เมนู

11. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี [147]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรของ
ท่านอนาถบิณฑิกะ ชื่อว่า กาละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ปฐพฺยา
เอกรชฺเชน "
เป็นต้น.

บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม


ได้ยินว่า นายกาละนั้นเป็นบุตรเศรษฐี ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศรัทธา
เช่นนั้น ก็ไม่ปรารถนาจะไปสู่สำนักของพระศาสดาเลย. ไม่ปรารถนาจะฟัง
ธรรม. ไม่ปรารถนาจะทำการขวนขวายแก่สงฆ์; แม้ถูกบิดาพูดว่า " เจ้า
อย่าทำอย่างนี้ พ่อ " ก็ไม่ฟังคำของท่าน.
ลำดับนั้น บิดาของเขาคิดว่า เจ้ากาละนี้ เมื่อถือทิฏฐิเห็นปานนี้
เที่ยวไป จักเป็นผู้มีอเวจีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า; ก็เมื่อเรายังเห็นอยู่ บุตร
ของเราพึงไปสู่นรก, ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราเลย; ก็ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่เพ่ง
เล็งเพราะการให้ทรัพย์ ไม่มีในโลกนี้เลย, เราจักทำลายทิฏฐิของบุตรนั้น
ด้วยทรัพย์."
ลำดับนั้น เศรษฐีพูดกะนายกาละนั้นว่า " พ่อ เจ้าจงเป็นผู้รักษา
อุโบสถ ไปสู่วิหารฟังธรรมแล้วมาเถิด เราจักให้กหาปณะ 100 แก่เจ้า."
กาละ. จักให้หรือ ? พ่อ.
เศรษฐี. จักให้ ลูก.
นายกาละนั้น รับปฏิญญา 3 ครั้งแล้ว เป็นผู้รักษาอุโบสถ ได้ไป

สู่วิหารแล้ว. แต่กิจด้วยการฟังธรรมของเขาไม่มี; เขานอนในที่ตามความ
สำราญแล้ว ได้ไปบ้านแต่เช้าตรู่. ลำดับนั้น บิดาของเขาพูดว่า " บุตร
ของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ, ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาแก่เขา
เร็ว " ดังนี้แล้ว ก็สั่งคนใช้ให้ ๆ. นายกาละนั้นห้ามอาหารเสีย ด้วย
พูดว่า " เรายังมิได้รับกหาปณะจักไม่บริโภค. " ลำดับนั้น บิดาของเขา
เมื่ออดทนการรบกวนไม่ได้ จึงให้ห่อกหาปณะแล้ว. นายกาละนั้น ต่อ
รับกหาปณะนั้นไว้ด้วยมือแล้ว จึงบริโภคอาหาร.
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เศรษฐีสั่งเขาไป ด้วยพูดว่า " พ่อ เราจักให้
กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า. เจ้ายืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอา
บทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา. เขาไปวิหาร ยืนตรงพระพักตร์
ของพระศาสดา ได้เป็นผู้ใคร่จะเรียนเอาบทแห่งธรรม บทเดียวเท่านั้น
แล้วหนีไป. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงทำอาการ คือการกำหนดไม่ได้
แก่เขา. เขากำหนดบทนั้นไม่ได้เเล้ว จึงได้ยืนฟังแล้วเทียว ด้วยคิดว่า
" เราจักเรียนบทต่อไป. " นัยว่าชนทั้งหลาย ต่อฟังอยู่ ด้วยคิดว่า " เรา
จักเรียนให้ได้ ชื่อว่าฟังโดยเคารพ.
ก็ธรรมดา เมื่อชนทั้งหลายฟังอยู่อย่างนี้, ธรรมย่อมให้โสดา-
ปัตติมรรคเป็นต้น. ถึงนายกาละนั้นก็ฟังอยู่ด้วยคิดว่า " จักเรียนให้ได้."
แม้พระศาสดาก็ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำลังยืนฟัง
อยู่เทียว ด้วยคิดว่า " จักเรียนต่อไป " จึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.

บรรลุโสดาปัตติผลแล้วรับค่าจ้าง


ในวันรุ่งขึ้น นายกาละนั้นไปสู่กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์

มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขทีเดียว. มหาเศรษฐีพอเห็นเขาก็คิดว่า " วันนี้
เราชอบใจอาการของบุตร." แม้นายกาละนั้นก็ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า
" โอหนอ วันนี้ บิดาของเราไม่พึงให้กหาปณะในที่ใกล้พระศาสดา
พึงปกปิดความที่เราเป็นผู้รักษาอุโบสถเพราะเหตุแห่งกหาปณะไว้. " แต่
พระศาสดา ได้ทรงทราบความที่นายกาละนั้น เป็นผู้รักษาอุโบสถ เพราะ
เหตุแห่งกหาปณะแล้วในวันวาน มหาเศรษฐีให้ถวายข้าวต้มแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว จึงสั่งให้ ๆ แม้แก่บุตร. นายกาละนั้นเป็น
ผู้นั่งนิ่งเทียว ดื่มข้าวต้ม เคี้ยวของควรเคี้ยว บริโภคภัต.
ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระศาสดา มหาเศรษฐีให้บุคคลวางห่อ
กหาปณะพันหนึ่งไว้ตรงหน้าบุตรแล้ว พูดว่า " พ่อ พ่อพูดว่า 'จักให้'
กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า' จึงให้เจ้าสมาทานอุโบสถ ส่งไปวิหาร นี้กหา-
ปณะพันหนึ่งของเจ้า. " นายกาละนั้น เห็นกหาปณะที่บิดาให้เฉพาะพระ-
พักตร์ของพระศาสดา ละอายอยู่ จึงพูดว่า " ผมไม่ต้องการด้วยกหาปณะ
ทั้งหลาย " แม้ถูกบิดาพูดว่า " จงรับเถิด พ่อ " ก็ไม่รับแล้ว.

โสดาปัตติผลเลิศกว่าสมบัติทุกอย่าง


ลำดับนั้น บิดาของเขาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ ข้าพระองค์ ชอบใจอาการของบุตร " เมื่อ
พระศาสดาตรัส ถามว่า " อะไร ? มหาเศรษฐี " จึงกราบทูลว่า " ใน
วันก่อน บุตรของข้าพระองค์นี้ อันข้าพระองค์พูดว่า 'เราจักให้กหาปณะ
10 แก่เจ้า ' แล้วส่งไปวิหาร ในวันรุ่งขึ้น ยังไม่ได้รับกหาปณะแล้ว

ไม่ปรารถนาจะบริโภค; แต่วันนี้ เขาไม่ปรารถนากหาปณะแม้ที่ข้าพระ-
องค์ให้. " พระศาสดาตรัสว่า " อย่างนั้น มหาเศรษฐี. วันนี้ โสดาปัตติผล
นั่นแลของบุตรของท่าน ประเสริฐแม้กว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ
แม้กว่าสมบัติในเทวโลก และพรหมโลก " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-
11. ปฐพฺยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปจฺเจน โสตาปตฺติผลํ วรํ.
" โสดาปัตติผล ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราช
ในแผ่นดิน กว่าการไปสู่สวรรค์ และกว่าความเป็น
ใหญ่ในโลกทั้งปวง. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปฐพฺยา เอกรชฺเชน คือ
กว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. บาทพระคาถาว่า สคฺคสฺส คมเนน วา
ความว่า กว่าการกล่าวถึงสวรรค์ 26 ชั้น. บาทพระคาถาว่า สพฺพโลกา
ธิปจฺเจน
ความว่า กว่าความเป็นใหญ่ในโลก มีประมาณเท่านั้น ๆ คือ
ในโลกทั้งปวง พร้อมด้วยนาค ครุฑ และเวมานิกเปรต. บาทพระคาถาว่า
โสตาปตฺติผลํ วรํ ความว่า เพราพระพระราชา แม้เสวยราชสมบัติในที่มี
ประมาณเท่านั้น ก็เป็นผู้ไม่พ้นจากนรกเป็นต้นได้เลย ส่วนพระโสดาบัน
เป็นผู้มีประตูอบายอันปิดแล้ว แม้มีกำลังเพลากว่าพระโสดาบัน1ทั้งสิ้น ก็
1. พระโสดาบัน 3 พวก คือ สัตตักขัตตุปรมะ 1 โกลังโกละ 1 เอกพิชี 1. พวกแรกมีกำลัง
เพลากว่า 2 พวกหลัง.

ไม่เกิดในภพที่ 8; ฉะนั้น โสดาปัตติผลนั่นแล จึงประเสริฐ คือสูงสุด.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จบ.
โลกวรรครรรณนา จบ.
วรรคที่ 13 จบ.

คาถาธรรมบท


พุทธวรรค1ที่ 14


ว่าด้วยเรื่องพระพุทธเจ้า


[24] 1. กิเลสชาตมีราคะเป็นต้น อันพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า พระองค์ใดชนะแล้ว อันพระองค์ย่อมไม่-
กลับแพ้ กิเลสหน่อยหนึ่งในโลกย่อมไปหากิเลสชาต
ที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นชนะแล้วไม่ได้ พวกเจ้าจัก
นำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มี
ร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ตัณหามีข่ายซ่านไปตาม
อารมณ์ต่าง ๆ ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เพื่อ
นำไปในภพไหนๆ พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระ-
องค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอยไปด้วย
ร่องรอยอะไร.

2. พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเป็นปราชญ์ ขวน-
ขวายในฌาน ยินดีแล้วในธรรมที่เข้าไปสงบ ด้วย-
สามารถแห่งการออก แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ก็ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมพุทธเจ้าผู้มีสติเหล่านั้น
.
3. ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก ชีวิต
ของสัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ยาก การฟังพระสัทธรรม

1. วรรคนี้ มีอรรถกถา 9 เรื่อง.

