ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 8
เรื่องภิกษุ 2 รูป
[392] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุ 2
รูป อยู่บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ รูปหนึ่งอยู่ชั้นล่าง รูปหนึ่งอยู่ชั้นบน
ภิกษุอยู่ชั้นบนนั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงอันมีเท้าเสียบ เท้าเตียงตกโดนศีรษะ
ภิกษุผู้อยู่ชั้นล่าง ภิกษุนั้นส่งเสียงร้องลั่น ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไปถาม
ภิกษุนั้นว่า ท่านส่งเสียงร้องทำไม จึงภิกษุนั้นได้ชี้แจงเรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุที่มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
ภิกษุจึงนั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์. แล้ว
กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่าเธอ
นั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ จริงหรือ.
ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้นั่งทับโดยแรง ซึ่งเตียงมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์เล่า การ
กระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
67. 8. อนึ่ง ภิกษุใด นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี
ซึ่งตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุ 2 รูป จบ
สิกขาบทวิภังค์
[393] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใดคือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ . . .นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์โนอรรถนี้ .
วิหาร ที่ชื่อว่า เป็นของสงฆ์ ได้แก่ วิหารที่เขาถวายแล้ว สละ
แล้วแก่สงฆ์.
[394] ที่ชื่อว่า ร้าน ได้แก่ ร้านที่ไม่กระทบศีรษะของมัชฌิมบุรุษ
เตียงที่ชื่อว่า มีเท้าเสียบ คือเขาสอดเท้าเสียบเข้าไว้ในตัวเตียง.
ตั่ง ที่ชื่อว่า มีเท้าเสียบ คือเขาสอดเท้าเสียบเข้าไว้ในตัวตั่ง
บทว่า นั่งทับ คือนั่งทับบนเตียงตั่งนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า นอนทับ คือนอนทับบนเตียงตั่งนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[395] วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ นั่งทับก็ดี นอนทับ
ก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ซึ่งตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้าน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
วิหารของสงฆ์ ภิกษุสงสัย นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี ซึ่งเตียงก็ดี ซึ่ง
ตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้าน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
วิหารของสงฆ์ ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล นั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี
ซึ่งเตียงก็ดี ซึ่งตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบ บนร้าน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกทุกกฏ
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของสงฆ์ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิหารของบุคคล ภิกษุสงสัย... ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิหารของบุคคล ภิกษุสำคัญว่าของบุคคล เพราะเป็นส่วนตัวของภิกษุ
อื่น. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ
วิหารเป็นส่วนตัวของตน. . ไม่ต้องอาบัติ.
อานาปัตติวาร
[396] ไม่ใช่ร้าน 1 ร้านสูงพอกระทบศีรษะ 1 ข้างล่างไม่ได้ใช้
เป็นที่อยู่ 1 ข้างบนปูพื้นไว้ 1 เท้าเตียงเท้าตั่งไดตรึงสลักกับตัว 1 ภิกษุยืน
บนเตียงตั่งนั่นหยิบจีวรหรือพาดจีวรได้ 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1
ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 8 จบ
เสนาสนวรรค เวหาสกุฎีสิกขาบทที่ 8
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 8 ดังต่อไปนี้.
[แก้อรรถเวทาสกุฎีและกิริยานั่งทับ]
บทว่า อุปริ เวหาสกุฏิยา ได้แก่ บนกุฎี 2 ชั้นก็ดี บนกุฎี 3
ชั้นก็ดี ที่ข้างบนไม่ได้ปูพื้นไว้
คำว่า มญฺจํ สหสา อภินิสีทติ ได้แก่ นั่งทับ คือ นั่งคร่อมเตียง
โดยแรง. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า มญฺจํ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่ง
สัตตมีวิภัตติ. ความว่า นั่งลงบนเตียง. ก็คำว่า อภิ นี้ เป็นเพียงอุปสรรค
เพื่อทำให้บทสวยงามเท่านั้น.
