ยาคูและของขบฉัน อัน เขาเชิญกล่าวธรรมชั่วเวลาภัต จึงกล่าวสาราณีย-
ธรรมกถาแก่ชนเหล่านั้น กำหนัดกาล ยังเทศนาให้จบแล้ว.
สามเณรบรรลุพระอรหัต
ทีนั้น ชนทั้งหลาย จึงถวายโภชนะมีรส 100 ชนิด แก่พระเถระ
นั้น เห็นพระเถระรับโภชนะนั้นแล้วประสงค์จะกลับ จึงเรียนว่า " ฉันเถิด
ขอรับ พวกผมจักถวายโภชนะแม้อื่นอีก " ให้พระเถระฉันแล้ว ก็ถวาย
จนเต็มบาตรอีก. พระเถระรับโภชนะนั้นแล้ว ก็รีบไปวิหาร ด้วยคิดว่า
" สามเณรของเราจักหิว. " วันนั้น พระศาสดาเสด็จออกประทับนั่งใน
พระคันธกุฎีแต่เช้าตรู่ ทรงรำพึงว่า " วันนี้ สุขสามเณรรับบาตรและจีวร
ของอุปัชฌาย์แล้ว กลับไปแล้วตั้งใจว่า " จักทำสมณธรรม, กิจของเธอ
สำเร็จแล้วหรือ ? พระองค์ทรงเห็นความที่มรรคผลทั้ง 3 เทียว อัน
สามเณรบรรลุแล้ว จึงทรงพิจารณาแม้ยิ่งขึ้นไปว่า " สุขสามเณรนี้ จักอาจ
ไหมหนอ ? เพื่อจะบรรลุพระอรหัตในวันนี้, ส่วนพระสารีบุตรรับภัต
แล้ว ก็รีบออกด้วยคิดว่า " สามเณรของเราจักหิว " ถ้าเมื่อสามเณรนี้
ยังไม่บรรลุพระอรหัต. พระสารีบุตรจักนำภัตมาก่อน. อันตรายก็จักมี
แก่สามเณรนี้; ควรเราจะไปยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู " ครั้นทรงดำริแล้ว
จึงเสด็จออกจากคันธกุฎี ประทับยืนยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู. ฝ่ายพระ-
เถระก็นำภัตมา. ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามปัญหา 4 ข้อกะพระเถระ
นั้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังแล. ในที่สุดแห่งการวิสัชนาปัญหา
สามเณรก็บรรลุพระอรหัตแล้ว.
พระศาสดาตรัสเรียกพระเถระมาแล้ว ตรัสว่า " สารีบุตร จงไป
เถิด, จงให้ภัตแก่สามเณรของเธอ. " พระเถระไปถึงแล้ว จึงเคาะประตู
สามเณรออกมาทำวัตรแก่อุปัชฌาย์แล้ว, เมื่อพระเถระบอกว่า " จงทำ
ภัตกิจ, " ก็รู้ว่าพระเถระไม่มีความต้องการด้วยภัต เป็นเด็กมีอายุ 7 ขวบ
บรรลุพระอรหัตในขณะนั้นนั่นเอง ตรวจตราดูที่นั่งอันต่ำ ทำภัตกิจแล้ว
ก็ล้างบาตร. ในกาลนั้น ท้าวมหาราช 4 องค์ ก็พากันเลิกการรักษา.
ถึงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็ปล่อยวิมาน. แม้ท้าวสักกะก็ทรงเลิกอารักขาที่
สายยู พระอาทิตย์ปรากฏคล้อยเลยท่ามกลางฟ้าไปแล้วเทียว.
ภิกษุทั้งหลาย พากันพูดว่า " กาลเย็นปรากฏ, สามเณรเพิ่งทำภัตกิจ
เสร็จเดี๋ยวนี้เอง. ทำไมหนอ วันนี้เวลาเช้าจึงมาก. เวลาเย็นจึงน้อย. "
พระศาสดา เสด็จมาตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่ง
ประชุมกันด้วยกล่าวเรื่องอะไรหนอ ? " เมื่อภิกษุทั้งหลาย ทูลว่า " พระเจ้าข้า
วันนี้ เวลาเช้ามาก เวลาเย็นน้อย สามเณรเพิ่งฉันภัตเสร็จเดี๋ยวนี้เอง.
