เมนู

ผู้มีรูปเช่นนี้มา " ดังนี้แล้วส่ง (พราหมณ์เหล่านั้น)ไป. พราหมณ์เหล่านั้น
รับว่า " ดีละ " เที่ยวจาริกไป ไปถึงสาคลนคร ในแคว้นชื่อมัททะ.

พราหมณ์พบหญิงมีรูปดุจรูปหล่อแล้วกลับมา


ก็ในนครนั้น ได้มีกุมาริกาคนหนึ่งมีรูปสวย มีอายุรุ่นราว 16 ปี.
มารดาบิดาให้นางอยู่ที่พื้นชั้นบนแห่งปราสาท 7 ชั้น พราหมณ์แม้เหล่า-
นั้นแล คิดกันว่า " ถ้าในนครนี้ จักมีกุมาริกาเห็นปานนี้, ชนทั้งหลาย
เห็นรูปทองคำนี้แล้ว ก็จักกล่าวว่า รูปจำลองนี้สวยเหมือนธิดาของตระกูล
โน้น " ดังนี้แล้ว จึงตั้งรูปทองคำนั้นไว้ริมทางไปสู่ท่าน้ำ นั่ง (คอยเฝ้า)
ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น หญิงแม่นมของกุมาริกานั้น ให้กุมาริกานั้นอาบน้ำแล้ว
ใคร่จะอาบเองบ้าง จึงไปสู่ท่าน้ำ เห็นรูปนั้นสำคัญว่า " ธิดาของเรา "
จึงกล่าวว่า " โอ แม่หัวดื้อ, เราให้เจ้าอาบน้ำแล้วออกมาเมื่อกี้นี้เอง, เจ้า
ล่วงหน้ามาที่นี่ก่อนเรา " ดังนี้แล้ว จึงตีด้วยมือ รู้ความที่รูปนั้นแข็งและ
ไม่มีวิการ จึงกล่าวว่า " เราได้ทำความเข้าใจว่า ่นางนี้เป็นธิดาของเรา
นั่นอะไรกันเล่า ? "
ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้น ถามหญิงแม่นมนั่นว่า " แม่ ธิดา
ของท่าน เห็นปานนี้หรือ ? "
หญิงแม่นม. นี้จะมีค่าอะไร ในสำนักธิดาของเรา.
พราหมณ์. ถ้ากระนั้น ท่านจงแสดงธิดาของท่าน แก่พวกเรา.
หญิงแม่นมนั้น ไปสู่เรือนพร้อมด้วยพราหมณ์ทั้งหลายนั้นแล้ว ก็
บอกแก่นาย (เจ้าบ้าน). นายทำความชื่นชมกับพวกพราหมณ์แล้ว ให้ธิดา

ลงมายืนอยู่ในที่ใกล้รูปทองคำ ณ ปราสาทชั้นล่าง. รูปทองคำได้เป็นรูป
หมดรัศมีแล้ว. พวกพราหมณ์ ให้รูปทองคำนั้นแก่นายนั้นแล้วมอบหมาย
กุมาริกาไว้ แล้วไปบอกแก่มารดาบิดาของอนิตถิคันธกุมาร.

คู่ครองของอนิตถิคันธกุมารตายในระหว่างทาง


มารดาบิคานั้นมีใจยินดีแล้ว กล่าวว่า " ท่านทั้งหลายจงไป, นำ
กุมาริกานั้นมาโดยเร็ว " ดังนี้แล้ว ส่งไปด้วยสักการะเป็นอันมาก.
ฝ่ายกุมาร ได้ยินข่าวนั้น ก็ยังความรักให้เกิดขึ้นด้วยสามารถการ
ได้ยินว่า " มีเด็กหญิงรูปร่างสวยยิ่งกว่ารูปทองคำอีก " จึงกล่าวว่า " ท่าน
ทั้งหลายจงนำมาโดยเร็วเถิด. " กุมาริกาเเม้นั้นแล อันเขายกขึ้นสู่ยาน นำ
มาอยู่ มีโรคลมอันความกระทบกระทั่งแห่งยานให้เกิดขึ้นแล้ว ได้ทำกาละ
ในระหว่างทางนั่นเอง เพราะความที่นางเป็นผู้ละเอียดอ่อนยิ่งนัก.

