" ลาภทั้งหลาย มีความไม่มีโรค เป็นอย่างยิ่ง,
ทรัพย์มีความสันโดษ เป็นอย่างยิ่ง, ญาติมีความ
คุ้นเคย เป็นอย่างยิ่ง, พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาโรคฺยปรมา ความว่า มีความเป็นผู้
ไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง. จริงอยู่ ลาภทั้งหลาย แม้มีอยู่แก่คนมีโรค ไม่จัด
เป็นลาภแท้, เพราะฉะนั้น ลาภทั้งปวงจึงมาถึงแก่คนไม่มีโรคเท่านั้น; เหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " อาโรคฺยปรมา ลาภา. "
บาทพระคาถาว่า สนฺตุฏฺฐปรมํ ธนํ ความว่า ภาวะคืออันยินดี
ด้วยวัตถุที่ตนได้เเล้วซึ่งเป็นของมีอยู่แห่งตน ของคฤหัสถ์หรือบรรพชิต
นั่นแล ชื่อว่าสันโดษ, สัน โดษนั้น เป็นทรัพย์อันยิ่งกว่าทรัพย์ที่เหลือ.
บาทพระคาถาว่า วิสฺสาสปรมา ญาตี1 ความว่า มารดาก็ตาม บิดา
ก็ตามจงยกไว้. ไม่มีความคุ้นเคยกับคนใด. คนนั้นไม่ใช่ญาติแท้: แต่มี
ความคุ้นเคยกับคนใด, คนนั่นแม้ไม่เนื่องกัน ก็ชื่อว่าเป็นญาติอย่างยิ่ง
คืออย่างสูง; เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " วิสฺสาสปรมา
ญาตี. "
อนึ่ง ชื่อว่าความสุข เหมือนพระนิพพาน ไม่มี, เหตุนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ."
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล จบ.
1 . บาลีเป็น ญาติ.
7. เรื่องพระติสสเถระ [163]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเมืองไพศาลี ทรงปรารภภิกษุรูปใด
รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปริเวกรสํ " เป็นต้น.
ได้ทราบข่าวปรินิพพานแล้วบำเพ็ญสมณธรรม
ความพิสดารว่า เมื่อพระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลายโดยเดือน 4 เดือน1
จากนี้ เราจักปรินิพพาน. " ภิกษุ 700 ในสำนักของพระศาสดาถึงความ
สะดุ้งแล้ว. ธรรมสังเวชเกิดขึ้นแก่พระขีณาสพทั้งหลาย. ภิกษุปุถุชน
ทั้งหลายไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาได้. ภิกษุทั้งหลายเป็นพวก ๆ เที่ยว
ปรึกษากันว่า " พวกเราจักทำอย่างไรหนอ ? " ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง
ชื่อว่าติสสเถระคิดว่า " ได้ยินว่า พระศาสดาจักปรินิพพาน โดยล่วงไป
4 เดือน ก็เราเป็นผู้มีราคะยังไม่ไปปราศ, เมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์
อยู่นั่นแหละ, เราควรถือเอาพระอรหัต (ให้ได้)" แล้วจึงอยู่ผู้เดียวเท่านั้น
ในอิริยาบถ 4. การไปสู่สำนักของภิกษุทั้งหลาย หรือการสนทนาปราศรัย
กับผู้ใดผู้หนึ่ง ย่อมไม่มี. ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านว่า" คุณติสสะ
เหตุไร ? คุณจึงทำอย่างนี้. " ท่านไม่ฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุ
เหล่านั้น กราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า " ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระติสสเถระไม่มีความรักในพระองค์. " พระศาสดา
1. น่าจะเป็น 3 เดือน แต่ว่าในที่นี้เห็นจะนับโดยเดือน.
รับสั่งให้หาท่านมาแล้ว ตรัสถามว่า " ติสสะ เหตุไร ? เธอจึงทำอย่างนี้. "
เมื่อท่านกราบทูลความประสงค์ของตนแล้ว ประทานสาธุการว่า " ดีละ
ติสสะ " แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีความรักในเรา จงเป็นเหมือน
ติสสะเถิด; แม้คนกระทำการบูชาอยู่ด้วยของหอมและระเบียบดอกไม้เป็น
ต้น ไม่ชื่อว่าบูชาเราเลย, แต่คนผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนั่นแหละ
ชื่อว่าบูชาเรา. " แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
7. ปวิเวกรสํ ปิตฺวา รสํ อุปสมสฺส จ
นิทฺทโร โหติ นิปฺปาโป ธมฺมปีติรสํ ปิวํ.
" บุคคลดื่มรสอันเกิดแต่วิเวกและรสพระนิพพาน
เป็นที่เข้าไปสงบ ดื่มรสปีติอันเกิดแต่ธรรม ย่อมเป็น
ผู้ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่มีบาป."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวิเวกรสํ ความว่า ซึ่งรสอันเกิดแล้ว
แต่วิเวก, อธิบายว่า ซึ่งความสุขอันเกิดแต่ความเป็นผู้เดียว.
