เมนู

8. เรื่องภิกษุมีภัณฑะมาก [114]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มีภัณฑะ
มาก1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น นคฺคจริยา " เป็นต้น.

กุฎุมพีเตรียมเครื่องใช้ก่อนบวช


ได้ยินว่า กุฎุมพีชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง มีภรรยาทำกาละแล้ว จึง
บวช. เขาเมื่อจะบวช ให้สร้างบริเวณ เรือนไฟและห้องเก็บภัณฑะเพื่อตน
บรรจุห้องเก็บภัณฑะแม้ทั้งหมดให้เต็มด้วยวัตถุทั้งหลายมีเนยใสและน้ำมัน
เป็นต้นแล้ว จึงบวช. ก็แล ครั้นบวชแล้วให้เรียกพวกทาสของตน มา
หุงต้มอาหารตามที่ตนชอบใจ แล้วบริโภค. ได้เป็นผู้มีภัณฑะมาก และ
มีบริขารมาก. ผ้านุ่งผ้าห่มในราตรีมีชุดหนึ่ง. กลางวันมีอีกชุดหนึ่ง. อยู่
ในวิหารหลังสุดท้าย.

ถูกพวกภิกษุต่อว่าแล้วนำตัวไปเฝ้าพระศาสดา


วันหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้น ตากจีวรและผ้าปูที่นอนอยู่. ภิกษุทั้งหลาย
เดินเที่ยวจาริกไปตามเสนาสนะ2 เห็นแล้ว จึงถามว่า " ผู้มีอายุ จีวรและ
ผ้าปูที่นอนเหล่านี้ของใคร ? " เมื่อเขาตอบว่า " ของผมขอรับ " ดังนี้
แล้ว จึงกล่าวว่า " ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตจีวร (เพียง)
3 ผืน. ก็ท่านบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีความปรารถนาน้อย3อย่าง
นี้ (ทำไม) จึงเป็นผู้มีบริขารมากอย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ได้นำภิกษุนั้นไปสู่
สำนักพระศาสดา กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปนี้ เป็น
ผู้มีภัณฑะมากเหลือเกิน."
1. สั่งสมสิ่งของ. 2. เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา. 3. มังคลัตถทีปนี ทุติยภาค หน้า 271
แก้ศัพท์นี้ว่า ไม่มีความปรารถนา.

พระศาสดาตรัสถาม (ภิกษุนั้น) ว่า "ได้ยินว่า เป็นอย่างนั้น
จริงหรือ ? ภิกษุ " เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า " จริง พระเจ้าข้า " จึงตรัส
ว่า " ภิกษุ ก็เหตุไร เธอ เมื่อเราแสดงธรรมเพื่อความเป็นผู้มีความ
ปรารถนาน้อยแล้ว, จึงกลับเป็นผู้มีภัณฑ์มากอย่างนี้เล่า ? "
ภิกษุนั้นโกรธแล้วด้วยเหตุเพียงเท่านั้นแล คิดว่า " บัดนี้เราจัก
เที่ยวไป โดยทำนองนี้ " ดังนี้แล้ว ทิ้ง (เปลื้อง) ผ้าห่ม มีจีวรตัวเดียว
ได้ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท.

พระศาสดาให้เธอกลับมีหิริและโอตตัปปะ


ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงอุปถัมภ์ภิกษุรูปนั้น จึงตรัสว่า
" ภิกษุ ในกาลก่อน เธอแสวงหาหิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลเป็นรากษส
น้ำ ก็แสวงหาหิริโอตตัปปะอยู่ (ถึง) 12 ปี มิใช่หรือ ? (แต่) บัดนี้ เธอ
บวชในพระพุทธศาสนาที่เคารพอย่างนี้แล้ว เปลื้องผ้าห่มละหิริและโอต-
ตัปปะ ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท 4 เพราะเหตุไร ? "
ภิกษุนั้นฟังพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว กลับตั้งหิริและโอต-
ตัปปะขึ้นได้ ห่มจีวรนั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ สมควร
ข้างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลายทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้ทรงประกาศ
เนื้อความนั้น. ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า:-

บุรพกรรมของภิกษุนั้น


" ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์
พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี. ในวันขนานพระนามของพระโพธิ-
1. คือ เหลือสบงตัวเดียว เพราะ ติจีวรํ ย่อมหมายผ้า 3 ผืน.