เป็นของยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นการยาก.

4. ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึง
พร้อม ความทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำ
สอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ความอดทนต่อความ
อดกลั้น เป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลาย
ย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม ผู้ทำร้ายผู้อื่นไม่
ชื่อว่าบรรพชิต ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็น
สมณะ ความไม่กล่าวร้าย 1 ความไม่ทำร้าย 1
ความสำรวมในพระปาติโมกข์ 1 ความเป็นผู้รู้ประ-
มาณในภัตตาหาร 1 ที่นั่งที่นอนอันสงัด 1 ความ
ประกอบโดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต 1 นี่เป็นคำสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

5. ความอิ่มในกามทั้งหลาย ย่อมไม่มีเพราะฝน
คือกหาปณะ กามทั้งหลายมีรสอร่อยน้อย มีทุกข์
มาก บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้แล้ว ย่อมไม่ถึงควานยินดีใน
กามทั้งหลาย แม้ที่เป็นทิพย์ พระสาวกของพระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา.

6. มนุษย์เป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึง
ภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่ง สรณะ

นั่นแลไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัย
สรณะนั่นย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนบุคคล
ใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง
ย่อมเห็นอริยสัจ 4 (คือ) ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์
ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ 8 อันประเสริฐ
ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบ
สรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษม สรณะนั่นอุดม
เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ได้.

7. บุรุษอาชาไนยหาได้ยาก (เพราะว่า) บุรุษ
อาชาไนยนั้น ย่อมไม่เกิดในที่ทั่วไป บุรุษอาชาไนย
นั้นเป็นนักปราชญ์ ย่อมเกิดในตระกูลใด ตระกูลนั้น
ย่อมถึงความสุข.

8. ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งทลาย เป็น
เหตุนำสุขมา การแสดงธรรมของสัตบุรุษเป็นเหตุนำ
สุขมา ความพร้อมเพรียงของหมู่เป็นเหตุนำสุขมา
ความเพียรของชนผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นเหตุนำสุข
มา.

9. ใครๆไม่อาจเพื่อจะนับบุญของบุคคลผู้บูชาอยู่
ซึ่งท่านผู้ควรบูชา คือพระพุทธเจ้า หรือว่าพระสาวก
ทั้งหลายด้วย ผู้ก้าวล่วงปัญจธรรม เครื่องเนิ่นช้า
ได้แล้ว ผู้มีความเศร้าโศกและความคร่ำครวญ อัน

ข้ามพ้นแล้ว (หรือว่า) ของบุคคลผู้บูชาอยู่ ซึ่งท่าน
ผู้ควรบูชาเช่นนั้นเหล่านั้น ผู้นิพพานแล้ว ไม่มีภัย
แต่ที่ไหน ๆ ด้วยการนับแม้วิธีไร ๆ ก็ตาม ว่าบุญนี้
มีประมาณเท่านี้.

จบพุทธวรรคที่ 14

14. พุทธวรรควรรณนา


1. เรื่องมารธิดา [148]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ที่โพธิมัณฑสถาน ทรงปรารภธิดามาร
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ยสฺส ชิตํ " เป็นต้น.

พราหมณ์หาสามีให้ลูกสาว


ก็พระศาสดา ทรงยังพระธรรมเทศนาให้ตั้งขึ้นที่กรุงสาวัตถีแล้ว
ตรัสแก่พราหมณ์ชื่อมาคันทิยะ ในเเคว้นกุรุอีก.
ทราบว่า ในแคว้นกุรุ ธิดาของมาคันทิยพราหมณ์ ชื่อว่ามาคันทิยา
เหมือนกัน ได้เป็นผู้มีรูปงามเลอโฉม. พราหมณ์มหาศาลเป็นอันมาก
และเหล่าขัตติยมหาศาลอยากได้นางมาคันทิยานั้น จึงส่งข่าวไปแก่มาคัน-
ทิยะว่า " ขอจงให้ธิดาแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด. " แม้มาคันทิยพราหมณ์
ก็ห้ามพราหมณ์มหาศาล และขัตติยมหาศาลเสียทั้งหมดเหมือนกันว่า " พวก
ท่าน ไม่สมควรแก่ธิดาของข้าพเจ้า. " ต่อมาวันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่ง
พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นมาคันทิยพราหมณ์เข้าไปภายใน
แห่งข่ายคือพระญาณของพระองค์ จึงทรงใคร่ครวญว่า " จักมีเหตุอะไร
หนอ ? " ได้ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งมรรคและผลทั้ง 3 ของพราหมณ์และ
นางพราหมณี. ฝ่ายพราหมณ์ก็บำเรอไฟอยู่เป็นนิตย์ ภายนอกบ้าน. พระ-
ศาสดาได้ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จไปยังที่นั้นแต่เช้าตรู่. พราหมณ์
ตรวจดูรูปสิริของพระศาสดา พลางคิดว่า " ขึ้นชื่อว่าบุรุษในโลกนี้ ที่จะ