บทว่า ปิตฺวา ความว่า ดื่มแล้วด้วยความสามารถแห่งอันเป็นผู้ทำกิจ
มีอันกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้น ทำให้แจ้งโดยความเป็นอารมณ์.
บาทพระคาถาว่า รสํ อุปสมสฺส จ ความว่า ดื่มแล้วซึ่งรสแห่ง
พระนิพพาน อันเป็นที่เข้าไปสงบกิเลสด้วย.
สองบทว่า นิทฺทโร โหติ ความว่า ภิกษุผู้ขีณาสพ ชื่อว่าเป็นผู้
ไม่มีความกระวนกระวาย และไม่มีบาป เพราะความไม่มีความกระวน
กระวาย คือราคะเป็นต้นในภายใน เพราะดื่มรสทั้งสองอย่างนั้น.
สองบทว่า รสํ ปิวํ ความว่า แม้เมื่อดื่มรสแห่งปีติ อันเกิดขึ้นแล้ว
ด้วยสามารถแห่งโลกุตรธรรม 9 ย่อมเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย และ
ไม่มีบาป.
ในกาลจบเทศนา พระติสสเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว. เทศนาได้
มีประโยชน์แม้แก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องพระติสสเถระ จบ.
8. เรื่องท้าวสักกะ [164]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเวฬุวคาม ทรงปรารภท้าวสักกะ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สาหุ ทสฺสนํ " เป็นต้น.
ความพิสดารว่า ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความที่พระอาพาธ มี
อันแล่นไปแห่งพระโลหิตเป็นสมุฏฐาน1 เกิดขึ้นแล้วแก่พระตถาคต ใน
เมื่อพระองค์ทรงปลงอายุสังขารแล้ว ทรงดำริว่า " การที่เราไปสู่สำนัก
ของพระศาสดาแล้ว ทำคิลานุปัฏฐากย่อมควร " ทรงละอัตภาพประมาณ
3 คาวุตเสีย เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทรงนวดพระบาทด้วย
พระหัตถ์ทั้งสอง, ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสกะท้าวสักกะนั้นว่า " นั่นใคร ? "
ท้าวสักกะ. ข้าพระองค์ คือท้าวสักกะ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ท่านมาทำไม ?
ท้าวสักกะ. มาเพื่อบำรุงพระองค์ผู้ประชวร พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ท้าวสักกะ กลิ่นมนุษย์ย่อมปรากฏแก่เทวดาทั้งหลาย
เหมือนซากศพที่ผูกไว้ที่คอ ตั้งแต่ 100 โยชน์ขึ้นไป, ท่านจงไปเถิด,
ภิกษุผู้คิลานุปัฏฐากของเรามี.
ท้าวสักกะกราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ดำรง
อยู่ในที่สุดแห่ง 8 หมื่น 4 พันโยชน์ สูดกลิ่นแห่งศีลของพระองค์มา
แล้ว. ข้าพระองค์นี่แหละจักบำรุง " แล้วไม่ให้บุคคลอื่นถูกต้องภาชนะ
พระบังคนหนักของพระศาสดาแม้ด้วยมือ ทรงทูนไว้บนพระเศียรทีเดียว
1. อาพาธลงพระโลหิต.
นำไปอยู่ ไม่ได้กระทำแม้อาการสักว่าการสยิ้วพระพักตร์, ได้เป็นดุจนำ
ภาชนะของหอมไป. ท้าวเธอปฏิบัติพระศาสดาอย่างนี้แล้ว ในเวลา
พระศาสดามีความสำราญนั่นแหละ จึงได้เสด็จไป.
ภิกษุสรรเสริญท้าวสักกะ
ภิกษุประชุมพูดกันขึ้นว่า " น่าสรรเสริญ ท้าวสักกเทวราชมีความ
สิเนหาในพระศาสดา, ท้าวเธอทรงละทิพยสมบัติ เห็นปานฉะนี้เสีย ทรง
นำภาชนะสำหรับรองพระบังคนหนักของพระศาสดาออกไปด้วยพระเศียร
หาทรงทำพระอาการมาตรว่าสยิ้วพระพักตร์ไม่ ดุจบุรุษผู้นำภาชนะอัน
เต็มด้วยของหอมออกไปอยู่ฉะนั้น ได้ทรงกระทำอุปัฏฐากแล้ว " พระศาสดา
ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอพูดอะไรกัน ? " ครั้นภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า "
จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ข้อซึ่งท้าวสักกเทวราชทำสิเนหาในเรานั้น
ไม่น่าอัศจรรย์. เพราะท้าวสักกเทวราชนี้ ฟังธรรมเทศนาแล้วเป็นโสดาบัน
ละความเป็นท้าวสักกะชรา ถึงความเป็นท้าวสักกะหนุ่ม เหตุอาศัยเรา;
แท้จริงเมื่อท้าวเธอเสด็จนั่งในท่ามกลางเทพบริษัท ณ อินทสาลคูหา ใน
กาลเมื่อตนถูกมรณภัยคุกคาม ทำคนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะข้างหน้า
เสด็จมา เราได้กล่าวว่า :-
" ดูก่อนท้าววาสวะ ท่านจงถามปัญหากะเรา,
ท่านปรารถนาปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในพระหฤทัย เรา
จะทำที่สุดแห่งปัญหานั้น ๆ ของท่านได้แน่แท้ "
เมื่อจะบรรเทาความสงสัยของท้าวเธอ จึงได้เเสดงธรรมเทศนา, ใน
กาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ทั้งหลายประมาณ 14 โกฎิ. ส่วน
ท้าวสักกเทวราชบรรลุโสดาปัตติผล ตามที่ประทับนั่งแล้วนั่นเอง เป็น
ท้าวสักกะหนุ่มแล้ว; เรามีอุปการะเป็นอันมากแก่ท้าวสักกเทวราชนั้น ด้วย
ประการอย่างนี้, ชื่อว่าความสิเนหาในเราของท้าวสักกเทวราชนั้น ไม่น่า
อัศจรรย์; ภิกษุทั้งหลาย ก็การพบเห็นเหล่าอริยบุคคลก็ดี การอยู่
ณ ที่เดียวกันกับเหล่าอริยบุคคลก็ดี ให้เกิดสุข, แต่ว่า กิจเช่นนั้นกับพวก
คนพาล ให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น " แล้วจึงได้ทรงภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า :-
8. สาหุ ทสฺสนมริยานํ สนฺนิวาโส สทา สุโข
อทสฺสเนน พาลานํ นิจฺจเม สุขี สิยา.
