ลำดับนั้น พระศาสดา ประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ 2 ว่า
" ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว " แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไป
ว่า " เมื่อเช่นนั้น. เธอ อันเราถามว่า ' ไม่ทราบหรือ ? ;' เพราะเหตุไร
จึงกล่าวว่า 'ทราบ? "
กุมาริกา. พระเจ้าข้า หม่อมฉันย่อมทราบภาวะคือความตายของ
หม่อมฉันเท่านั้น, เหตุนั้น จึงกราบทูลอย่างนั้น.
ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่ 3 ว่า
" ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว " แล้วตรัสถามแม้ข้อต่อไป
ว่า " เมื่อเป็นเช่นนั้น, เธอ อันเราถามว่า ' เธอย่อมทราบหรือ ?' เพราะ
เหตุไร จึงพูดว่า 'ไม่ทราบ ? '
กุมาริกา. หม่อมฉันย่อมทราบแต่ภาวะคือความตายของหม่อมฉัน
เท่านั้น พระเจ้าข้า แต่ย่อมไม่ทราบว่า จักตายในเวลากลางคืน กลางวัน
หรือเวลาเช้าเป็นต้น ในกาลชื่อโน้น เพราะเหตุนั้น จึงพูดอย่างนั้น. "
คนมีปัญญาชื่อว่ามีจักษุ
ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการครั้งที่ 4 แก่นางว่า " ปัญหา
อันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว " แล้วตรัสเตือนบริษัทว่า
พวกท่านย่อมไม่ทราบถ้อยคำชื่อมีประมาณเท่านี้ ที่นางกุมาริกานี้กล่าว
แล้ว, ย่อมโพนทะนาอย่างเดียวเท่านั้น; เพราะจักษุ คือปัญญาของชน
เหล่าใดไม่มี. ชนเหล่านั้นเป็น (ดุจ) คนบอดทีเดียว; จักษุคือปัญญา
ของชนเหล่าใดมีอยู่. ชนเหล่านั้นนั่นแล เป็นผู้มีจักษุ " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า :-
7. อนฺธภูโต อยํ โลโก ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ
สกุนฺโต1 ชาลมุตฺโตว อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ.
" สัตว์โลกนี้เป็นเหมือนคนตาบอด, ในโลกนี้
น้อยคนนัก จะเห็นแจ้ง, น้อยคนนักจะไปในสวรรค์
เหมือนนกหลุดแล้วจากข่าย (มีน้อย) ฉะนั้น."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อยํ โลโก ความว่า โลกิยมหาชนนี้
ชื่อว่าเป็นเหมือนคนบอด เพราะไม่มีจักษุคือปัญญา. สองบทว่า ตนุ-
เกตฺถ ความว่า ชนในโลกนี้น้อยคน คือไม่มาก จะเห็นแจ้งด้วยสามารถ
แห่งไตรลักษณ์มีไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า ชาลมุตฺโตว ความว่า บรรดาฝูง-
นกกระจาบที่นายพรานนกผู้ฉลาดตลบด้วยข่ายจับเอาอยู่ นกกระจาบบางตัว
เท่านั้น ย่อมหลุดจากข่ายได้. ที่เหลือย่อมเข้าไปสู่ภายในข่ายทั้งนั้น ฉันใด;
บรรดาสัตว์ที่ข่ายคือมารรวบไว้แล้ว สัตว์เป็นอันมาก ย่อมไปสู่อบาย.
น้อยคนคือบางคนเท่านั้น ไปในสวรรค์ คือย่อมถึงสุคติหรือนิพพาน
ฉันนั้น.
ในเวลาจบเทศนา นางกุมาริกานั้น ดำรงอยู่โนโสดาปัตติผล.
เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชน.
ธิดาช่างหูกตายไปเกิดในดุสิตภพ
แม้นางกุมาริกานั้น ได้ถือกระเช้าด้ายหลอดไปสู่สำนักของบิดาแล้ว.
แม้บิดานั้น ก็นั่งหลับแล้ว. เมื่อนางไม่กำหนดแล้ว น้อมกระเช้าด้ายหลอด
เข้าไปอยู่ กระเช้าด้ายหลอดกระทบที่สุดฟืม ทำเสียงตกไป. บิดานั้น
ตื่นขึ้นแล้ว ฉุดที่สุดฟืมไป ด้วยนิมิตที่ตนจับเอาแล้วนั่นเอง. ที่สุดฟืม
1. อรรถกถา เป็น สกุโณ.
