านจงรู้ดินนี้ ท่านจงให้ดินนี้ ท่านจงนำ
ดินนี้มา เรามีความต้องการด้วยดินนี้ ท่านจงทำดินนี้ให้เป็นกัปปิยะ ดังนี้ 1
ภิกษุไม่แกล้ง 1 ภิกษุไม่มีสติ 1 ภิกษุไม่รู้ 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุ-
อาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ 10 จบ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ 1 จบ

หัวข้อประจำเรื่อง


1. มุสาวาทสิกขาบท ว่าด้วยพูดเท็จ
2. โอมสวาทสิกขาบท ว่าด้วยพูดเสียดสี
3. เปสุญญสิกขาบท ว่าด้วยพูดส่อเสียด
4. ปทโสธัมมสิกขาบท ว่าด้วยสอนธรรมว่าพร้อมกัน
5. ปฐมสหเสยยสิกขาบท ว่าด้วยนอนร่วมกับอนุปสัมบัน
6. ทุติยสหเสยยสิกขาบท ว่าด้วยนอนร่วมกับมาตุคาม
7. ธัมมเทสนาสิกขาบท ว่าด้วยแสดงธรรม
8. ภูตาโรจนสิกขาบท ว่าด้วยบอกอุตริมนุสธรรม
9. ทุฏฐุลลาโรจนสิกขาบท ว่าด้วยบอกอาบัติชั่วหยาบ
10. ปฐวีขนนสิกขาบท ว่าด้วยขุดดิน.

มุสาวาทวรรค ปฐวีขนนสิกขาบทที่ 10


พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 10 ดังต่อไปนี้

[แก้อรรถ เรื่องปฐพีแท้ไม่แท้]


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปฐพีแท้ และปฐพีไม่แท้ ด้วยบทเหล่านี้
ว่า ชาตา จ ปฐวี อชาตา จ ปฐวี ดังนี้.
ในบททั้งหลายมีบทว่ามีหินน้อยเป็นต้น ผู้ศึกษาพึงเห็นใจความอย่าง
นี้ว่า ที่ปฐพีแท้นี้มีหินน้อย ฉะนั้น จึงชื่อว่า อัปปปาสาณะ. ในบทว่า
มีหินน้อย เป็นต้นนั้น พึงทราบว่า มีหินเกินกว่าขนาดกำมือหนึ่ง. กรวด
ก็พึงทราบว่า มีขนาดกำมือหนึ่ง. เศษกระเบื้องชื่อ กถลา. ก้อนกรวดที่
ปรากฏ (หินกรวดคล้ายวลัย) ชื่อ มรุมพา. ทรายนั่นแหละ ชื่อว่า วาลุกา.
สองบทว่า เยภุยฺเยน ปํสุ มีความว่า ใน 3 ส่วน 2 ส่วน เป็น
ดินร่วนเสีย, ส่วนหนึ่ง เป็นหินเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า อทฑฺฒาปี มีความว่า ยังไม่ได้เผาไฟ โดยประการใด
ประการหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งเตาไฟ ที่ระบมบาตร และเตาช่างหม้อเป็นต้น
ก็ปฐพีที่ยังไม่ได้เผาไฟนั้น ไม่มีต่างหาก, พึงทราบว่าเป็นปฐพีชนิดใดชนิดหนึ่ง
มีดินซุยล้วนเป็นต้น .
สองบทว่า เยภุยฺเยน สกฺขรา ได้แก่ มีก้อนกรวดมากกว่า. ได้ยินว่า
ในหัตถิกุจฉิประเทศ พวกภิกษุให้ขนดินมาเต็มกระบุงหนึ่ง แล้วล้างในลำราง
รู้ว่าเป็นปฐพีมีกรวดโดยมาก จึงขุดสระโบกชรณีเสียเอง.

ก็สองบทว่า อปฺปปํสุ อปฺปมตฺติกา ซึ่งมีอยู่ตรงกลาง ผนวกเข้า
หมวด 5 มีหินโดยมากเป็นต้นนั่นแล. แท้จริง คำนี้ เป็นคำแสดงชนิดแห่ง
ปฐพีทั้ง 2 นั้น นั่นแล.
ในคำว่า สยํ ขนติ อาปตฺต ปาจิตฺติยสฺส นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า
เป็นปาจิตตีย์ทุก ๆ ครั้งที่ขุด.
คำว่า สกึ อาณตฺโต พทุกํปิ ขนติ มีความว่า ถ้าแม้นว่า ผู้รับ
สั่งขุดตลอดทั้งวัน ก็เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียวเท่านั้นแก่ผู้สั่ง. แต่ถ้าผู้รับสั่งเป็นคน
เกียจคร้าน ผู้สั่งต้องสั่งบ่อย ๆ เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้สั่งให้เขาขุดทุก ๆ คำ.
พรรณนาบาลีเท่านี้ก่อน.

[บาลีมุตตกวินิจฉัยว่าด้วยการขุดดินเป็นต้น]


ส่วนวินิจฉัยนอกพระบาลี ดังต่อไปนี้ ภิกษุกล่าวว่า เธอจงขุด
สระโบกขรณี ดังนี้ ควรอยู่. เพราะว่า สระที่ขุดแล้วเท่านั้น จึงชื่อว่า เป็น
สระโบกขรณี ฉะนั้น โวหารนี้ เป็นกัปปิยโวหาร. แม้ในคำเป็นต้นว่า
จงขุด บึง บ่อ หลุม ดังนี้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แต่จะกล่าวว่า จงขุด
โอกาสนี้ จงขุดสระโบกขรณี ในโอกาสนี้ ดังนี้ ไม่ควร. จะกล่าวไม่กำหนด
แน่นอนลงไปว่า จงขุดเหง้า จงขุดราก ดังนี้ ควรอยู่ จะกล่าวว่า จงขุด
เถาวัลย์นี้ จงขุดเหง้า หรือรากในโอกาสนี้ ดังนี้ ไม่สมควร. เมื่อชำระ
สระโบกขรณี อาจจะเอาหม้อวิดเปือกตมเหลว ๆ ใดออกได้, จะนำเปือกตม
นั้นออก ควรอยู่. จะนำเปือกตมที่ข้นออก ไม่ควร. เปือกตมแห้งเพราะ
แสงแดด แตกระแหง ในเปือกตมแห้งนั้น ส่วนใดไม่เนื่องกับแผ่นดินใน