พาลสงฺคตจารี หิ ทีฆมทฺธาน โสจติ
ทุกฺโข พาเลหิ สํวาโส อมิตฺเตเนว สพฺพทา.
ธีโร จ สุขสํวาโส ญาตีนํว สมาคโม
ตสฺมา หิ
ธีรญฺจ ปญฺญญฺจ พหุสฺสุตญฺจ
โธรยฺหสีลํ วตวนฺตมริยํ
ตํ ตาทิสํ สปฺปุริสํ สุเมธํ
ภเชถ นกฺขตฺตปถํว จนฺทิมา.
" การพบเห็นเหล่าอริยบุคคล เป็นการดี, การอยู่
ร่วม (ด้วยเหล่าอริยบุคคล) ให้เกิดสุขทุกเมื่อ, บุคคล
พึงเป็นผู้มีสุข เป็นนิตย์แท้จริง เพราะไม่พบเห็น
พวกคนพาล, เพราะว่า คนเที่ยวสมาคมกับคนพาล
ย่อมโศกเศร้าตลอดกาลยืดยาวนาน, ความอยู่ร่วมกับ
พวกคนพาลให้เกิดทุกข์เสมอไป เหมือนความอยู่ร่วม
ด้วยศัตรู, ปราชญ์มีความอยู่ร่วมกันเป็นสุข เหมือน
สมาคมเเห่งญาติ. เพราะฉะนั้น แล
ท่านทั้งหลาย จงคบหาผู้ที่เป็นปราชญ์ และมี
ปัญญาทั้งเป็นพหุสูต นำธุระไปเป็นปกติ มีวัตร เป็น
อริยบุคคล เป็นสัตบุรุษมีปัญญาดี เช่นนั้น เหมือน
พระจันทร์ ซ่องเสพคลองแห่งนักขัตฤกษ์ฉะนั้น."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาหุ ได้แก่ เป็นการยังประโยชน์
ให้สำเร็จ คือว่าเป็นความงาม ได้แก่กรรมอันเจริญ.
บทว่า สนฺนิวาโส ความว่า หาใช่เพียงการพบพระอริยบุคคล
เหล่านั้นอย่างเดียวเป็นการดีไม่ ถึงความเป็น คือเป็นต้นว่าความนั่งร่วม
กับพระอริยบุคคลเหล่านั้น ณ ที่เดียวกันก็ดี ความเป็นคืออันได้เพื่อจะ
กระทำวัตรและปฏิวัตรแก่พระอริยบุคคลเหล่านั้นก็ดี เป็นการดีโดยแท้.
บทว่า พาลสงฺคตจารี หิ ความว่า เพราะผู้ใดเที่ยวร่วมกับคนพาล.
ประชุมบทว่า ทีฆมทฺธานํ เป็นต้น ความว่า ผู้นั้นถูกสหายพาล
พูดว่า " เจ้าจงมา, พวกเราจะกระทำกรรม มีอันตัดต่อเป็นต้น " เป็น
ผู้ร่วมฉันทะกับสหายพาลนั้น กระทำกรรมเหล่านั้นต้องกรรมกรณ์หลาย
อย่าง มีถูกตัดมือเป็นต้น ชื่อว่าย่อมโศกเศร้าสิ้นกาลยาวนาน.
บทว่า สพฺพทา ความว่า ขึ้นชื่อว่าการอยู่ ณ ที่เดียวกัน กับผู้เป็น
ศัตรูมีมือถือดาบก็ดี พวกสัตว์ร้ายมีอสรพิษเป็นต้นก็ดี ให้เกิดทุกข์เป็นนิตย์
ฉันใด, การอยู่ร่วมกับคนพาล (ก็) ฉันนั้นเหมือนกัน.