เมนู

ลำบากอยู่เหลือเกิน ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ไม่สามารถจะยังคุณวิเศษให้บังเกิด
ได้. ภิกษุเหล่านั้นออกพรรษาแล้ว ไปสู่สำนักของพระศาสดา มีปฏิสันถาร
อันพระศาสดาทรงทำแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้
ไม่ประมาท ทำสมณธรรมหรือ ? จึงกราบทูลความนั้น.

เรื่องไก่ขันไม่เป็นเวลา


พระศาสดา ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ได้ทำอันตรายแก่พวก
เธอไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น. แม้ในกาลก่อน ภิกษุนั้นก็ได้ทำอันตรายแก่
พวกเธอเหมือนกัน " อันภิกษุเหล่านั้น ทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงยังอกาล-
รวกุกกุฏชาดก1 ให้พิสดาร (ความย่อ) ว่า :-
" ไก่ตัวนี้ เติบโตแล้วในสำนักของผู้มิใช่มารดา
และบิดา อยู่ในสกุลแห่งผู้มิใช่อาจารย์ จึงไม่รู้จัก
กาลหรือมิใช่กาล "

ดังนี้แล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย อันธรรมดาภิกษุ เมื่อกล่าวสอนคนอื่น
พึงทำตนให้เป็นอันทรมานดีแล้ว, เพราะบุคคล เมื่อกล่าวสอนอย่างนั้น
เป็นผู้ฝึกดีแล้ว ชื่อว่าย่อมฝึกได้ " แล้วตรัสพระคาถานี้ :-
3. อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา ยถญฺญมนุสาสติ
สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม.
" ถ้าบุคคลพร่ำสอนผู้อื่นอยู่ฉันใด, พึงทำตน
ฉันนั้น, บุคคลผู้มีตนฝึกดีแล้วหนอ (จึง) ควรฝึก
(ผู้อื่น) เพราะว่าได้ยินว่า ตนฝึกได้โดยยาก."

1. ขุ. ชา. เอก. 27/38. อรรถกถา. 2/302. อกาลราวิชาดก.

แก้อรรถ


พึงทราบความแห่งพระคาถานี้ว่า :-
"ภิกษุกล่าวแล้วว่า ่พึงจงกรมในปฐมยามเป็นต้น ' ชื่อว่าย่อมกล่าว
สอนผู้อื่นฉันใด ตนเองก็ฉันนั้น อธิษฐานกิจมีจงกรมเป็นต้น ชื่อว่าพึง
กระทำตนเหมือนอย่างสอนผู้อื่น. เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นเป็นผู้มีตนฝึก
ดีแล้วหนอ ควรฝึก(บุคคลอื่น). "
บาทพระคาถาว่า สุทนฺโต วต ทเมถ ความว่า ภิกษุย่อมพร่ำสอน
ผู้อื่น ด้วยคุณอันใด. เป็นผู้ฝึกฝนดีแล้วด้วยตน ด้วยคุณอันนั้น ควรฝึก
(ผู้อื่น).
บาทพระคาถาว่า อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ความว่า เพราะว่าชื่อว่า
ตนนี้ เป็นสภาพอันบุคคลฝึกฝนได้ยาก. เพราะเหตุนั้น ตนนั้นย่อมเป็น
สภาพอันบุคคลฝึกฝนดีแล้ว ด้วยประการใด ควรฝึกฝนตนด้วยประการ
นั้น.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุแม้ประมาณ 500 รูปนั้น บรรลุพระ-
อรหัตผลแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระปธานิติสสเถระ จบ.

4. เรื่องมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ [130]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภมารดาของ
พระกุมารกัสสปเถระ. ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตา หิ อตฺตโน
นาโถ "
เป็นต้น.

