3. เรื่องเด็กหลายคน [109]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเด็กเป็นอัน
มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุขกามานิ ภูตานิ " เป็นต้น.
พระศาสดาทรงพบพวกเด็กตีงู
ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จทรงบาตรเข้าไปใน
กรุงสาวัตถี ทรงเห็นพวกเด็กเป็นอันมาก เอาไม้ตีงูเรือน1ตัวหนึ่ง ใน
ระหว่างทาง ตรัสถามว่า " แน่ะ เจ้าเด็กทั้งหลาย พวกเจ้าทำอะไรกัน ? "
เมื่อเด็กเหล่านั้นกราบทูลว่า " พวกข้าพระองค์เอาไม้ตีงู " พระเจ้าข้า "
ตรัสถามอีกว่า " เพราะเหตุไร ? " เมื่อพวกเขากราบทูลว่า " เพราะกลัว
มันกัด พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " พวกเจ้าตีงูนี้ด้วยคิดว่า 'จักทำความสุข
แก่ตน ' จักไม่เป็นผู้ได้รับความสุขในที่แห่งตนเกิดแล้ว ๆ. แท้จริง บุคคล
เมื่อปรารถนาสุขแก่ตน (แต่) ประหารสัตว์อื่น ย่อมไม่ควร " ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
3. สุขกานานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน วิหึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ.
สุขกานานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน น หึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ ลภเต สุขํ.
" สัตว์ผู้เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่สุข บุคคล
ใดแสวงหาสุขเพื่อตน, แต่เบียดเบียนสัตว์อื่นด้วย
ท่อนไม้ บุคคลนั้นละไปแล้วย่อมไม่ได้สุข. สัตว์ผู้
1. คืองูที่อาศัยอยู่ตามเรือน เช่นงูเขียว งูลายสอ เป็นต้น.
เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่สุข, บุคคลใดแสวงหา
สุขเพื่อตน, ไม่เบียดเบียน (ผู้อื่น) ด้วยท่อนไม้,
บุคคลนั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า โย ทณฺเฑน ความว่า บุคคลใด
ย่อมเบียดเบียน (ผู้อื่น) ด้วย ท่อนไม้หรือวัตถุทั้งหลายมีก้อนดินเป็นต้น.
บาทพระคาถาว่า เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ ความว่า บุคคลนั้น
ย่อมไม่ได้สุขสำหรับมนุษย์ สุขอันเป็นทิพย์ หรือสุขคือพระนิพพาน อัน
เป็นปรมัตถ์ (สุข) ในโลกหน้า.
ในพระคาถาที่ 2 (มีความว่า) หลายบทว่า เปจฺจ โส ลภเต สุขํ
ความว่า บุคคลนั้นย่อมได้สุขทั้ง 3 อย่าง มีประการดังกล่าวแล้วใน
ปรโลก.
ในกาลจบเทศนา เด็กเหล่านั้นทั้ง 500 ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
ดังนี้แล.
เรื่องเด็กหลายคน จบ.
4. เรื่องพระโกณฑธานเถระ [110]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อ
โกณฑธานะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " มาโวจ ผรุสํ กญฺจิ " เป็นต้น.
รูปสตรีติดตามพระเถระไปทุกแห่ง
ดังได้สดับมา จำเดิมแต่วันที่พระเถระนั้นบวชแล้ว รูปสตรีรูปหนึ่ง
เที่ยวไปกับพระเถระ (แต่) พระเถระไม่เห็นรูปสตรีนั้น, ส่วนมหาชนเห็น.
เมื่อท่านแม้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ภายในบ้าน. พวกมนุษย์ถวายภิกษาทัพพี 1
แล้ว พูดว่า " ท่านขอรับ ส่วนนี้จงเป็นของสำหรับท่าน, แต่ส่วนนี้
สำหรับสตรีผู้สหายของท่าน " ดังนี้แล้ว ก็ถวายภิกษาแม้ทัพพีที่ 2.
บุรพกรรมของพระเถระ
ถามว่า " บุรพกรรมของท่านเป็นอย่างไร ? "
ตอบว่า " ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ
ภิกษุ 2 รูปเป็นสหายกัน ได้เป็นผู้กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง ดุจคลอดจาก
ครรภ์มารดาเดียวกัน."