ความรักก่อให้ระทมทุกข์


แม้กุมาร ก็ถามอยู่เสมอว่า " มาแล้วหรือ ? " ชนทั้งหลายไม่บอก
แก่กุมารนั้น ซึ่งถามอยู่ด้วยความสิเนหาอันยิ่ง โดยพลันทีเดียว ทำการ
อำพรางเสีย 2 - 3 วันแล้วจึงบอกเรื่องนั้น. กุมารนั้นเกิดโทมนัสขึ้นว่า
" เราไม่ได้สมาคมกับหญิงชื่อเห็นปานนั้นเสียแล้ว " ได้เป็นผู้ถูกทุกข์คือ
โศกประหนึ่งภูเขาท่วมทับแล้ว.

พระศาสดาทรงเเสดงอุบายระงับความโศก


พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยของกุมารนั้น เมื่อเสด็จไปบิณฑบาต
จึงได้เสด็จไปยังประตูเรือนนั้น. ลำดับนั้น มารดาบิดาของกุมารนั้น
อัญเชิญพระศาสดาเสด็จเข้าไปภายในเรือน แล้วอังคาสโดยเคารพ.

ในเวลาเสร็จภัตกิจ พระศาสดาตรัสถามว่า " อนิตถิคันธกุมารไป
ไหน ? "
มารดาบิดา. พระเจ้าข้า อนิตถิคันธกุมารนั่น อดอาหารนอนอยู่
ในห้อง.
พระศาสดา. จงเรียกเธอมา.
อนิตถิคันธกุมารนั้น มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ส่วน
ข้างหนึ่ง. เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า " กุมาร ความโศกมีกำลังเกิดขึ้น
แล้วแก่เธอหรือ ? " จึงกราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าข้า.
ความโศกมีกำลังเกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ เพราะได้ยินว่าหญิงชื่อเห็นปานนี้
ทำกาละในระหว่างทางเสียแล้ว แม้ภัต ข้าพระองค์ก็ไม่หิว. "
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " กุมาร ก็เธอรู้ไหมว่าความ
โศกเกิดแก่เธอ เพราะอาศัยอะไร ? "
อนิตถิคันธกุมาร. ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า " กุมาร ความโศกมีกำลังเกิดขึ้นแก่เธอ เพราะ
อาศัยกาม. เพราะความโศกก็ดี ภัยก็ดี ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยกาม "
ดังนี้แล้ว จรัสพระคาถานี้ว่า :-
5. กามโต ชายตี โสโก กามโต ชายตี ภยํ
กามโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศกย่อมเกิดแต่กาม ภัยย่อมเกิดแต่
กาม; ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว
จากกาม, ภัยจักมีแต่ไหน. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามโต ความว่า จากวัตถุกามและกิเลส-
กาม. อธิบายว่า ความโศกก็ดี ภัยก็ดี ย่อมอาศัยกามแม้ทั้งสองอย่างนั่น
เกิด.
ในกาลจบเทศนา อนิตถิคันธกุมารตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล ดังนี้
แล.
เรื่องอนิตถิคันธกุมาร จบ.

6. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง [170]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์คน
ใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ตณฺหาย ชายตี " เป็นต้น.

พระศาสดาเสด็จไปหาพราหมณ์ผู้มิจฉาทิฏฐิ


ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ วันหนึ่งไปสู่ฝั่งแม่น้ำแล้ว
ถางนาอยู่. พระศาสดาทรงเห็นความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยของเขา จึงได้
เสด็จไปสู่สำนักของเขา. เขาแม้เห็นพระศาสดา ก็ไม่ทำสามีจิกรรมเลย
ได้นิ่งเสีย.
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสทักเขาก่อนว่า " พราหมณ์ ท่านกำลัง
ทำอะไร ? "
พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลังแผ้วถางนาอยู่.
พระศาสดาตรัสเพียงเท่านั้นแล้วก็เสด็จไป แม้ในวันรุ่งขึ้น พระ-
ศาสดาเสด็จไปสำนักของเขาผู้มาแล้วเพื่อจะไถนา ตรัสถามว่า " พราหมณ์
ท่านทำอะไรอยู่ ? " ทรงสดับว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลังไถนา "
ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป แม้ในวันต่อมาเป็นต้น พระศาสดาก็เสด็จไป
ตรัสถามเหมือนอย่างนั้น ทรงสดับว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลัง
หว่าน กำลังไขน้ำ กำลังรักษานา " ดังนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไป.

