เมนู

ในภพหน้า ชื่อว่าย่อมกลับถึงบุคคลนั้นแหละผู้เป็นพาล ด้วยสามารถ
วิบากทุกข์ ฉันนั้นเหมือนกัน.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในพระอรหัตผล. พระธรรม-
เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องนายพรานสุนัขชื่อโกกะ จบ.

10. เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว1 [104]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระ
ชื่อติสสะผู้เข้าถึงสกุลนายช่างเเก้ว ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "คพฺภเมเก
อุปฺปชฺชนฺติ" เป็นต้น.

พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งแก้วให้นายช่างเจียระไน


ได้ยินว่า พระเถระนั้นฉัน (ภัต) อยู่ในสกุลของนายมณีการผู้หนึ่ง
สิ้น 12 ปี. ภรรยาและสามีในสกุลนั้นตั้งอยู่ในฐานะเพียงมารดาและบิดา
ปฏิบัติพระเถระแล้ว.
อยู่มาวันหนึ่ง นายมณีการกำลังนั่งหั่นเนื้อข้างหน้าพระเถระ. ใน
ขณะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงส่งแก้วมณีดวงหนึ่งไป ด้วยรับสั่งว่า
" นายช่างจงจัดและเจียระไนแก้วมณีนี้แล้วส่งมา. " นายมณีการรับแก้วนั้น
ด้วยมือทั้งเปื้อนโลหิต วางไว้บนเขียงแล้ว ก็เข้าไปข้างในเพื่อล้างมือ.

แก้วมณีหายนายช่างสืบหาคนเอาไป


ก็ในเรือนนั้น นกกะเรียนที่เขาเลี้ยงไว้มีอยู่. นกนั้นกลืนกินแก้ว
มณีนั้น ด้วยสำคัญว่าเนื้อ เพราะกลิ่นโลหิต เมื่อพระเถระกำลังเห็นอยู่
เทียว. นายมณีการมาแล้ว เมื่อไม่เห็นแก้วมณีจึงถามภริยา ธิดาและบุตร
โดยลำดับว่า " พวกเจ้าเอาแก้วมณีไปหรือ ? " เมื่อชนเหล่านั้นกล่าวว่า
" มิได้เอาไป " จึงคิดว่า " (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป จึงปรึกษากับ
ภริยาว่า " แก้วมณี (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป " ภริยาบอกว่า " แน่ะ
นาย นายอย่ากล่าวอย่างนั้น. ดิฉันไม่เคยเห็นโทษอะไร ๆ ของพระเถระ
1. หมายความถึงผู้สนิทสนมกับสกุล ได้รับอุปการะจากสกุลนั้น.

เลยตลอดกาลประมาณเท่านี้. ท่านย่อมไม่ถือเอาแก้วมณี (แน่นอน)."
นายมณีการถามพระเถระว่า " ท่านขอรับ ท่านเอาแก้วมณีในที่นี้ไปหรือ? "
พระเถระ. เราไม่ได้ถือเอาดอก อุบาสก.
นายมณีการ. ท่านขอรับ ในที่นี้ไม่มีคนอื่น. ท่านต้องเอาไปเป็น
แน่, ขอท่านจงให้แก้วมณีแก่ผมเถิด.
เมื่อพระเถระนั้นไม่รับ, เขาจึงพูดกะภริยาว่า " พระเถระเอาแก้วมณี
ไปแน่, เราจักบีบคั้นถามท่าน. "
ภริยาตอบว่า " แน่ะนาย นายอย่าให้พวกเราฉิบหายเลย, พวกเรา
เข้าถึงความเป็นทาสเสียยังประเสริฐกว่า, ก็การกล่าวหาพระเถระผู้เห็น
ปานนี้ไม่ประเสริฐเลย. "

ช่างแก้วทำโทษพระติสสเถระเพราะเข้าใจผิด


นายช่างแก้วนั้นกล่าวว่า " พวกเราทั้งหมดด้วยกัน เข้าถึงความเป็น
ทาส ยังไม่เท่าค่าแก้วมณี " ดังนี้แล้ว จึงถือเอาเชือกพันศีรษะพระเถระ
ขันด้วยท่อนไม้. โลหิตไหลออกจากศีรษะหูและจมูกของพระเถระ. หน่วย
ตาทั้งสองได้ถึงอาการทะเล้นออก, ท่านเจ็บปวด1มาก ก็ล้มลง ณ ภาคพื้น.
นกกะเรียนมาด้วยกลืนโลหิต ดื่มกินโลหิต.