ก็ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนมายุยืน ภิกษุทั้งหลายย่อม
ประชุมกัน เพื่อประโยชน์แก่การทำอุโบสถทุก ๆ 1 ปี หรือทุก ๆ 6เดือน
(ครั้งหนึ่ง) เพราะฉะนั้น แม้ท่านทั้งสองรูปนั้น ก็ออกไปจากที่อยู่ด้วย
คิดว่า " จักไปสู่โรงอุโบสถ. "
เทวดาแกล้งทำพระเถระให้แตกกัน
เทวดาผู้เกิดในชั้นดาวดึงส์ผู้หนึ่ง เห็นท่านทั้งสองแล้ว คิดว่า " ภิกษุ
เหล่านั้นช่างกลมเกลียวกันเหลือเกิน, เราอาจทำลายภิกษุเหล่านี้ได้หรือ
หนอ ? " ดังนี้แล้ว ได้มาในลำดับเวลาที่ตนคิดแล้วนั่นแล เพราะความ
ที่ตนเป็นผู้เกเร. ในภิกษุ 2 รูปนั้น เมื่อรูปหนึ่งกล่าวว่า " ผู้มีอายุ ขอ
ท่านจงรออยู่สักครู่หนึ่ง ผมมีความต้องการถ่ายอุจจาระ1 " จึงนิรมิตเพศ
เป็นหญิงมนุษย์คนหนึ่ง. ในกาลที่พระเถระเข้าไปในระหว่างพุ่มไม้เเล้ว
ออกมา เอามือข้างหนึ่งเกล้ามวยผม ข้างหนึ่งจัดผ้านุ่ง (เดินตาม) ออก
มาข้างหลังพระเถระนั้น. ท่านไม่เห็นหญิงนั้น. แต่ภิกษุรูปที่ยืนอยู่ข้าง
หน้าซึ่งคอยท่านอยู่ เหลียวมาแลดูเห็นหญิงนั้นทำอย่างนั้น (เดินตาม)
ออกมา.
รังเกียจกันด้วยสีลเภท
เทวดานั้นรู้ภาวะแห่งตน อันภิกษุนั้นเห็นแล้ว ก็อันตรธานไป.
ภิกษุรูปนอกนี้ (ที่คอยอยู่) พูดกะภิกษุนั้น ในเวลาที่มาสู่ที่ใกล้ตนว่า
" ผู้มีอายุ ศีลของท่านทำลายเสียแล้ว. "
ภิกษุนั้นกล่าวว่า " ผู้มีอายุ กรรมเห็นปานนั้นของผมไม่มี. " ภิกษุ
นอกนี้กล่าวว่า " เดี๋ยวนี้เอง หญิงรุ่นสาว (เดินตาม) ออกมาข้างหลัง
ท่าน ทำกรรมชื่อนี้ผมเห็นแล้ว. ท่านยังพูด (ปฏิเสธ) ได้ว่า 'กรรมเห็น
ปานนี้ของผมไม่มี. "
ภิกษุนั้น ปานประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดลงที่กระหม่อม กล่าววิงวอน
ว่า " ผู้มีอายุ ขอท่านจงอย่าให้ผมฉิบหายเลย. กรรมเห็นปานนั้นของผม
ไม่มีจริง ๆ. "
ภิกษุนอกนี้ก็พูดว่า " ผมเห็นด้วยนัยน์ตาทั้งสองเอง, จักเชื่อท่าน
1. สรีรกิจฺเจน ด้วยกิจแห่งสรีระ.
ได้อย่างไร " ดังนี้แล้ว ก็แตกกันดุจท่อนไม้แล้วหลีกไป. แม้ในโรง
อุโบสถก็นั่งด้วยตั้งใจว่า " เราจักไม่ทำอุโบสถร่วมกับภิกษุนี้. "
ภิกษุนอกนี้ (ผู้ถูกหา) แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า " ท่านขอรับจุดดำ
แม้เท่าเมล็ดงา ย่อมไม่มีในศีลของผม."
แม้ภิกษุนั้น ก็กล่าวยันว่า " กรรมลามกนั้นผมเห็นเอง. "
เทวดาขยายความจริง
เทวดาเห็นภิกษุรูปที่คอยนั้น ไม่ปรารถนาจะทำอุโบสถร่วมกับภิกษุ
(รูปที่ตนแกล้ง) นั้น หวนคิดว่า " เราทำกรรมหนักแล้ว " ดังนี้ จึงชี้แจง
ว่า " ความทำลายแห่งศีลของพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าย่อมไม่มี. แต่ข้าพ-
เจ้าทำกรรมอันลามกนั้น ก็ด้วยสามารถจะทดลองดู, ขอท่านจงทำอุโบสถ
ร่วมกับพระผู้เป็นเจ้านั้นเถิด."
ภิกษุรูปที่คอยนั้น เมื่อเทวดานั้น ดำรงอยู่ในอากาศชี้แจงอยู่จึงเชื่อ
แล้วได้ทำอุโบสถ (ร่วมกัน ) แต่หาได้เป็นผู้มีจิตชิดเชื้อในพระเถระเหมือน
ในกาลก่อนไม่.
บุรพกรรมของเทวดามีประมาณเท่านี้. ก็ในเวลาสิ้นอายุ พระเถระ
เหล่านั้น ได้บังเกิดในเทวโลกแสนสบาย.
เทวดามาเกิดเป็นพระโกณฑธานะ
ฝ่ายเทวดาบังเกิดในอเวจีแล้ว หมกไหม้อยู่ในอเวจีนั้นสิ้น 1 พุทธัน-1
ดร ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดในกรุงสาวัตถี ถึงความเจริญวัยแล้ว
ได้บรรพชาอุปสมบทในพระศาสนา. ตั้งแต่วันที่ท่านบวชแล้ว รูปสตรี
1. ระหว่างกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งซึ่งปรินิพพานแล้ว องค์ใหม่อุบัติขึ้น.
