เมนู

ตั้งอยู่ในปฐมวัย (กำลัง) น่าดู สลากถึงแก่นางนั้น. พวกมนุษย์พากัน
กล่าวว่า " จงแจกสลากอีก. " แล้วให้เเจกถึง 3 ครั้ง. สลากถึงแก่นาง
นั้นคนเดียวถึง 3 ครั้ง. พวกมนุษย์แลดูหน้านายเรือ (เป็นทีจะพูดว่า)
" อย่างไรกัน ? นายครับ " นายเรือกล่าวว่า " ข้าพเจ้าไม่อาจให้มหาชน
ฉิบหาย เพื่อประโยชน์แก่นางนี้. พวกท่านจงทิ้งนางในน้ำเถิด. " นางนั้น
เมื่อพวกมนุษย์จับจะทิ้งน้ำ กลัวต่อมรณภัย ได้ร้องใหญ่แล้ว นายเรือ
ได้ยินเสียงร้องนั้น จึงกล่าวว่า " ประโยชน์อะไร ด้วยอาภรณ์ของนางนี้
(จะ) ฉิบหายเสีย (เปล่าๆ). พวกท่านจงเปลื้องเครื่องอาภรณ์ทั้งหมด ให้
นางนุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่งแล้วจงทิ้งนางนั้น. ก็ข้าพเจ้าไม่อาจดูนางนั้น ผู้ลอย
อยู่เหนือหลังน้ำได้, เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเอากระออมที่เต็มด้วยทราย
ผูกไว้ที่คอแล้ว โยนลงไปเสียในสมุทรเถิด (ทำ) โดยประการที่ข้าพเจ้าจะ
ไม่เห็นเขาได้. " พวกมนุษย์เหล่านั้น ได้กระทำตามนั้นเเล้ว. ปลาและ
เต่ารุมกินนางแม้นั้นในที่ตกนั่นเอง. พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็คิดว่า
" ใครคนอื่น เว้นพระศาสดาเสีย จักรู้กรรมของหญิงนั้นได้. พวกเราจะ
ทูลถามกรรมของหญิงนั้นกะพระศาสดา " ถึงถิ่นที่ประสงค์แล้ว จึงพากัน
ลงจากเรือหลีกไป.

ภิกษุ 7 รูป อดอาหาร 7 วันในถ้ำ


ภิกษุ 7 รูปอีกพวกหนึ่ง ไปจากปัจจันตชนบท เพื่อต้องการจะ
เฝ้าพระศาสดา เวลาเย็น เข้าไปสู่วัดแห่งหนึ่ง แล้วถามถึงที่พัก. ก็ในถ้ำ
แห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ 7 เตียง, เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้ถ้ำนั้นแล นอนบน
เตียงนั้นแล้ว. ตอนกลางคืน แผ่นหินเท่าเรือนยอดกลิ้งลงมาปิดประตูถ้ำ
ไว้ พวกภิกษุเจ้าของถิ่นกล่าวว่า " พวกเราให้ถ้ำนี้ถึงแก่ภิกษุอาคันตุกะ,

ก็แผ่นหินใหญ่นี้ ได้ตั้งปิดประตูถ้ำเสียแล้ว. พวกเราจักนำแผ่นหินนั้น
ออก " แล้วให้ประชุมพวกมนุษย์จากบ้าน 7 ตำบลโดยรอบ แม้พยายาม
อยู่ ก็ไม่อาจยังแผ่นหินนั้นให้เขยื้อนจากที่ได้.
แม้พวกภิกษุผู้เข้าไป (อยู่) ในภายใน ก็พยายามเหมือนกัน. แม้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่อาจให้เเผ่นหินนั้นเขยื้อนได้ตลอด 7 วัน, พวก
ภิกษุอาคันตุกะ อันความหิวแผดเผาแล้วตลอด 7 วัน ได้เสวยทุกข์ใหญ่
แล้ว. ในวันที่ 7 แผ่นหินก็ได้กลับกลิ้งออกไปเอง. พวกภิกษุออกไป
แล้ว คิดว่า " บาปของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้วใครเล่าจักรู้ได้
พวกเราจักทูลถามพระศาสดา " ดังนี้แล้ว ก็พากันหลีกไป.

พวกภิกษุทูลถามถึงกรรมของตนและของผู้อื่น


ภิกษุเหล่านั้น มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง รวม
เป็นพวกเดียวกันเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
มีปฏิสันถารอันพระศาสดาทรงทำแล้ว จึงทูลถามถึงเหตุที่ตนเห็นและที่
ตนเสวยมาแล้วโดยลำดับ. แม้พระศาสดาก็ตรัสพยากรณ์แก่ภิกษุเหล่านั้น
โดยลำดับอย่างนี้.

บุรพกรรมของกา


ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้.
ก็ในอดีตกาล ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่ (แต่) ไม่
อาจฝึกได้. ด้วยว่าโคของเขานั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็นอนเสีย. แม้
เขาตีให้ลุกขึ้นแล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็กลับนอนเสียเหมือนอย่างเดิม
นั่นแล. ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่อาจฝึกโคนั้นได้ เป็นผู้อันความ
โกรธครอบงำแล้ว จึงกล่าวว่า 'บัดนี้เจ้าจักนอนสบายตั้งแต่นี้ไป' ดังนี้