ไปประหารนางกุมาริกานั้นที่อก. นางทำกาละ ณ ที่นั้นนั่นเอง บังเกิด
แล้วในที่สุดภพ. ลำดับนั้น บิดาของนางเมื่อแลดูนาง ได้เห็นนางมีสรีระ
ทั้งสิ้นเปื้อนด้วยโลหิตล้มลงตายแล้ว. ลำดับนั้น ความโศกใหญ่บังเกิดขึ้น
แก่บิดานั้น. เขาร้องไห้อยู่ด้วยคิดว่า " ผู้อื่นจักไม่สามารถเพื่อยังความ
โศกของเราให้ดับได้ " จึงไปสู่สำนักของพระศาสดา กราบทูลเนื้อความ
นั้นแล้ว กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงยังความโศกของข้า
พระองค์ให้ดับ. " พระศาสดาทรงปลอบเขาแล้ว ตรัสว่า " ท่านอย่า
โศกแล้ว, เพราะว่าน้ำตาของท่านอันไหลออกแล้ว ในกาลเป็นที่ตายแห่ง
ธิดาของท่านด้วยอาการอย่างนั้นนั่นแล ในสงสารมีที่สุด ที่ใคร ๆ ไม่รู้แล้ว
เป็นของยิ่งกว่าน้ำแห่งมหาสมุทรทั้ง 4 " ดังนี้แล้ว จึงตรัสอนมตัคคสูตร.
เขามีความโศกเบาบาง ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา ได้อุปสมบทแล้ว
ต่อกาลไม่นานบรรลุพระอรหัตแล้ว ดังนี้เเล.
เรื่องธิดาของนายช่างหูก จบ.
8. เรื่องภิกษุ 30 รูป [144]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ 30 รูป
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " หํสา อาทิจฺจปเถ ยนฺติ " เป็นต้น.
ผู้เจริญอิทธิบาทย่อมเหาะไปได้
ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง ภิกษุผู้มีปกติอยู่ในทิศประมาณ 30 รูป
เข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พระอานนทเถระมาในเวลาที่ทำวัตรแด่พระศาสดา
เห็นภิกษุเหล่านั้นแล้วคิดว่า " เมื่อพระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับด้วย
ภิกษุเหล่านี้แล้ว, เราจักทำวัตร " ดังนี้แล้ว จึงได้ยืนอยู่ที่ซุ้มประตู.
แม้พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับด้วยภิกษุเหล่านั้นแล้ว ก็ตรัสกถาอัน
ปรารภธรรมซึ่งเป็นเครื่องให้ระลึกถึงกัน แก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้น
แม้ทั้งหมดฟังธรรมกถานั้นแล้ว บรรลุพระอรหัต ได้เหาะไปทางอากาศ.
พระอานนทเถระ เมื่อภิกษุเหล่านั้นชักช้าอยู่ จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ทูลถามว่า " พระเจ้าข้า ภิกษุมีประมาณ30รูปมาแล้ว ณ ที่นี้. ภิกษุเหล่านั้น
ไปไหน ? "
พระศาสดา. ไปแล้ว อานนท์.
พระอานนท์. ไปโดยทางไหน ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ทางอากาศ อานนท์.
พระอานนท์. ก็ภิกษุเหล่านั้นเป็นพระขีณาสพหรือ ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. อย่างนั้น อานนท์. ภิกษุเหล่านั้นฟังธรรมในสำนักเรา
บรรลุพระอรหัตแล้ว.
ก็ในขณะนั้น หงส์ทั้งหลายไปโดยอากาศแล้ว. พระศาสดาตรัส ว่า
" อานนท์ อิทธิบาท 4 อันผู้ใดแลเจริญดีแล้ว. ผู้นั้น ย่อมไปโดยอากาศ
ดุจหงส์ฉะนั้น " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
8. หํสา อาทิจฺจปเถ ยนฺติ อากาเส ยนฺติ อิทฺธิยา
นียนฺติ ธีรา โลกมฺหา เชตฺวา มารํ สวาหนํ.
" หงส์ทั้งหลาย ย่อมไปในทางแห่งดวงอาทิตย์.
ท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายย่อมไปในอากาศด้วยฤทธิ์, ธีร-
ชนชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ย่อมออกไปจาก
โลกได้. "
แก้อรรถ
บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
" หงส์เหล่านี้ ย่อมไปในทางแห่งดวงอาทิตย์คือในอากาศ. ก็
อิทธิบาทอันชนเหล่าใดเจริญดีแล้ว. ชนแม้เหล่านั้น ย่อมไปในอากาศ
ด้วยฤทธิ์. แม้ธีรชนทั้งหลายคือบัณฑิต ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว
ย่อมออกไป คือย่อมสลัดออกจากโลกคือวัฏฏะนี้ ได้แก่ถึงพระนิพพาน."
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุ 30 รูป จบ.