ก็แลเป็นไฉน พระอาทิตย์จึงปรากฏคล้อยเคลื่อนท่ามกลางฟ้าไป, " จึง
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาทำสมณธรรมของผู้มีบุญทั้งหลาย ย่อม
เป็นเช่นนั้นนั่นแล. ก็ในวันนี้ ท้าวมหาราช 4 องค์ยึดอารักขาไว้โดย
รอบ. พระจันทร์และพระอาทิตย์ได้ยึดวิมานหยุดอยู่, ท้าวสักกะทรงยึด
อารักขาที่สายยู ถึงเราก็ยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู; วันนี้ สุขสามเณร เห็น
คนไขน้ำเข้าเหมือง ช่างศรดัดศรให้ตรง ช่างถาก ถากทัพสัมภาระทั้งหลาย
มีล้อเป็นต้นแล้ว ฝึกตน บรรลุพระอรหัตแล้ว " ดังนี้แล้วจึงตรัสพระ-
คาถานี้ว่า
11. อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารุํ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา.
" อันคนไขน้ำทั้งหลายย่อมไขน้ำ, ช่างศรทั้งหลาย
ย่อมดัดลูกศร, ช่างถากทั้งหลาย ย่อมถากไม้, ผู้
สอนง่ายทั้งหลาย ย่อมฝึกตน. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุพฺพตา ความว่า ว่าง่าย คือพึงโอวาท
พึงอนุศาสน์ โดยสะดวก. คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังแล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้นแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องสุขสามเณร จบ.
ทัณฑวรรควรรณนา จบ.
วรรคที่ 10 จบ.
คาถาธรรม
ชราวรรค1ที่ 11
ว่าด้วยสิ่งที่คร่ำคร่า ชรา
[21] 1. เมื่อโลกสันนิวาส อันไฟลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์
พวกเธอยังจะร่าเริงบันเทิงอะไรกันหนอ เธอทั้งหลาย
อันความมืดปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป
เล่า.
2. เธอจงดูอัตภาพที่ไม่มีความยั่งยืน (และ)
ความมั่นคง (อันกรรม) ทำให้วิจิตรแล้ว มีกายเป็น
แผล อันกระดูก 300 ท่อน ยกขึ้นแล้ว อันอาดูร
ที่มหาชนครุ่นคิดแล้วโดยมาก.
3. รูปนี้แก่หง่อมแล้ว เป็นรังของโลก เปื่อยพัง
กายของตนเป็นของเน่า จักแตก เพราะชีวิตมีความ
ตายเป็นที่สุด.
4. กระดูกเหล่านี้ใด อันเขาทิ้งเกลื่อนกลาดดุจ
น้ำเต้าในสารทกาล มีสีเหมือนนกพิราบ ความยินดี
อะไรเล่า (จักมี) เพราะเห็นกระดูกเหล่านั้น.
5. สรีระอันกรรมทำให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้ง-
หลาย ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต เป็นที่ตั้งลงแห่งชรา
มรณะ มานะ และมักขะ.
1. วรรคนี้มีอรรถกถา 9 เรื่อง.
6. ราชรถที่วิจิตรดียังคร่ำคร่าได้เเล อนึ่ง ถึง
สรีระ ก็ย่อมถึงความคร่ำคร่า ธรรมของสัตบุรุษหา
เข้าถึงความคร่ำคร่าไม่ สัตบุรุษทั้งหลายแล ย่อม
ปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ.
7. คนมีสุตะน้อยนี้ ย่อมแก่เหมือนโคถึก เนื้อ
ของเขาย่อมเจริญ แต่ปัญญาของเขาหาเจริญไม่.
8. เราแสวงหาช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ
จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก ความ
เกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบ
ท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ของ
ท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิต
ของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะ
เราบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว.
9. พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้
ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซาดังนก
กะเรียนแก่ ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลาฉะนั้น.
พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ใน
คราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า
เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่งฉะนั้น.
จบชราวรรคที่ 11
11. ชราวรรควรรณนา
1. เรื่องหญิงสหายของนางวิสาขา [118]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกหญิง
สหายของนางวิสาขา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โก นุ หาโส กิมา-
นนฺโท " เป็นต้น.
สามีมอบภรรยาของตนแก่นางวิสาขา
ดังได้สดับมา กุลบุตร 500 คน ในพระนครสาวัตถี ได้มอบภริยา
ของตนๆกะนางวิสาขามหาอุบาสิกา ด้วยมุ่งหมายว่า " ด้วยอุบายอย่างนี้
ภริยาเหล่านี้จักเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท. " หญิงเหล่านั้นเมื่อไปสวน
ก็ดี ไปวิหารก็ดี ย่อมไปกับนางวิสาขานั่นแล.
มหรสพเกี่ยวกับสุรา
ในคราวหนึ่ง เมื่อเขาโฆษณาการมหรสพว่า " จักมีการมหรสพ
เกี่ยวกับสุราตลอด 7 วัน " หญิงเหล่านั้นก็จัดเตรียมสุราเพื่อสามีของตนๆ
สามีเหล่านั้น เล่นมหรสพเกี่ยวกับสุราตลอด 7 วันแล้ว ในวันที่ 8 ได้
ออกไปเพื่อทำการงาน.
หญิงเหล่านั้นคิดหาอุบายดื่มสุรา
หญิงแม้เหล่านั้นหารือกันว่า " พวกเราไม่ได้ดื่มสุราต่อหน้าสามี,
ก็สุราที่เหลือยังมีอยู่, เราทั้งหลายจักดื่มสุรานี้ด้วยวิธีที่สามีเหล่านั้นจะไม่
รู้ " ดังนี้แล้ว จึงไปสำนักของนางวิสาขา กล่าวว่า " แม่เจ้า ดิฉันทั้งหลาย
ปรารถนาจะชมสวน " เมื่อนางวิสาขาตอบว่า " ดีละ แม่ทั้งหลาย ถ้าเช่น
นั้น จงทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้วจึงออกไป. " ได้ไปพร้อมกับนางวิสาขานั้น
ซ่อนสุราไปโดยอาการอันมิดชิด ดื่มเสีย (จน) เมาแล้ว เที่ยวไปในสวน.
นางวิสาขาคิดว่า " หญิงเหล่านี้ทำกรรมไม่สมควร. คราวนี้ถึงพวกเดียรถีย์
ก็จักติเตียนได้ว่า " สาวิกาทั้งหลายของพระสมณโคคม ดื่มสุรา ย่อมเที่ยว
ไป " จึงกล่าวกะหญิงเหล่านั้นว่า " นี่แน่ะแม่ เธอทั้งหลายทำกรรมไม่
สมควร. พลอยให้เกิดอัปยศแก่ฉันด้วย. ถึงสามีก็จะโกรธพวกเธอ. บัดนี้
พวกเธอจักทำอย่างไรกัน ? " หญิงเหล่านั้นตอบว่า " แม่เจ้า ดิฉันทั้งหลาย
จักแสดงอาการลวงว่าเป็นไข้ " นางวิสาขาจึงกล่าวว่า " ถ้าเช่นนั้น พวก
เธอก็จักปรากฏด้วยกรรมของตน." หญิงเหล่านั้นไปถึงเรือนแล้ว ทำท่า
ลวงว่าเป็นไข้. ทีนั้นสามีของหญิงเหล่านั้นถามว่า " หญิงชื่อนี้และชื่อนี้ไป
ไปไหน ? " ได้ยินว่า " เป็นไข้ " ก็กำหนดจับได้ว่า " พวกนี้จักดื่มสุรา
ที่เหลือเป็นแน่ " จึงได้ทุบตีหญิงเหล่านั้นให้ถึงความเสื่อมเสีย. ในคราว
