เมนู

แก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อ
ทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้น
แล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท


พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ
ถึงวิวาทกันไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้ แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลาย
ฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะ
เหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น การ
กระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ


52.3. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะส่อเสียดภิกษุ.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ

สิกขาบทวิภังค์


[256] ที่ชื่อว่า ส่อเสียด ขยายความว่า วัตถุสำหรับเก็บมาส่อเสียด
มีได้ด้วยอาการ 2 อย่าง คือ ของคนผู้ต้องการจะให้เขาชอบ 1 ของคนผู้
ประสงค์จะให้เขาแตกกัน 1.

ภิกษุเก็บเอาวัตถุสำหรับส่อเสียดมากล่าวโดยอาการ 10 อย่าง คือ
ชาติ 1 ชื่อ 1 โคตร 1 การงาน 1 ศิลป 1 โรค 1 รูปพรรณ 1 กิเลส 1
อาบัติ 1 คำด่า 1.

บทภาชนีย์


ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่กำเนิด มี 2 คือ กำเนิดทราม 1 กำเนิดอุกฤษฎ์ 1.
ที่ชื่อว่า กำเนิดทราม ได้แก่กำเนิดคนจัณฑาล กำเนิดคนจักสาน
กำเนิดพราน กำเนิดคนช่างหนัง กำเนิดคนเทดอกไม้ นี่ชื่อว่ากำเนิดทราม.
ที่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์ ได้แก่กำเนิดกษัตริย์ กำเนิดพราหมณ์
นี่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์. ฯลฯ*.
ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่ามี 2 คำ คำด่าทราม 1 คำด่าอุกฤษฏ์ 1.
ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ เป็นแพะ เป็นโค
เป็นลา เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวัง
ได้แต่ทุคติ คำด่าที่เกี่ยวด้วยยะอักษร ภะอักษร หรือนิมิตของชายและนิมิต
ของหญิง นี่ชื่อว่า คำด่าทราม.
ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่คำด่าว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด
เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวัง
ได้แต่สุคติ นี่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฎ์.

อุปสัมบันส่อเสียดอุปสัมบัน
พูดเหน็บแนมกระทบชาติทราม


[257] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็นชาติคนจัณฑาล...
* ที่ ฯลฯ ไว้นี้ หมายถึง นาม โคตรเป็นต้น พึงดูในสิกขาบทที่ 2 ข้อ 188

ชาติคนจักสาน. . . ชาติพราน. . .ชาติคนช่างหนัง. . .ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์


[258] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็นชาติกษัตริย์ . .
เป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบชื่อทราม


[259] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบัน ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ชื่อว่าอวกัณณกะ . . .
ชื่อชวกัณณกะ...ชื่อธนิฎฐกะ...ชื่อสวิฏฐกะ...ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์


[260] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าชื่อพุทธรักขิต ...
ชื่อธัมมรักขิต . . .ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบโคตรทราม


[261] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็น โกสิยโคตระ ...
ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์


[262] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ ถูกเหน็บแนมท่านว่า เป็นโคตมโคตร...

โมคคัลลานโคตร . . .กัจจายนโคตร. . .วาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบการงานทราม


[263] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงาน
ช่างไม้. . . เป็นคนทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์


[264] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงานไถนา
. . . ทำงานค้าขาย . . . ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบศิลปทราม


[265] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่าง
จักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ . . . มีวิชาการช่างหูก . . .มีวิชาการช่างหนัง .. .
. . .มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบศิลปอุกฤษฏ์


[266] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่างนับ
. . .มีวิชาการช่างคำนวณ . . . มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบโรคทราม


[267] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเรื้อน...
โรคฝี. . โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . .. โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์


[268] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอำคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเบาหวาน
ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม


[269] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนสูงเกินไป...
ต่ำเกินไป. . . ดำเกินไป.. .ขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์


[270] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนไม่สูงนัก...
ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก. . .ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม


[271] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ถูกราคะกลุ้มรุม
. . .ถูกโทสะย่ำยี . . . ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสอุกฤษฏ์


[272] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ปราศจากราคะ
...ปราศจากโทสะ. . . ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติทราม


[273] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ต้องอาบัติ
ปาราชิก . . . อาบัติสังฆาทิเสส . . .อาบัติถุลลัจจัย . . .อาบัติปาจิตตีย์. . . อาบัติ
ปาฎิเทสนียะ . . .อาบัติทุกกฏ. . .อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติอุกฤษฏ์


[274] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ต้องโสดาบัติ ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม


[275] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นอูฐ. . .เป็นแพะ
.... เป็นโค . . . เป็นลา. . . . เป็นสัตว์ดิรัจฉาน . . . เป็นสัตว์นรก สุคติของท่าน
ไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์


[276] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นบัณฑิต . . .เป็น

คนฉลาด . . . เป็นคนมีปัญญา. . . เป็นพหูสูต. . . เป็นธรรมกถึก ทุคติของ
ท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก


[277] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล .. . เป็นชาติคนจักสาน .. . เป็นชาติพราน
...เป็นชาติคนช่างหนัง. .. เป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่
ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


[278] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด
ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์. . . ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้น
ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่อทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกชื่ออวกัณณกะ . . . ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฎฐกะ . ..
ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง
อาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกชี่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ภิกษุ
นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นโกสิยโคตร . . . เป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่า
คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นโคตมโคตร . . . บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร . . . บางพวกเป็น
กัจจายนโคตร . . . บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น
ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นคนทำงานช่างไม้. .. เป็นคนทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุ
นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นคนทำงานไถนา . . . เป็นคนทำงานค้าขาย . . . เป็นคนทำงานเลี้ยงโค
ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่านดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ
คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน . . . มีวิชาการช่างหม้อ . . . มีวิชาการช่างหูก . . .
มีวิชาการช่างหนัง. . . มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น
ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกมีวิชาการช่างนับ . . . มีวิชาการช่างคำนวณ. . . มีวิชาการช่างเขียน
ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนบกระทบโรคทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมมันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นโรคเรื้อน. . . โรคฝี. . . โรคกลาก. . . โรคมองคร่อ. . . โรค

ลมบ้าหมู ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ
ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกเป็นโรคเบาหวาน . . . ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้
ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกสูงเกินไป . . . ต่ำเกินไป . . . ดำเกินไป . . . ขาวเกินไป . . . ภิกษุนั้น
ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า. มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกไม่สูงนัก.. . ไม่ต่ำนัก . . . ไม่ดำนัก. . . ไม่ขาวนัก . . . ภิกษุนั้นไม่ว่า
คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี. . . ถูกโมหะครอบงำ. . . ภิกษุนั้น
ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกปราศจากราคะ . . . ปราศจากโทสะ . . . ปราศจากโมหะ . . . ภิกษุนั้น
ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกต้องอาบัติปาราชิก . . . อาบัติสังฆาทิเสส . . .อาบัติถุลลัจจัย . . . อาบัติ
ปาจิตตีย์ . . . อาบัติปาฏิเทสนียะ .. . อาบัติทุกกฏ . . .อาบัติทุพภาสิต ภิกษุนั้น
ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกต้องโสดาบัติ. . . ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง
อาบัติทุกกฏ ทุก ๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม ว่ามีบางพวก


อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก
แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ . . . ดังแพะ. . . ดังโค. . . ดังลา. . . ดังสัตว์
ดิรัจฉาน. . . ดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวัง
ได้แต่ทุคติ. . . ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ
ทุก ๆ คำพูด.