บทว่า ปติตฺวา คือ ตกลง หรือหลุดออกแล้ว . เพราะว่า ใน
เบื้องบนของเท้าเตียงนั้น แม้สลักก็ไม่ใส่ เพราะฉะนั้น เท้าเตียงจึงหลุดออก
บทว่า วิสฺสรมกาสิ คือ ได้ทำเสียงร้องครวญครางผิดรูป
คำว่า เวหาสกุฎี นาม มชฺฌิมสฺส ปุริสสฺส อสีสฆฏฺฏา
มีความว่า กุฎีใดไม่กระทบศีรษะแห่งบุรุษผู้มีขนาดปานกลาง ด้วยขื่อที่ต่ำกว่า
เขาทั้งหมด, (กุฎีนั้น ชื่อว่า เวหาสกุฎี) ด้วยคำนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงเวหาสกุฎีที่ทรงประสงค์แล้วในสิกขาบทนี้ . (แต่) หาได้
ทรงแสดงลักษณะของเวหาสกุฎีไว้ไม่. จริงอยู่ กุฎีมี 2 ชนก็ดี กุฎีมี 3 ชั้น
เป็นต้นก็ดี ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเบื้องบนไม่ได้ปูพื้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกว่า เวหาสกุฎี. แต่ในสิกขาบทนี้ประสงค์เอาเวหาสกุฎีที่ไม่กระทบ
ศีรษะ. บัณฑิตพึงทราบความแตกต่างกันแห่งอาบัติ ในการนั่งทับเป็นต้น
ด้วยอำนาจแห่งประโยค โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั้นแล
บทว่า อเวหาสกุฏิยา มีความว่า ไม่เป็นอาบัติในศาลาใบไม้ที่เขา
สร้างไว้บนพื้นดินเป็นต้น . เพราะว่า ไม่อาจเพื่อจะทำความเบียดเบียนแก่คน
อื่นในกุฎีมีบรรณศาลาเป็นต้นนั้น .
บทว่า สีสฆฏฺฏาย มีความว่า กุฎีใดกระทบศีรษะได้, ไม่เป็นอาบัติ
ในกุฎีแม้นั้น. เพราะว่า ใคร ๆ ไม่ก้มตัวลงไม่อาจเพื่อจะเที่ยวไปไม่ปราสาท
ชั้นล่าง (พื้นชั้นล่าง) ในกุฎีนั่นได้ ฉะนั้น จักไม่มีความเบียดเบียนแก่ผู้อื่น
เพราะไม่ใช่สถานที่สัญจร.
สามบทว่า เหฏฺฐา อปริโภคํ โหติ มีความว่า ภายใต้เป็นที่ใช้
สอยไม่ได้ เพราะเก็บทัพสัมภาระเป็นต้น . แม้ในกุฎีนั้นก็ไม่เป็นอาบัติ.
สองบทว่า ปทรสญฺจิตํ โหติ มีความว่า พื้นข้างบนกุฎีใดเขาปู
แน่นทึบด้วยแผ่นกระดานไม้ก็ดี ทำการบริกรรมด้วยปูนขาวเป็นต้น ก็ดี. แม้
ในกุฎีนั้นก็ไม่เป็นอาบติ.
ข้อว่า ปฏฺฏาณิ ทินฺนา โหติ มีความว่า ได้ตรึงสลักไว้ที่ปลาย
เท้าเตียงและตั่งเป็นต้น แม้เมื่อภิกษุนั่งบนเตียงและตั่งใด. (เท้าเตียง) ไม่ตก
ลงมา แม้ภิกษุผู้นั่งบนเตียงและตั่งเช่นนั้น ก็ไม่เป็นอาบัติ.
ข้อว่า ตสฺมึ ฐิโต มีความว่า ภิกษุยืนบนเตียงและตั่งที่มีเท้าเสียบ
(เข้าไว้ในตัวเตียงตั่ง) หยิบจีวรหรือวัตถุอะไร ๆ ที่แขวนไว้บนไม้ฟันมังกร
เป็นต้นข้างบน, หรือว่าจะแขวนวัตถุอื่น, ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น. บทที่
เหลือตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เกิดขึ้นทางกาย 1 ทาง
กายกับจิต 1 เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม
มีจิต 3 มีเวทนา 3 ดังนี้แล.
