เมนู

" คนมีสุตะน้อยนี้ ย่อมแก่เหมือนโคถึก,
เนื้อของเขาย่อมเจริญ แต่ปัญญาของเขาหาเจริญไม่. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น เนื้อความแห่งบทว่า อปฺปสฺสุตายํ ว่าคนชื่อ
ว่า อัปปัสสุตะ เพราะไม่มีหมวดสูตร ห้าสิบ 1 หมวด หรือ 2 หมวด
ก็หรือว่า เพราะไม่มีวรรคสูตร 1 วรรค หรือ 2 วรรค โดยกำหนดที่สุด
ทั้งหมด เพราะไม่มีแม้สูตร 1 หรือ 2 สูตร. แต่ได้เรียนกรรมฐาน
เล็กน้อยประกอบความเพียรเนือง ๆ อยู่ ก็เป็นพหุสูตได้ทีเดียว.
สองบทว่า พลิพฺทโทว ชีรติ ความว่า เหมือนโคถึกเมื่อแก่
คือเมื่อเฒ่า ย่อมโตขึ้นเพื่อประโยชน์แก่โคแม่พ่อหามิได้เลย แก่โคที่เป็น
พี่น้องที่เหลือก็หามิได้. โดยที่แท้ก็แก่ไม่มีประโยชน์เลย ฉันใด, แม้
อัปปัสสุตชนนี้ไม่ทำอุปัชฌายวัตร, ไม่ทำอาจริยวัตร. และไม่ทำวัตรอื่น
มีอาคันตุกวัตรเป็นต้น. ไม่หมั่นประกอบแม้สักว่าภาวนา. ชื่อว่า ย่อมแก่
ไม่มีประโยชน์เลย ฉันนั้นนั่นแหละ.
บาทพระคาถาว่า มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ มีอธิบายว่า เนื้อของโคถึก
ที่เจ้าของคิดว่า " อ้ายนี่ไม่อาจจะลากแอกไถเป็นต้นไหวแล้ว " ปล่อย
เสียในป่า เที่ยวเคี้ยวกินดื่มอยู่ในป่านั้นแหละ ย่อมเจริญ ฉันใด. เนื้อแม้
ของอัปปัสสุตชนนี้ อันพระครุฏฐานิยะมีพระอุปัชฌาย์เป็นต้น ปล่อยเสีย
แล้ว อาศัยสงฆ์ได้ปัจจัย 4 ทำกิจมีระบายท้องเป็นต้น เลี้ยงกายอยู่
ย่อมเจริญ คือว่าเธอเป็นผู้มีร่างกายอ้วนพีเที่ยวไป ฉันนั้น นั่นแหละ.
สองบทว่า ปญฺญา ตสฺส มีเนื้อความว่า ส่วนปัญญที่เป็นโลกิยะ
โลกุตระของอัปปัสสุตชนนั้น แม้ประมาณองคุลีเดียวก็ไม่เจริญ แต่

ตัณหาและมานะ 9 อย่าง ย่อมเจริญเพราะอาศัยทวาร 6 เหมือนกอหญ้า
ลดาวัลย์เป็นต้น เจริญอยู่ในป่าฉะนั้น.
ในเวลาจบเทศนา มหาชนบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล
เป็นต้นแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระโลฬุทายีเถระ จบ.

8. เรื่องปฐมโพธิกาล [125]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วย
สามารถเบิกบานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนทเถระทูลถาม จึงตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า " อเนกชาติสํสารํ " เป็นต้น.

ทรงกำจัดมารแล้วเปล่งอุทาน


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิ-
พฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคตเทียว ทรงกำจัดมารและพลแห่งมาร
แล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ. ใน
มัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว. ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัย
ความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว ทรง
พิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมปฏิโลม. ในเวลาอรุณขึ้น
ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณพร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะ
ทรงเปล่งอุทาน ที่พระพุทธเจ้ามิใช่แสนเดียวไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัส
พระคาถาเหล่านี้ว่า
8. อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการกํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
.

" เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ
จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก ความเกิด
บ่อยๆ เป็นทุกข์,1 แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่าน
แล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่2ของท่าน
เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของ
เราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเรา
บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า คหการํ3 คเวสวนฺโต ความว่า เรา
เมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหาผู้ทำเรือน กล่าวคืออัตภาพนี้มีอภินิหารอัน
ทำไว้แล้ว แทบบาทมูลแห่งพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร เพื่อ
ประโยชน์แก่พระญาณ อันเป็นเครื่องอาจเห็นนายช่างนั้นได้ คือพระ-
โพธิญาณ เมื่อไม่ประสบ ไม่พบ คือไม่ได้พระญาณนั้นแล จึงท่องเที่ยว
คือเร่ร่อน ได้แก่วนเวียนไป ๆ มา ๆ สู่สงสารมีชาติเป็นอเนก คือสู่
สังสารวัฏนี้ อันนับได้หลายแสนชาติ สิ้นกาลมีประมาณเท่านี้.
คำว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปนํ นี้ เป็นคำแสดงเหตุแห่งการแสวงหา
ช่างผู้ทำเรือน. เพราะชื่อว่าชาตินี้ คือการเข้าถึงบ่อย ๆ ชื่อว่าเป็นทุกข์
เพราะภาวะที่เจือด้วยชรา พยาธิและมรณะ. ก็ชาตินั้น เมื่อนายช่างผู้ทำ
เรือนนั้น อันใครๆ ไม่พบแล้ว ย่อมไม่กลับ. ฉะนั้น เราเมื่อแสวงหา
นายช่างผู้ทำเรือน จึงได้ท่องเที่ยวไป.
1. ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป. 2. อีกนัยหนึ่ง ผาสุกกา เป็นคำเปรียบกับเครื่องเรือน แปลว่า
จันทันเรือนของท่านเราหักเสียหมดแล้ว. 3. บาลีเป็น คหการกํ.

บทว่า ทิฏฺโฐสิ ความว่า บัดนี้เราตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ พบ
ท่านแล้วแน่นอน. บทว่า ปุน เคหํ ความว่า ท่านจักทำเรือนของเรา
กล่าวคืออัตภาพ ในสังสารวัฏนี้อีกไม่ได้.
บาทพระคาถาว่า สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคาความว่า ซี่โครง1กล่าว
คือกิเลสที่เหลือทั้งหมดของท่าน เราหักเสียแล้ว.
บาทพระคาถาว่า คหกูฏํ วิสงฺขตํ ความว่า ถึงมณฑลช่อฟ้ากล่าว
คืออวิชชา แห่งเรือนคืออัตภาพที่ท่านสร้างแล้วนี้ เราก็รื้อเสียแล้ว.
บาทพระคาถาว่า วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ความว่า บัดนี้ จิตของเราถึง
คือเข้าไปถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว คือพระนิพพาน ด้วย
สามารถแห่งอันกระทำให้เป็นอารมณ์.
บาทพระคาถาว่า ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ความว่า เราบรรลุ
พระอรหัต กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาแล้ว.
เรื่องปฐมโพธิกาล จบ.
1. หรือ จันทันเรือน กล่าวคือกิเลสที่เหลือทั้งหมด.

9. เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก [126]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงปรารภ
บุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อจริตฺวา
พฺรหฺมจริยํ. "
เป็นต้น.