นั้นก็ได้ปรากฏอย่างนั้นนั่นแล. เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจึงได้
ขนานนามท่านว่า " โกณฑธานะ. "
พวกภิกษุบอกคฤหัสห์ให้ขับไล่
ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านเที่ยวไปอยู่อย่างนั้น จึงบอกอนาถปิณฑิก-
เศรษฐีว่า " ท่านเศรษฐี ท่านจงขับไล่ภิกษุผู้ทุศีลรูปนี้ออกจากวิหารของ
ท่านเสีย. เพราะว่า ความเสียหายจะเกิดขึ้นแก่ภิกษุที่เหลือ. "
เศรษฐี. ท่านผู้เจริญ ก็พระศาสดาไม่มีในวิหารหรือ ?
ภิกษุ. มีอยู่ ท่านเศรษฐี.
เศรษฐี. ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น พระศาสดาคงจักทรงทราบ.
ภิกษุทั้งหลายก็ไปแจ้งแม้แก่นางวิสาขาอย่างนั้นเหมือนกัน.
ถึงนางวิสาขา ก็ได้ให้คำตอบแก่ภิกษุเหล่านั้นเหมือนกัน.
ฝ่ายภิกษุทั้งหลาย อันท่านเหล่านั้นไม่รับถ้อยคำ (ของตน) จึงได้
ทูลแด่พระราชาว่า " มหาบพิตร ภิกษุชื่อโกณฑธานะ พาหญิงคนหนึ่ง
เที่ยวไป จะยังความเสียหายให้เกิดแก่ภิกษุทุกรูป. ขอมหาบพิตรทรงขับไล่
ภิกษุนั้นออกจากแว่นแคว้นของพระองค์เสีย. "
พระราชา. ภิกษุนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ?
พวกภิกษุ. อยู่ในวิหาร มหาบพิตร.
พระราชา. อยู่ในเสนาสนะหลังไหน ?
พวกภิกษุ. ในเสนาสนะชื่อโน้น.
พระราชา. ถ้าเช่นนั้น ขออาราธนาพระคุณเจ้าไปเถิด. ข้าพเจ้า
จักสั่งให้จับภิกษุรูปนั้น.
พระราชาเสด็จไปสอบสวนพระโกณฑธานะ
ในเวลาเย็น ท้าวเธอเสด็จไปวิหาร รับสั่งให้พวกบุรุษล้อมเสนา-
สนะนั้นไว้แล้ว ได้เสด็จผินพระพักตร์ตรงที่อยู่ของพระเถระ.
พระเถระได้ยินเสียงเอะอะ จึงได้ออกจากวิหาร (ที่อยู่) ยืนอยู่ที่
หน้ามุข. พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นรูปสตรีแม้นั้น ยืนอยู่ข้างหลัง
พระเถระนั้น. พระเถระทราบว่าพระราชาเสด็จมา จึงขึ้นไปยังวิหารนั่งอยู่
แล้ว. พระราชาไม่ทรงไหว้พระเถระ, ไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นแม้สตรีนั้น
ท้าวเธอทรงตรวจดูที่ซอกประตูบ้าง ที่ใต้เตียงบ้าง ก็มิได้ทรงประสบเลย
จึงได้ตรัสกะพระเถระว่า " ท่านขอรับ ผมได้เห็นสตรีคนหนึ่งในที่นี้, เขา
ไปเสียไหน ? "
พระเถระทูลว่า " อาตมภาพไม่เห็น มหาบพิตร. แม้เมื่อพระราชา
ตรัสว่า " เมื่อกี้นี้ ข้าพเจ้าเห็นสตรียืนอยู่ข้างหลังท่าน. " ก็ทูลยืนกรานว่า
" อาตมภาพไม่เห็น มหาบพิตร. "
พระราชาทรงดำริว่า " นี่มันเป็นเรื่องอะไรหนอ ? " แล้วตรัสว่า
" ขอนิมนต์ท่านออกไปจากที่นี้ก่อน ขอรับ " เมื่อพระเถระออกไปจากที่
นั้น ยืนอยู่ที่หน้ามุข. สตรีนั้นก็ได้ยืนอยู่ข้างหลังของพระเถระอีก. พระ-
ราชาทอดพระเนตรเห็นสตรีนั้นแล้ว จึงเสด็จขึ้นไปชั้นบนอีก.
พระเถระทราบความที่พระราชานั้นเสด็จมาแล้ว จึงนั่งอยู่.
พระราชา แม้ทรงตรวจดูสตรีนั้นในที่ทุกแห่งอีก ก็มิได้ทรง
ประสบ จึงตรัสถามพระเถระนั้นซ้ำอีกว่า " สตรีนั้นมีอยู่ ณ ที่ไหน ?
ขอรับ. "
พระเถระ. อาตมภาพไม่เห็น (สตรีนั้น) มหาบพิตร.