9. เรื่องนางจิญจมาณวิกา [145]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางจิญจ-
มาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เอกธมฺมมตีตสฺส1 " เป็นต้น.
พวกเดียรถีย์ริษยาพระพุทธศาสนา
ความพิสดารว่า ในปฐมโพธิกาล เมื่อสาวกของพระทศพลมีมาก
หาประมาณมิได้. เมื่อพวกเทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิ, เมื่อการเกิด
ขึ้นแห่งพระคุณของพระศาสดาแผ่ไปแล้ว. ลาภสักการะเป็นอันมากเกิดขึ้น
แล้ว. พวกเดียรถีย์ เป็นผู้เช่นกับแสงหิ่งห้อยในเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น เป็นผู้
เสื่อมลาภสักการะ. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น ยืนในระหว่างถนน แม้ประกาศ
ให้พวกมนุษย์รู้แจ้งอยู่อย่างนั้นว่า " พระสมณโคดมเท่านั้นหรือ เป็น
พระพุทธเจ้า." แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า; ทานที่เขาให้แล้วแก่
พระสมณโคดมนั้นเท่านั้นหรือ มีผลมาก. ทานที่เขาให้แล้วแม้แก่เรา
ทั้งหลายก็มีผลมากเหมือนกัน; ท่านทั้งหลาย จงให้ จงทำ แก่เราทั้งหลาย
บ้าง " ดังนี้แล้ว ไม่ได้ลาภสักการะแล้ว ประชุมคิดกันในที่ลับว่า
" พวกเรา พึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ในระหว่างมนุษย์
ทั้งหลาย พึงยังลาภสักการะให้ฉิบหายโดยอุบายอะไรหนอแล ? " กาลนั้น
ในกรุงสาวัตถี มีนางปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อว่าจิญจมาณวิกา เป็นผู้ทรง
รูปอันเลอโฉม ถึงความเลิศด้วยความงาม เหมือนนางเทพอัปสรฉะนั้น,
รัศมีย่อมเปล่งออกจากสรีระของนางนั้น.
1. พระไตรปิฎก เป็น เอกํ ธมฺมํ อตีตสฺส.
นางจิญจมาณวิการับอาสาพวกเดียรถีย์
ลำดับนั้น เดียรถีย์ผู้มีความรู้เฉียบแหลมคนหนึ่ง กล่าวอย่างนั้นว่า
" เราทั้งหลายอาศัยนางจิญจมาณวิกา พึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม
ยังลาภสักการะ (ของเธอ) ให้ฉิบหายได้." เดียรถีย์เหล่านั้น รับรองว่า
" อุบายนี้ มีอยู่." ต่อมา นางจิญจมาณวิกานั้นไปสู่อารามของเดียรถีย์
ไหว้แล้วได้ยืนอยู่. พวกเดียรถีย์ไม่พูดกับนาง. นางจึงคิดว่า " เรามีโทษ
อะไรหนอแล ? " แม้พูดครั้งที่ 3 ว่า " พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ "
ดังนี้แล้วจึงพูดว่า " พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีโทษอะไรหนอแล ?
เพราะเหตุอะไร ท่านทั้งหลาย จึงไม่พูดกับดิฉัน ? "
เดียรถีย์. น้องหญิง เจ้าย่อมไม่ทราบซึ่งพระสมณโคดม ผู้เบียดเบียน
เราทั้งหลาย เที่ยวทำเราทั้งหลายให้เสื่อมลาภสักการะหรือ ?
นางจิญจมาณวิกา. ดิฉันยังไม่ทราบ เจ้าข้า. ก็ในเรื่องนี้ดิฉัน
ควรทำอย่างไรเล่า ?
เดียรถีย์. น้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาความสุขแก่เราทั้งหลายไซร้,
จงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดมแล้ว ยังลาภสักการะให้ฉิบหาย
เพราะอาศัยตน.
นางกล่าวว่า " ดีละ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย. ข้อนี้จงเป็นภาระ
ของดิฉันเอง. ท่านทั้งหลายอย่าคิดแล้ว " ดังนี้แล้ว หลีกไป ห่มผ้ามีสี
ดุจแมลงค่อมทอง มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้นในมือ มุ่งหน้า
ตรงพระเชตวัน ไปอยู่ในสมัยเป็นที่ฟังธรรมกถาแห่งชนชาวเมืองสาวัตถี
แล้วออกไปจากพระเชตวัน ตั้งแต่กาลนั้น เพราะความที่นางเป็นผู้ฉลาด
ในมารยาทของหญิง. เมื่อผู้อื่นถามว่า " นางจะไปไหนในเวลานี้ ? " จึง