มหรสพแม้อื่นอีก หญิงเหล่านั้นอยากดื่มสุราเหมือนอย่างนั้น จึงเข้าไปหา
นางวิสาขา กล่าวว่า " แม่เจ้า โปรดพาดิฉันไปชมสวนเถิด " ถูกนาง
ห้ามว่า " แม้ในคราวก่อน เธอทั้งหลายกระทำให้อัปยศแก่ฉัน. ไปเอง
เถอะ, ฉันจะไม่พาเธอทั้งหลายไปละ " ได้พูดเอาใจว่า " ทีนี้ พวกดิฉันจัก
ไม่ทำอย่างนั้น " แล้วเข้าไปหานางวิสาขานั้น พูดใหม่ว่า " แม่เจ้า ดิฉัน
ทั้งหลายประสงค์จะทำพุทธบูชา. ขอจงพาดิฉันทั้งหลายไปวิหารเถิด. "
นางจึงพูดว่า " แน่ะแม่ บัดนี้ สมควร (แท้). เธอทั้งหลายจงไปจัดแจง
เตรียมตัวเถอะ. หญิงเหล่านั้น ให้คนถือของหอมเเละระเบียบดอกไม้เป็นต้น
ด้วยผอบ หิ้วขวดมีสัณฐานดุจกำมือ ซึ่งเต็มด้วยสุรา ด้วยมือทั้งสอง
คลุมผ้าผืนใหญ่เข้าไปหานางวิสาขาแล้ว เข้าไปวิหารพร้อมกับนางวิสาขา
นั้น นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ดื่มสุราด้วยขวดอันมีสัณฐานดุจกำมือนั่นเอง
แล้วทิ้งขวดเสีย นั่งตรงพระพักตร์พระศาสดาในโรงธรรม. นางวิสาขา
กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ขอพระองค์แสดงธรรมแก่หญิงเหล่านี้. "
ผ่ายหญิงเหล่านั้น มีตัวสั่นเทิ้มอยู่ด้วยฤทธิ์เมา เกิดความคิดขึ้นว่า " เรา
ทั้งหลายจักฟ้อน จักขับ. "
เทวบุตรมารบันดาลให้แสดงกายวิการแต่ไม่สำเร็จ
ลำดับนั้น เทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งนับเนื่องในหมู่มาร คิดว่า " บัดนี้
เราจักสิงในสรีระของหญิงเหล่านี้แล้ว จักแสดงประการอันแปลกตรง
พระพักตร์พระสมณโคดม " แล้วเข้าสิงในสรีระของหญิงเหล่านั้น บรรดา
หญิงเหล่านั้น บางพวกจะเริ่มปรบมือหัวเราะ, บางพวกเริ่มจะฟ้อน ตรง
พระพักตร์พระศาสดา. พระศาสดาทรงรำพึงว่า " นี้อย่างไรกัน ? " ทรง
ทราบเหตุนั้นแล้ว ทรงดำริแล้วว่า " บัดนี้ เราจักไม่ให้เทวดาผู้นับเนื่องใน
หมู่มารได้ช่อง. เพราะเมื่อเราบำเพ็ญบารมีตลอดกาลเท่านี้ ก็หาได้บำเพ็ญ
เพื่อมุ่งจะให้พวกเทวดาผู้นับเนื่องในหมู่มารได้ช่องไม่ " เพื่อจะให้หญิง
เหล่านั้นสังเวช จึงทรงเปล่งรัศมีจากพระโลมาระหว่างพระโขนง1 ทันใด
นั้นเอง ความมืดมนอนธการได้มีแล้ว. หญิงเหล่านั้นได้หวาดหวั่น อัน
มรณภัยคุกคามแล้ว ด้วยเหตุนั้น สุราในท้องของหญิงเหล่านั้นจึงสร่างคลาย
ไป. พระศาสดาทรงหายไป ณ บัลลังก์ที่ประทับนั่ง ประทับยืนอยู่บน
ยอดเขาสิเนรุ ทรงเปล่งพระรัศมีจากพระอุณาโลม. ขณะนั้น แสงสว่าง
ได้มีเหมือนพระจันทร์ขึ้นตั้งพันดวง. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเรียกหญิง
1. ภมุกโลมโตติ. ภมุกนฺตเร โลมโต.