พราหมณ์นับถือพระองค์ดุจสหาย


ครั้นในวันหนึ่ง พราหมณ์กราบทูลพระองค์ว่า " พระโคดมผู้เจริญ
ท่านมาแล้ว ตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าแผ้วถางนา, ถ้าข้าวกล้าของข้าพเจ้าจัก
เผล็ดผล, ข้าพเจ้าจักแบ่งปันแก่ท่านบ้าง, ยังไม่ให้ท่าน ข้าพเจ้าเองก็
จักไม่เคี้ยวกิน; ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านเป็นสหายของเรา. "

ข้าวกล้าเสียหาย


ครั้นโดยสมัยอื่นอีก ข้าวกล้าของพราหมณ์นั้น เผล็ดผลแล้ว. เมื่อ
พราหมณ์นั้นทำกิจทั้งปวงเพื่อการเกี่ยว ด้วยตั้งใจว่า ข้าวกล้าของเรา
เผล็ดผลแล้ว, เราจักให้เกี่ยวตั้งแต่พรุ่งนี้ไป " มหาเมฆยังฝนให้ตกตลอด
คืน พาเอาข้าวกล้าไปหมด. นาได้เป็นเช่นกับที่อันเขาถางเอาไว้.

พราหมณ์เสียใจเพราะทำนาไม่ได้ผล


ก็พระศาสดา ได้ทรงทราบแล้วในวันแรกทีเดียวว่า " ข้าวกล้านั้น
จักไม่เผล็ดผล. " พราหมณ์ไปแล้วแต่เช้าตรู่ ด้วยคิดว่า " เราจักตรวจดู
ข้าวกล้า " เห็นแต่นาเปล่า เกิดความโศกเป็นกำลังจึงคิดว่า " พระ-
สมณโคดมมาสู่นาของเรา ตั้งแต่คราวที่แผ้วถางนา, แม้เราก็ได้กล่าว
กะท่านว่า " เมื่อข้าวกล้าเผล็ดผลแล้ว จักแบ่งส่วนให้แก่ท่านบ้าง, ยัง
ไม่ให้ท่านแล้วเราเองก็จักไม่เคี้ยวกิน, ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านเป็นสหาย
ของเรา, ความปรารถนาในใจของเราเเม้นั้น ไม่ถึงที่สุดเสียแล้ว. " พราหมณ์
นั้นทำการอดอาหาร นอนบนเตียงน้อยแล้ว.

พระศาสดาเสด็จไปตรัสถามข่าวพราหมณ์


ลำดับนั้น พระศาสดาได้เสด็จไปสู่ประตูเรือนของพราหมณ์นั้น.

พราหมณ์นั้น ทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงสั่ง (ชนผู้เป็นบริวาร)
ว่า " พวกเธอจงนำสหายของเรามาแล้ว ให้นั่งที่นี้. " ชนผู้เป็นบริวารได้
ทำอย่างนั้นแล้ว. พระศาสดาประทับนั่งแล้ว ตรัสถามว่า " พราหมณ์
ไปไหน ? " เมื่อเขากราบทูลว่า " นอนในห้อง." ก็รับสั่งหาด้วยพุทธดำรัส
ว่า " พวกเธอ จงเรียกพราหมณ์นั้นมา. " เเล้วตรัสกะพราหมณ์ผู้มานั่ง
แล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่งว่า " เป็นอะไร ? พราหมณ์."
พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ท่านมาสู่นาของข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่
แผ้วถาง. แม้ข้าพเจ้าก็ได้พูดไว้ว่า " เมื่อข้าวกล้าเผล็ดผลแล้ว จักแบ่งส่วน
ถวายท่านบ้าง, ความปรารถนาในใจของข้าพเจ้าไม่สำเร็จเสียแล้ว; เพราะ
เหตุนั้น ความโศกจึงเกิดแล้วแก่ข้าพเจ้า, แม้ภัตข้าพเจ้าก็ไม่หิว. "

ตรัสเหตุแห่งความโศกและอุบายระงับความโศก


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า " พราหมณ์ ก็ท่าน
รู้ไหมว่า ความโศกเกิดแล้วแก่ท่าน เพราะอาศัยอะไร ? " เมื่อพราหมณ์
กราบทูลว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่ทราบ, ก็ท่านทราบหรือ ? "
จึงตรัสว่า " อย่างนั้น พราหมณ์ ความจริง ความโศกก็ดี ภัยก็ดี เมื่อ
จะเกิด ย่อมอาศัยตัณหาเกิดขึ้น " ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
6. ตณฺหาย ชายตี โสโก ตณฺหาย ชายตี ภยํ
ตณฺหาย วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศก ย่อมเกิดเพราะตัณหา, ภัยย่อมเกิด
เพราะตัณหา; ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษ
แล้วจากตัณหา. ภัยจักมีแต่ไหน. "