พูดล้อยกยอกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกับอนุปสัมบัน
มีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะ
อนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ . . . มีวิชาการช่างคำนวณ. . . มีวิชาการช่างเขียน
ว่าท่านมีวิชาการช่างนบ . . . ช่างคำนวณ . . . ช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้อง
อาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน
. . . โรคฝี . . . โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . . .โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็น
โรคเรื้อน . .. โรคฝี . . . โรคกลาก . . .โรคมองคร่อ . . .โรคลมบ้าหมู ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศแต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรค
เบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน. . .โรคฝี. . . โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . . .
โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน
. . .โรคฝี . . .โรคกลาก . . . โรคมองคร่อ . . .โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรค
เบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อยกยอกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีโรคอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรค
เบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้
สูงเกินไป. . .ต่ำเกินไป . . .ดำเกินไป . . . ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก. . .
ต่ำนัก. . .ดำนัก. . .ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด
พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน
ผู้ไม่สูงนัก.. .ไม่ต่ำนัก ...ไม่ดำนัก . . .ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก.. .
ต่ำนัก... คำนัก.. .ขาวนัก. . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน
ผู้สูงเกินไป. . .ต่ำเกินไป . . .ดำเกินไป . ..ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก
. . . ไม่ต่ำนัก . . . ไม่ดำนัก . . .ไม่ขาวนัก . . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีรูปพรรณอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน
ผู้ไม่สูงเกินไป . . . ไม่ต่ำเกินไป . . . ไม่ดำเกินไป . . . ไม่ขาวเกินไป ว่าท่าน
เป็นต้นไม่สูงนัก. . . ไม่ต่ำนัก. .. ไม่ดำนัก. .. ไม่ขาวนัก. . . ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะ
กลุ้มรุม . . . ถูกโทสะย่ำยี . . . ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่าน
ถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมี
กิเลสอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทรามคือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจาก
ราคะ . . . ปราศจากโทสะ. . . ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่าน
ถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ. ..ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะ
กลุ้มรุม . . . ถูกโทสะย่ำยี . . . ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านปราศจากราคะ. . .
ปราศจากโทสะ. . . ปราศจากโมหะ. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
มีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจาก
ราคะ. . . ปราศจากโทสะ . . . ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ. . .
ปราศจากโทสะ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้อง
อาบัติปาราชิก . . . ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส . . . ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย . . . ผู้ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ. .. ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้อง
อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก . . . สังฆาทิเสส . . . ถุลลัจจัย . . .
ปาจิตตีย์. . . ปาฎิเทสนียะ. . . ทุกกฏ . . . ทุพภาสิตดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกับอนุปสัมบัน
ผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้อง
โสดาบัติ ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก . . .อาบัติสังฆาทิเสส . . .อาบัติถุลลัจจัย .. .
อาบัติปาจิตตีย์... อาบัติปฏิเทสนียะ. . . อาบัติทุกกฏ.. . อาบัติทุพภาสิต ดังนี้
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้อง
อาบัติปาราชิก . . . อาบัติสังฆาทิเสส . . . .อาบัติถุลลัจจัย . . . อาบัติปาจิตตีย์ ...
อาบัติปาฎิเทสนียะ . . . อาบัติทุกกฏ. . . อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องโสดาบัติ
ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้
ต้องโสดาบัติ ว่าท่านต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ
คำพูด.
พูดล้อกดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน
ผู้มีความประพฤติดังอูฐ... แพะ. .. โค.. . ลา. .. สัตว์ดิรัจฉาน. . . มีความ
ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ . . .แพะ . . .โค .. . ลา . . . สัตว์ดิรัจฉาน
ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ...ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้มีความประพฤติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน
ผู้เป็นบัณฑิต. .. ผู้ฉลาด . . . ผู้มีปัญญา . .. ผู้พหูสูต . .. ผู้ธรรมกถึก ว่าท่าน
เป็นอูฐ. . . แพะ. . .โค .. . ลา . . . สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติ
ของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ. ..ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้มีความพระพฤติดังอูฐ . . . แพะ . . . โค . . . ลา . . . สัตว์ดิรัจฉาน . . . มีความ
พระพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ... คนฉลาด ... คนมีปัญญา...
พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ...
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบัน
ผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่าน
เป็นบัณฑิต... คนฉลาด... คนมีปัญญา. . . พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก
ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
อุปสัมบันล้ออนุปสัมบัน
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก
[251] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท
อันปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด
เปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติ
คนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวก
เป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน
ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนั้น
คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บาง-
พวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่ามีบางพวก
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวก
ชื่อชวกัณณกะ บางพวกชื่อธนิฎฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อ
กุลวัฑฒกะ...ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวก
ชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อสังฆรักขิต . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสันบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวก
เป็นภารทวาชโคตร. . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร.. .
โมคคัลลานโคตร . . . กัจจายนโคตร . . . วาเสฏฐโคตร . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ . . .ทำงาน
เทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา . . . ทำการ
ค้าขาย . . . ทำงานเลี้ยงโค . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน
. . . ช่างหม้อ . . . ช่างหูก . . . ช่างหนัง . . . ช่างกัลบก . . . ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ...
ช่างคำนวณ. . . ช่างเขียน. . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน โรคฝี.. .
. . .โรคลาก .. .โรคมองคร่อ...โรคลมบ้าหมู. . .ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ
คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้
ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่ามีบางพวก
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป.. .ต่ำเกินไป
. . .ดำเกินไป. . . ขาวเกินไป...ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก . .. ไม่ต่ำนัก
ไม่ดำนัก .. .ไม่ขาวนัก. ..ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทรามว่ามีบางพวก
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม.. ถูก
โทสะย่ำยี . ..ถูกโมหะครอบงำ...ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ...
ปราศจากโทสะ. . .ปราศจากโมหะ. . . ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ว่ามีบางพวก
. . . มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก
. . . อาบัติสังฆาทิเสส . . .อาบัติถุลลัจจัย . . . อาบัติปาจิตตีย์ . . .อาบัติปาฎิ-
เทสนียะ .. .อาบัติทุกกฏ . .. ต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต
ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องโสดาบัติ ดังนี้
เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าพวกไรกันแน่
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ
. . . ดังแพะ . . .โค . . . ดังลา . . . ดังสัตว์ดิรัจฉาน . . .ดังสัตว์นรก สุคติ
ของท่านพวกนั้นไม่มี ท่านพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้อง
อาบัติทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
. . .มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต ...เป็น
คนฉลาด ...เป็นคนมีปัญญา ...เป็นพหูสูต ...เป็นธรรมกถึก ทุคติของ
ท่านพวกนั้นไม่มี ท่านพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ
ทุพภาสิต ทุก ๆ คำพูด.