มารดาของพระกุมารกัสสปบวช


ดังได้สดับมา มารดาของพระเถระนั้น เป็นธิดาของเศรษฐีในกรุง
ราชคฤห์ ขอบรรพชาแล้วจำเดิมแต่เวลาตนถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา, แม้
อ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่ได้บรรพชา แต่สำนักของมารดาและบิดา เจริญ
วัยแล้ว ไปสู่ตระกูลสามี เป็นผู้มีสามีดังเทวดา อยู่ครองเรือนแล้ว. ครั้น
ต่อมาไม่นานนัก สัตว์เกิดในครรภ์ ตั้งขึ้นแล้วในท้องของนาง. แต่นางไม่
ทราบความที่ครรภ์นั้นตั้งขึ้นเลย ยังสามีให้ยินดีแล้ว จึงขอบรรพชา.
ครั้งนั้น สามีนำนางไปสู่สำนักของนางภิกษุณี ด้วยสักการะใหญ่ไม่ทราบ
อยู่ ให้บวชในสำนักของนางภิกษุณี ที่เป็นฝักฝ่ายแห่งพระเทวทัตแล้ว.
โดยสมัยอื่น นางถูกนางภิกษุณีเหล่านั้น ทราบความที่นางมีครรภ์
แล้ว ถามว่า " นี่อะไรกัน ? " จึงตอบว่า " แม่เจ้า ดิฉันไม่ทราบว่า
'นี่เป็นอย่างไร ? ' แต่ศีลของดิฉันไม่ด่างพร้อยเลย. " พวกนางภิกษุณี
นำนางไปสู่สำนักของพระเทวทัตแล้ว ถามว่า " นางภิกษุณีนี้บวชด้วย
ศรัทธา. พวกดิฉันไม่ทราบกาลแห่งครรภ์ของนางนี้ตั้งขึ้น; บัดนี้ พวก
ดิฉันจะทำอย่างไร ? " พระเทวทัต คิดเหตุเพียงเท่านี้ว่า " ความเสีย
ชื่อเสียง จงอย่าเกิดขึ้นแก่พวกนางภิกษุณีผู้ทำตามโอวาทของเรา " จึง

กล่าวว่า " พวกเธอ จงให้นางนั้นสึกเสีย. " นางภิกษุณีสาวนั้น ฟังคำนั้น
แล้ว กล่าวว่า " แม่เจ้า ขอแม่เจ้าทั้งหลาย อย่าให้ดิฉันฉิบหายเสียเลย.
ดิฉันมิได้บวชเจาะจงพระเทวทัต, แม่เจ้าทั้งหลาย จงมาเถิด จงนำดิฉัน
ไปสู่พระเชตวัน ซึ่งเป็นสำนักของพระศาสดา. " นางภิกษุณีเหล่านั้นพา
นางไปสู่พระเชตวัน กราบทูลแด่พระศาสดาแล้ว.

พระกุมารกัสสปเกิด


พระศาสดา แม้ทรงทราบอยู่ว่า " ครรภ์ตั้งขึ้นแล้ว ในเวลานาง
เป็นคฤหัสถ์ " เพื่อจะเปลื้องเสียซึ่งถ้อยคำของชนอื่น จึงรับสั่งให้เชิญ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านมหาอนาถบิณฑิกะ ท่านจุลอนาถบิณฑิกะ
นางวิสาขาอุบาสิกา และสกุลใหญ่อื่นๆ มาแล้ว ทรงบังคับพระอุบาลี
เถระว่า " เธอจงไป. จงชำระกรรมของภิกษุณีสาวนี้ให้หมดจด ในท่าม
กลางบริษัท 4. " พระเถระให้เชิญนางวิสาขามา ตรงพระพักตร์พระ-
ราชาแล้ว ให้สอบสวนอธิกรณ์นั้น. นางวิสาขานั้นให้คนล้อมเครื่องล้อม
คือม่าน ตรวจดูมือ เท้า สะดือ และที่สุดแห่งท้องของนางภิกษุณีนั้น
ภายในม่าน แล้วนับเดือนและวันดู ทราบว่า " นางได้มีครรภ์ในเวลาเป็น
คฤหัสถ์ " จึงบอกความนั้นแก่พระเถระ. ครั้งนั้น พระเถระยังความที่นาง
เป็นผู้บริสุทธิ์ ให้กลับตั้งขึ้นในท่ามกลางบริษัทแล้ว. โดยสมัยอื่น นาง
คลอดบุตรมีอานุภาพมาก ซึ่งมีความปรารถนาตั้งไว้ แทบบาทมูลของ
พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ.