พวกนักเลงชวนเศรษฐีบุตรให้ดื่มเหล้า


ดังได้สดับมา บุตรเศรษฐีนั้น เกิดแล้วในตระกูลผู้มีสมบัติ 80 โกฏิ
ในกรุงพาราณสี. ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาคิดว่า " ในตระกูลของเรา
มีกองโภคะเป็นอันมาก. เราจักมอบกองโภคะนั้นไว้ในมือบุตรของเรา
ทำให้ใช้สอยอย่างสบาย. กิจด้วยการงานอย่างอื่นไม่ต้องมี. " ดังนี้แล้วจึง
ให้เขาศึกษาศิลปะสักว่าการฟ้อน ขับ และประโคมอย่างเดียว. ในพระนคร
นั้นแล แม้ธิดาคนหนึ่ง ก็เกิดแล้วในตระกูลอื่น ซึ่งมีสมบัติ 80 โกฏิ.
บิดามารดาแม้ของนางก็คิดแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ให้นางศึกษาก็ได้
ศิลปะสักว่าการฟ้อนขับและประโคมอย่างเดียว. เมื่อเขาทั้งสองเจริญวัยแล้ว
ก็ได้มีการอาวาหวิวาหมงคลกัน ต่อมาภายหลัง มารดาบิดาของคนทั้งสอง
นั้นได้ถึงแก่กรรมแล้ว. ทรัพย์ 160 โกฏิ ก็ได้รวมอยู่ในเรือนเดียวกัน
ทั้งหมด. เศรษฐีบุตร ย่อมไปสู่ที่บำรุงพระราชาวันหนึ่งถึง 3 ครั้ง ครั้งนั้น
พวกนักเลงในพระนครนั้น คิดกันว่า " ถ้าเศรษฐีบุตรนี้ จักเป็นนักเลง
สุรา. ความผาสุกก็จักมีแก่พวกเรา; เราจะให้เธอเรียนความเป็นนักเลง
สุรา. " พวกนักเลงนั้นจึงถือเอาสุรา มัดเนื้อสำหรับแกล้ม และก้อนเกลือ
ไว้ที่ชายผ้า ถือหัวผักกาด นั่งแลดูทางของเศรษฐีบุตรนั้น ผู้มาจาก

ราชกุล เห็นเขากำลังเดินมา จึงดื่มสุรา เอาก้อนเกลือใส่เข้าในปาก กัดหัว
ผักกาด กล่าวว่า " จงเป็นอยู่ 100 ปีเถิด นายเศรษฐีบุตร. พวกผม
อาศัยท่าน ก็พึงสามารถในการเคี้ยวและการดื่ม. "
บุตรเศรษฐีฟังคำของพวกนักเลงนั้นแล้ว จึงถามคนใช้สนิทผู้ตาม
มาข้างหลังว่า " พวกนั้น ดื่มอะไรกัน ? "
คนใช้. น่าดื่มชนิดหนึ่ง นาย.
บุตรเศรษฐี. มีรสชาติอร่อยหรือ ?
คนใช้. นาย ธรรมดาน้ำที่ควรดื่ม เช่นกับน้ำดื่มนี้ ไม่มีในโลก
ที่เป็นอยู่นี้.

เศรษฐีบุตรหมดตัวเพราะประพฤติอบายมุข


บุตรเศรษฐีนั้นพูดว่า " เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้เราดื่มก็ควร " ดังนี้
แล้ว จึงให้นำมาแต่นิดหน่อยแล้วก็ดื่ม ต่อมาไม่นานนัก นักเลงเหล่านั้น
รู้ว่าบุตรเศรษฐีนั้นดื่ม จึงพากันแวดล้อมบุตรเศรษฐีนั้น เมื่อกาลล่วงไป
ก็ได้มีบริวารหมู่ใหญ่. บุตรเศรษฐีนั้น ให้นำสุรามาด้วยทรัพย์ 100 บ้าง
200 บ้าง ดื่มอยู่ตั้งกองกหาปณะไว้ในที่นั่งเป็นต้นโดยลำดับ ดื่มสุรา
กล่าวว่า " จงนำเอาดอกไม้มาด้วยกหาปณะนี้ จงนำเอาของหอมมาด้วย
กหาปณะนี้ ผู้นี้ฉลาดในการขับ ผู้นี้ฉลาดในการฟ้อน ผู้นี้ฉลาดในการ
ประโคม จงให้ทรัพย์ 1 พันแก่ผู้นี้ จงให้ทรัพย์ 2 พันแก่ผู้นี้. " เมื่อ
ใช้สุรุ่ยสุร่ายอย่างนั้นต่อกาลไม่นานนัก ก็ยังทรัพย์ 80 โกฏิ อันเป็นของ
ตนให้หมดไปแล้ว เมื่อเหรัญญิกเรียนว่า " นาย ทรัพย์ของนายหมด
แล้ว. " จึงพูดว่า " ทรัพย์ของภรรยาของข้าไม่มีหรือ ? " เมื่อเขาเรียนว่า
" ยังมีนาย " จึงบอกว่า " ถ้ากระนั้น จงเอาทรัพย์นั้นมา, " ได้ยังทรัพย์