เวหาสกุฎีสิกขาบทที่ 8 จบ
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ 9
เรื่องพระฉันนะ
[397] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ
โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี ครั้งนั้น มหาอำมาตย์อุปัฏฐากของท่าน
พระฉันนะสร้างวิหารถวายท่านพระฉันนะ แต่ท่านพระฉันนะสั่งให้มุงให้โบก
ฉาบวิหารที่ทำสำเร็จแล้วบ่อยครั้ง วิหารหนักเกินไป ได้ทลายลงมา จึงท่าน
พระฉันนะมัวสาละวนเก็บรวบรวมหญ้าและไม้ ได้ทำนาข้าวเหนียวของ
พราหมณ์คนหนึ่งให้เสียหาย พราหมณ์นั้นจึงเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลายจึงได้ทำนาข้าวเหนียวของข้าพเจ้าให้เสียหาย ภิกษุ
ทั้งหลายได้ยินพราหมณ์นั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่ผู้มักน้อย. . .
ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนท่านพระฉันนะจึงได้ให้มุงให้โบกฉาบ
วิหารที่ทำเสร็จแล้วบ่อยครั้งเล่า วิหารหนักเกินไปได้ทลายลงมา แล้วกราบทูล
เนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า ดูก่อนฉันนะ ข่าว
ว่าเธอให้มุงให้โบกฉาบวิหารที่ทำเสร็จแล้วบ่อยครั้ง วิหารหนักเกินไปได้ทลาย
ลงมา จริงหรือ
ท่านพระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึง
ได้ให้มุงให้โบกฉาบวิหารที่ทำเสร็จแล้วบ่อยครั้งเล่า วิหารหนักเกินไปก็ทลาย
ลง การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้
พระบัญญัติ
68. 9. อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำซึ่งวิหารใหญ่ จะวางเช็ดหน้า
เพียงไรแต่กรอบแห่งประตู จะบริกรรมช่องหน้าต่าง พึงยืนในที่
ปราศจากของสดเขียว อำนวยให้พอกได้ 2-3 ชั้น ถ้าเธออำนวย
ยิ่งว่านั้น แม้ยินในที่ปราศจากของสดเขียว ก็เป็นปาจิตตีย์
เรื่องพระฉันนะ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[398] วิหารที่ชื่อว่า ใหญ่ ท่านว่ามีเจ้าของ.
ที่ชื่อว่า วิหาร ได้แก่ ตึกที่เขาโบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายในก็ตาม
ที่เขาโบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายนอกก็ตาม หรือที่เขาโบกฉาบปนไว้ทั้งภายใน
ทั้งภายนอกก็ตาม.
บทว่า ผู้ให้ทำ คือ สร้างเองก็ดี ให้ผู้อื่นสร้างก็ดี.
บทว่า เพียงไรแต่กรอบแห่งประตู คือ ชั่วหัตถบาสโดยรอบแห่ง
บานประตู
บทว่า จะวางเช็ดหน้า คือ จะวางประตู.
บทว่า จะบริกรรมช่องหน้าต่าง คือ จะบริกรรมหน้าต่างให้มี
สีเขียว สีดำ สียางไม้ ลายดอกไม้ เถาวัลย์ ฟันมังกร ดอกจอก.
คำว่า พึงยืนในที่ปราศจากของสดเขียว อำนวยให้พอกได้.
2- 3 ชั้นความว่า ที่ชื่อว่า ของสดเขียว ได้แก่ บุพพัณชาติ อปรัณชาติ.
ถ้าภิกษุยืนสั่งการอยู่ในที่มีของสดเขียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
ให้มุงตามทางแถว พึงมุงเอง 2 แถว ๆ ที่ 3 สั่งให้มุงแล้วพึงหลีกไป.
ให้มุงเป็นชั้น พึงมุงเอง 2 ชั้น ๆ ที่ 3 สั่งให้มุงแล้วพึงหลีกไป.
[399 ] คำว่า ถ้าเธออำนวยให้ยิ่งกว่านั้น แม้ยินในที่ปราศจาก
ของสดเขียว ความว่า มุงด้วยอิฐ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ แผ่นอิฐ.