มีกุมารนำหน้าเพราะพระราชาทรงเลี้ยง


ภายหลังวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไป ณ ที่ใกล้สำนักของนางภิกษุณี
ทรงสดับเสียงทารก จึงตรัสถามว่า " นี้เสียงอะไร ? " เมื่ออำมาตย์กราบ

ทูลว่า " พระเจ้าข้า บุตรของนางภิกษุณีนั่นเกิดแล้ว, นั่นเป็นเสียงของ
บุตรนางภิกษุณีนั้น. " ทรงนำกุมารนั้นไปสู่พระราชมนเฑียรของพระองค์
ได้ประทานให้แก่แม่นมทั้งหลาย. ก็ในวันตั้งชื่อ ชนทั้งหลายตั้งชื่อกุมาร
นั้นว่า " กัสสป " เพราะความที่กุมารนั้น เป็นผู้อันพระราชาทรงให้
เจริญแล้วด้วย เครื่องบริหารของพระกุมาร จึงรู้กันว่า " กุมารกัสสป." กุมาร
นั้นทุบตีเด็กในสนามกีฬาแล้ว. เมื่อพวกเด็กกล่าวว่า " พวกเราถูกคนไม่
มีแม่ไม่มีพ่อทุบตีแล้ว." จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลถามว่า " ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นสมมติเทพ พวกเด็กย่อมว่าหม่อมฉันว่า " ไม่มีมารดาและ
บิดา ขอพระองค์จงตรัสบอกมารดาแก่หม่อมฉัน. " เมื่อพระราชา
ทรงแสดงหญิงแม่นมทั้งหลาย ตรัสว่า " หญิงเหล่านี้เป็นมารดาของเจ้า."
จึงกราบทูลว่า " มารดาของหม่อมฉันไม่มีเท่านี้. อันมารดาของหม่อมฉัน
พึงมีคนเดียว, ขอพระองค์ตรัสบอกมารดานั้น แก่หม่อมฉันเถิด. "
พระราชาทรงดำริว่า " เราไม่อาจลวงกุมารนี้ได้ " จึงตรัสว่า " พ่อ
มารดาของเจ้าเป็นภิกษุณี เจ้า อันเรานำมาแต่สำนักนางภิกษุณี."

กุมารกัสสปออกบวชบรรลุพระอรหัต


กุมารนั้น มีความสังเวชเกิดขึ้นพร้อมแล้ว ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น
นั่นแหละ กราบทูลว่า " ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้หม่อมฉัน
บวชเถิด " พระราชาทรงรับว่า " ดีละ พ่อ " แล้วยังกุมารนั้นให้บวชใน
สำนักของพระศาสดา ด้วยสักการะเป็นอันมาก.
กุมารกัสสปนั้นได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่า " พระกุมารกัสสป-
เถระ. " ท่านเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา เข้าไปสู่ป่าพยายามแล้ว
ไม่สามารถจะให้คุณวิเศษบังเกิดได้ จึงคิดว่า " เราจะเรียนกัมมัฏฐานให้

วิเศษอีก " มาสู่สำนักของพระศาสดา อยู่ในป่าอันธวันแล้ว. ครั้งนั้นภิกษุ
ผู้ทำสมณธรรมร่วมกัน ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า บรรลุอนาคามิผล
แล้ว บังเกิดในพรหมโลก มาจากพรหมโลกถามปัญหา 15 ข้อ กะพระ-
กุมารกัสสปนั้นแล้ว ส่งไปด้วยคำว่า " คนอื่นยกพระศาสดาเสีย ที่สามารถ
เพื่อจะพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ไม่มี. ท่านจงไป จงเรียนเนื้อความของ
ปัญหาเหล่านั้นในสำนักของพระศาสดาเถิด. " ท่านทำเหมือนอย่างนั้น
บรรลุพระอรหัตผลในเวลาที่พระศาสดาทรงแก้ปัญหาจบ.