ช่างแก้วเตะนกกะเรียนตายแล้วจึงทราบความจริง


ขณะนั้น นายมณีการจึงเตะมันด้วยเท้าแล้วเขี่ยไปพลางกล่าวว่า
" มึงจะทำอะไรหรือ ? " ด้วยกำลังความโกรธที่เกิดขึ้นในพระเถระ. นก
กะเรียนนั้นล้มกลิ้งตายด้วยการเตะทีเดียวเท่านั้น. พระเถระเห็นนกนั้น จึง
กล่าวว่า " อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของเราให้หย่อนก่อนแล้ว
1. เวทนาปฺปตฺโต ถึงซึ่งเวทนา.

จงพิจารณาดูนกกะเรียนนี้ (ว่า) มันตายแล้วหรือยัง ?" ลำดับนั้น นาย
ช่างแก้วจึงกล่าวกะท่านว่า "แม้ท่านก็จักตายเช่นนกนั่น."
พระเถระตอบว่า "อุบาสก แก้วมณีนั้น อันนกนี้กลืนกินแล้ว.
หากนกนี้จักไม่ตายไซร้, ข้าพเจ้าแม้จะตาย ก็จักไม่บอกแก้วมณีแก่ท่าน."

ช่างแก้วได้แก้วมณีคืนแล้วขอขมาพระติสสเถระ


เขาแหวะท้องนกนั้นพบแก้วมณีแล้ว งกงันอยู่ มีใจสลด หมอบลง
ใกล้เท้าของพระเถระ กล่าวว่า " ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอดโทษแก่ผม, ผม
ไม่รู้อยู่ ทำไปแล้ว."
พระเถระ. อุบาสก โทษของท่านไม่มี. ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษ
ของวัฏฏะเท่านั้น. เราอดโทษแก่ท่าน.
นายมณีการ. ท่านขอรับ หากท่านอดโทษแก่ผมไซร้. ท่านจงนั่ง
รับภิกษาในเรือนของผมตามทำนองเถิด.

พระเถระเห็นโทษของการเข้าชายคาเรือน


พระเถระกล่าวว่า " อุบาสก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจักไม่เข้า
ไปภายในชายคาเรือนของผู้อื่น เพราะว่านี้เป็นโทษแห่งการเข้าไปภายใน
เรือนโดยตรง. ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตู
เรือนเท่านั้น รับภิกษา " ดังนี้แล้ว สมาทานธุดงค์กล่าวคาถานี้ว่า
" ภัตในทุกสกุล ๆ ละนิดหน่อย อันเขาหุงไว้
เพื่อมุนี เราจักเที่ยวไปด้วยปลีแข้ง, กำลังแข้งของ
เรายังมีอยู่. "

ก็แล พระเถระ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ต่อกาลไม่นานักก็ปรินิพพาน
ด้วยพยาธินั้นนั่นเอง.

คนทำบาปกับคนทำบุญมีคติต่างกัน


นกกะเรียนได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภริยาของนายช่างแก้ว. นาย
ช่างแก้วทำกาละแล้ว ก็บังเกิดในนรก. ภริยาของนายช่างแก้วทำกาละ
แล้ว เกิดในเทวโลก เพราะความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนในพระเถระ.
ภิกษุทั้งหลายทูลถามอภิสัมปรายภพของชนเหล่านั้น กะพระศาสดา.
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ ย่อม
เกิดในครรภ์. บางจำพวกทำกรรมลามก ย่อมเกิดในนรก. บางจำพวก
ทำกรรมดีแล้ว ย่อมเกิดในเทวโลก. ส่วนผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน "
ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
10. คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา.
" ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์, ผู้มี
กรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก, ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่ง
สุคติ ย่อมไปสวรรค์ ผู้ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน. "

แก้อรรถ


ในบทเหล่านั้น ครรภ์มนุษย์เทียว พระศาสดาทรงประสงค์เอาใน
บทว่า คพฺภํ นี้. คำที่เหลือในคาถานี้มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว จบ.

11. เรื่องชน 3 คน [105]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภชน 3 คน
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ" เป็นต้น.