มุงด้วยแผ่นศิลา ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ แผ่นศิลา.
โบกฉาบด้วยปูนขาว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ ก้อนปูนขาว.
มุงด้วยหญ้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ กำหญ้า.
มุงด้วยใบไม้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ ใบไม้.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์
[400] เกิน 2 - 3 ชั้น ภิกษุสำคัญว่าเกิน อำนวยการ ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
เกิน 2 - 3 ชั้น ภิกษุสงสัย อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เกิน 2-3 ชั้น ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
หย่อนกว่า 2-3 ชั้น ภิกษุสำคัญว่าเกิน. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
หย่อนกว่า 2-3 ชั้น ภิกษุสงสัย.. . ต้องอาบัติทุกกฏ.
หย่อนกว่า 2-3 ชั้น ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง . . .ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[401] ภิกษุมุง 2-3 ชั้น 1 ภิกษุมุงหย่อนกว่า 2-3 ชั้น 1 ภิกษุ
สร้างถ้า 1 คูหา 1 กุฎีมุงหญ้า 1 ภิกษุสร้างกุฎีเพื่อภิกษุอื่น 1 ภิกษุสร้าง
ด้วยทรัพย์ของตน 1 ยกอาคารอันเป็นที่อยู่เสีย ภิกษุสร้างทุกอย่างไม่ต้อง
อาบัติ 1 ภิกษุวิกลจริต 1 ภิกษุอาทิกัมมิกะ 1 ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรคสิกขาบทที่ 9 จบ
เสนาสนวรรค มหัลลกวิหารสิกขาบทที่ 9
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่ 9 ดังต่อไปนี้
[แก้อรรถปาฐะ เรื่องกรอบประตูหน้าต่าง]
โอกาสขนาดเท่าความกว้างของบานประตู โดยรอบแห่งบานประตู
ชื่อ ว่าทวารโกส (กรอบแห่งประตู) ในคำว่า ยาว ทฺวารโกสา นี้. แต่ใน
มหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า หนึ่งศอกคืบ วัดจากบานประตู. ในกุรุนทีกล่าวว่า
ขนาดเท่าบานประตูในข้างทั้งสอง ด้านแห่งประตู ในมหาอรรถกถาท่านกล่าว
ว่า ชื่อว่าบานประตู มีขนาดศอกคืบก็มี 2 ศอกก็มี 2 ศอกคืบก็มี. คำใน
มหาอรรถกถานั้นท่านกล่าวดีแล้ว. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอา
อรรถนั้นนั่นแล จึงทรงทำการกำหนดอย่างสูงไว้ ดังนี้ว่า ชั่วหัตถบาส โดย
รอบแห่งบานประตู.
บทว่า อคฺคลฏฺฐปนาย มีความว่า เพื่อจะวางทวารพันธ์ (กรอบ
ประตู) พร้อมทั้งบาน, อธิบายว่า เพื่อต้องการความไม่เคลื่อนที่แห่งกรอบ
ประตูพร้อมทั้งบานประตู. จริงอยู่ แม้บทภาชนะว่า ทฺวารฏฺฐปนาย นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสหมายเอาอรรถนี้นั่นแล.
ก็ในคำนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ก็บานประตูหมุนคล่องย่อมกระทบฝา
ในเวลาเปิด, ย่อมกระทบกรอบประตูในเวลาปิด. ฝาย่อมกระเทือนด้วยการ
กระทบนั้น, เพราะฝากระเทือนนั้น ดินย่อมคลอน ครั้นคลอนแล้วย่อมหย่อน
หรือหลุดลง. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยาว ทฺวารโกสา
อคฺคลฏฺฐปนาย ดังนี้ .
บัณฑิตพึงเห็นใจความในคำนั้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้
ตรัสไว้ในมาติกา ไม่ได้ตรัสไว้ในบทภาชนะเลยว่า กิจชื่อนี้ ควรกระทำ
แม้ก็จริง. ถึงกระนั้นเพื่อจะวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู ก็พึงฉาบ
เอง หรือพึงให้ฉาบบ่อย ๆ โดยอำนวยการตามในอัตถุปปสัตติเหตุว่า ภิกษุให้
ฉาบบ่อย ๆ ให้โบกบ่อย ๆ ดังนี้ .