มารดาพระกุมารกัสสปบรรลุพระอรหัต


ก็ตั้งแต่วันที่พระเถระนั้นออกไปแล้ว น้ำตาไหลออกจากนัยน์ตาทั้ง
สองของนางภิกษุณีผู้เป็นมารดาตลอด 12 ปี. นางมีทุกข์เพราะพลัดพราก
จากบุตร มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตาทีเดียว เที่ยวไปเพื่อภิกษา พอเห็น
พระเถระในระหว่างแห่งถนน จึงร้องว่า " ลูก ลูก " วิ่งเข้าไปเพื่อจะจับ
พระเถระ ซวนล้มลงแล้ว. นางมีถันหลั่งน้ำนมอยู่ ลุกขึ้น มีจีวรเปียก ไป
จับพระเถระแล้ว พระเถระคิดว่า " ถ้ามารดานี้จักได้ถ้อยคำอันไพเราะจาก
สำนักของเรา. นางจักฉิบหายเสีย; เราจักเจรจากับมารดานี้ ทำให้กระด้าง
เทียว. " ทีนั้น พระเถระกล่าวกะนางภิกษุณีผู้เป็นมารดานั้นว่า " ท่าน
เที่ยวทำอะไรอยู่ ? จึงไม่อาจตัดแม้มาตรว่าความรักได้. " นางคิดว่า " โอ
ถ้อยคำของพระเถระหยาบคาย, " จึงกล่าวว่า " พ่อ พ่อพูดอะไร ? " ถูก
พระเถระว่าเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละอีก จึงคิดว่า " เราไม่อาจอดกลั้น
น้ำตาไว้ได้สิ้น 12 ปี เพราะเหตุแห่งบุตรนี้. แต่บุตรของเรานี้ มีหัวใจ
กระด้าง ประโยชน์อะไรของเราด้วยบุตรนี้ " ตัดความเสน่หาในบุตร
แล้ว บรรลุพระอรหัตผลในวันนั้นนั่นเอง.

พวกภิกษุพากันสรรเสริญพระพุทธคุณ


โดยสมัยอื่น ภิกษุทั้งหลายสนทนากัน ในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย พระกุมารกัสสปและพระเถรี ผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยอย่างนี้ ถูก
พระเทวทัตให้ฉิบหายแล้ว. ส่วนพระศาสดาเกิดเป็นที่พึ่งของท่านทั้งสอง
นั้น; โอ ! น่าอัศจรรย์ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้
อนุเคราะห์โลก. "
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ
นั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า
" ด้วยเรื่องชื่อนี้ " จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นปัจจัย เป็นที่พำนัก
ของคนทั้งสองนี้ ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่. แม้ในกาลก่อน เราก็ได้เป็นที่
พำนักของคนทั้งสองนั้นเหมือนกัน " ดังนี้แล้วจึงตรัสนิโครธชาดก1นี้โดย
พิสดารว่า:-
" เจ้าหรือคนอื่น พึงคบเนื้อชื่อว่านิโครธผู้เดียว
อย่าเข้าไปคบเนื้อชื่อว่าสาขะ; ความตายในสำนัก
ของเนื้อชื่อว่านิโครธประเสริฐกว่า. ความเป็นอยู่ใน
สำนักของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้นจะประเสริฐอะไร."

ทรงประชุมชาดกว่า "เนื้อชื่อว่าสาขะในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต
(ในบัดนี้). เเม้บริษัทของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้น (ก็) เป็นบริษัทของพระ-
เทวทัตนั่นแหละ. แม่เนื้อตัวถึงวาระได้เป็นพระเถรี. บุตรได้เป็นกุมาร-
กัสสป. ส่วนพระยาเนื้อนามว่านิโครธ ผู้ไปสละชีวิตแก่แม่เนื้อตัวมีครรภ์
คือเราเอง, " เมื่อจะทรงประกาศความที่พระเถรีตัดความรักในบุตรแล้ว
1. ขุ. ชา. เอก. 27/5. อรรถกถา. 1/232.