กาถูกไฟไหม้ตายในอากาศ


ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ภิกษุหลายรูป
มาเพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา เข้าไปสู่บ้านตำบลหนึ่ง เพื่อบิณฑบาต.
ชนชาวบ้านรับบาตรของภิกษุเหล่านั้นแล้ว นิมนต์ให้นั่งในโรงฉัน ถวาย
ข้าวยาคูและของเคี้ยว เมื่อรอเวลาบิณฑบาต นั่งฟังธรรมแล้ว. ในขณะ
นั้น เปลวไฟลุกขึ้นจากเตาของหญิงคนหนึ่ง ผู้หุงข้าวแล้วปรุงสูปะและ
พยัญชนะอยู่ ติดชายคา. เสวียนหญ้าอันหนึ่งปลิวขึ้นจากชายคานั้น อัน
ไฟไหม้อยู่ลอยไปสู่อากาศ. ในขณะนั้น กาตัวหนึ่งบินมาทางอากาศ สอด
คอเข้าไปในเสวียนหญ้านั้น อันเกลียวหญ้าพันแล้ว ไหม้ตกลงที่กลาง
บ้าน. พวกภิกษุเห็นเหตุนั้นคิดว่า " โอ กรรมหนัก, ผู้มีอายุ ท่าน
ทั้งหลายจงดูอาการแปลกที่กาถึงแล้ว, เว้นพระศาสดาเสีย ใครจักรู้กรรม
ที่กานี้ทำแล้ว พวกเราจักทูลถามกรรมของกานั้นกะพระศาสดา " ดังนี้
แล้ว ก็พากันหลีกไป.

ภรรยานายเรือถูกถ่วงน้ำ


เมื่อภิกษุอีกพวกหนึ่ง โดยสารเรือไป เพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา
เรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางสมุทร. พวกมนุษย์พากันคิดว่า " คนกาลกรรณี
พึงมีในเรือนี้. " ดังนี้แล้ว จึงแจกสลาก (ให้จับ). ก็ภรรยาของนายเรือ

ตั้งอยู่ในปฐมวัย (กำลัง) น่าดู สลากถึงแก่นางนั้น. พวกมนุษย์พากัน
กล่าวว่า " จงแจกสลากอีก. " แล้วให้เเจกถึง 3 ครั้ง. สลากถึงแก่นาง
นั้นคนเดียวถึง 3 ครั้ง. พวกมนุษย์แลดูหน้านายเรือ (เป็นทีจะพูดว่า)
" อย่างไรกัน ? นายครับ " นายเรือกล่าวว่า " ข้าพเจ้าไม่อาจให้มหาชน
ฉิบหาย เพื่อประโยชน์แก่นางนี้. พวกท่านจงทิ้งนางในน้ำเถิด. " นางนั้น
เมื่อพวกมนุษย์จับจะทิ้งน้ำ กลัวต่อมรณภัย ได้ร้องใหญ่แล้ว นายเรือ
ได้ยินเสียงร้องนั้น จึงกล่าวว่า " ประโยชน์อะไร ด้วยอาภรณ์ของนางนี้
(จะ) ฉิบหายเสีย (เปล่าๆ). พวกท่านจงเปลื้องเครื่องอาภรณ์ทั้งหมด ให้
นางนุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่งแล้วจงทิ้งนางนั้น. ก็ข้าพเจ้าไม่อาจดูนางนั้น ผู้ลอย
อยู่เหนือหลังน้ำได้, เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเอากระออมที่เต็มด้วยทราย
ผูกไว้ที่คอแล้ว โยนลงไปเสียในสมุทรเถิด (ทำ) โดยประการที่ข้าพเจ้าจะ
ไม่เห็นเขาได้. " พวกมนุษย์เหล่านั้น ได้กระทำตามนั้นเเล้ว. ปลาและ
เต่ารุมกินนางแม้นั้นในที่ตกนั่นเอง. พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็คิดว่า
" ใครคนอื่น เว้นพระศาสดาเสีย จักรู้กรรมของหญิงนั้นได้. พวกเราจะ
ทูลถามกรรมของหญิงนั้นกะพระศาสดา " ถึงถิ่นที่ประสงค์แล้ว จึงพากัน
ลงจากเรือหลีกไป.

ภิกษุ 7 รูป อดอาหาร 7 วันในถ้ำ


ภิกษุ 7 รูปอีกพวกหนึ่ง ไปจากปัจจันตชนบท เพื่อต้องการจะ
เฝ้าพระศาสดา เวลาเย็น เข้าไปสู่วัดแห่งหนึ่ง แล้วถามถึงที่พัก. ก็ในถ้ำ
แห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ 7 เตียง, เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้ถ้ำนั้นแล นอนบน
เตียงนั้นแล้ว. ตอนกลางคืน แผ่นหินเท่าเรือนยอดกลิ้งลงมาปิดประตูถ้ำ
ไว้ พวกภิกษุเจ้าของถิ่นกล่าวว่า " พวกเราให้ถ้ำนี้ถึงแก่ภิกษุอาคันตุกะ,