ส่วนในคำที่ตรัสไว้ในบทภาชนะว่า ปิฏฐิสงฺฆาฏสฺส สมนฺตา
หตฺถปาสา พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ วิหารใดมีประตูอยู่ตรงกลาง และมีฝา
สูงอยู่ส่วนบน หัตถบาสโดยรอบใน 3 ทิศ เป็นอุปจารแห่งวิหารนั้น. สำหรับ
วิหารเล็ก มีอุปจารใน 2 ทิศ. แม้ในวิหารเล็กนั้น บานประตูที่เปิดออก
ย่อมกระทบฝาใด, แม้ฝานั้น ก็ยังจัดเป็นอุปจารไม่ได้ครบถ้วน. แต่โดย
กำหนดอย่างสูง ทรงอนุญาตหัตถบาสโดยรอบใน 3 ทิศ (และ) ทรงอนุญาต
การโบกฉาบ เพื่องต้องการทำประตูให้แน่น. แต่ถ้าว่า มีโอกาสที่ควรฉาบ
แม้ในส่วนเบื้องบนแห่งประตู, จะฉาบโอกาสแม้นั้นก็ควร.
ในคำว่า อาโลกสนฺปริกมฺมาย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก
บานหน้าต่างว่า อาโลกสันธิ. ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า บานหน้าต่างเหล่านั้น
ในเวลาเปิด จะกระทบส่วนของฝาประมาณคืบหนึ่งบ้าง เกินกว่าบ้าง. ก็ใน
คำว่าอโลกสันธิ นี้ ย่อมได้อุปจารในทิศทั้งปวง เพราะเหตุนั้น โอกาสประมาณ
เท่าความกว้างแห่งบานหน้าต่างในทิศทั้งปวง. ภิกษุพึงฉาบเองหรือพึงให้ฉาบ
เพื่อประโยชน์แก่การบริกรรมบานหน้าต่าง.
คำว่า เสตวณฺณํ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นการแจกบทมาติกา. จริงอยู่
ชื่อว่าวิหารจะเป็นของหนักด้วยสีขาวเป็นต้นนี้ หามิได้ เหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาต (สีขาวเป็นต้น ) ไว้ในบทภาชนะนั่นแล. เพราะ
เหตุนั้น ภิกษุพึงทำกิจทุกอย่างมีการฉาบปูนขาวเป็นต้นนี้ตามสบาย.
[ว่าด้วยการอำนวยให้การพอกบนหลังคา]
เพื่อทรงแสดงกรรม คือการฉาบอันภิกษุพึงทำอย่างนั้นแล้ว แสดง
กรรมที่ภิกษุพึงทำบนหลังคาอีก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ทฺวิตฺติจฺ-
ฉทนสฺส เป็นต้น . พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้น ดังนี้
คำว่า ทฺวิตฺติจฺฉทนสฺส ปริยายํ คือ (อำนวยให้) การพอกหลังคา
ได้ 2-3 ชั้น. การพอกเรียกว่า ปริยาย. อธิบายว่า พึงอำนวยให้พอกได้
2 ครั้ง หรือพอกได้ 3 ครั้ง
สองบทว่า อปหริเต ฐิเตน คือ ยืนอยู่ในที่ปราศจากของสดเขียว.
ก็ในคำว่า หริตํ นี้ ทรงประสงค์เอาบุพพัณชาติต่างโดยเป็นข้าวเปลือก
7 ชนิด และอปรัณชาติต่างโดยเป็นถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ถั่วพู น้ำเต้า
และฟักเขียวเป็นต้น . ด้วยเหตุนั้นแล พระองค์จึงตรัสว่า ที่ชื่อว่า ของสดเขียว
ได้แก่ บุพพัณชาติ อปรัณชาติ.
ก็ในคำว่า สเจ หริเต ฐิโต อธิฏฺฐาติ อปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้
พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้ พืชที่เขาหว่านในนาแม้ใด ชั้นแรกยังไม่สำเร็จ