สัตว์นั้น ชนทั้งหลายขนานพระนามของพระองค์ว่า " มหิสสากุมาร.1 "
พระกนิษฐภาดา2ของพระองค์ ได้มีพระนามว่าจันทกุมาร. เมื่อพระชนนี
ของพระราชกุมารทั้งสองนั้น สิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาก็ทรงสถาปนา
สตรีอื่นไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี.
พระนางแม้นั้นประสูติพระราชโอรส (พระองค์หนึ่ง). ชนทั้งหลาย
ขนานพระนามของพระโอรสนั้นว่า " สุริยกุมาร " พระราชาทอดพระ-
เนตรเห็นสุริยกุมารนั้นแล้ว ก็ทรงพอพระทัย ตรัส (พระราชทานพร) ว่า
" เราให้พรแก่บุตรของเธอ. " ฝ่ายพระเทวีนั้นแลกราบทูลว่า " หม่อม
ฉันจักรับเอา ในเวลาที่ต้องการ " ดังนี้แล้ว ในกาลที่พระราชโอรส
เจริญวัยแล้ว จึงทูลพระราชาว่า " ขอเดชะสมมติเทพ พระองค์ได้พระ-
ราชทานพรไว้แล้ว ในเวลาบุตรของหม่อมฉันประสูติ. ขอพระองค์โปรด
พระราชทานราชสมบัติแก่บุตรของหม่อมฉันเถิด. "

พระโพธิสัตว์ต้องเดินไพร


พระราชาแม้ทรงห้ามว่า " บุตรทั้งสองของเรากำลังรุ่งเรืองดุจกอง-
ไฟ เที่ยวไป, เราไม่อาจให้ราชสมบัติแก่สุริยกุมารนั้นได้ (แต่) ทรงเห็น
พระนางยังขืนอ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ จึงทรงดำริว่า " นางนี้จะพึงทำแม้ความ
ฉิบหายแก่บุตรของเรา " ดังนี้แล้ว จึงรับสั่งให้เรียกพระราชโอรสทั้งสอง
มา ตรัสว่า " พ่อทั้งสอง พ่อได้ให้พรไว้ในเวลาสุริยกุมารประสูติ. บัดนี้
มารดาของเขา ทูลขอราชสมบัติ. พ่อไม่อยากจะให้แก่เขาเลย มารดา
ของเขา จะพึงทำแม้ความฉิบหายแก่เจ้าทั้งสอง. เจ้าจงไป อยู่ในป่าแล้ว
1. แปลว่า กุมารผู้ซัดไปซึ่งลูกศรใหญ่ ฉบับยุโรปและสิงหลว่า มหิงฺสกกุมาโร. 2. แปลว่า
น้องชาย.

ค่อยกลับมารับราชสมบัติโดยกาลที่พ่อล่วงไป " ดังนี้แล้ว ทรงส่งไป.
สุริยกุมารเล่นอยู่ที่พระลานหลวง เห็นพระราชกุมารทั้งสองนั้น
ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วลงจากปราสาท ทราบเหตุนั้นแล้วจึงออกไป
กับพระราชกุมารเหล่านั้นด้วย.

พระราชกุมารทั้งสองถูกรากษสจับไว้


ในกาลที่พระราชกุมารเหล่านั้น เข้าไปสู่หิมวันตประเทศ พระ-
โพธิสัตว์เสด็จแยกออกจากทาง นั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งแล้วตรัส
กะสุริยกุมารว่า " แน่ะพ่อ เจ้าจงไปสู่สระนั่น อาบน้ำและดื่มน้ำแล้ว
จงเอาใบบัวนำน้ำมาเพื่อพี่ทั้งสองบ้าง. " ก็สระนั้น เป็นสระที่รากษสน้ำ1ตน
หนึ่งได้จากสำนักแห่งท้าวเวสวัณ. ก็ท้าวเวสวัณรับสั่งกะรากษสน้ำนั้นว่า
" เว้นชนผู้รู้เทวธรรมเท่านั้น ชนเหล่าอื่นลงสู่สระนี้, เจ้าย่อมได้เพื่อเคี้ยว
กินชนเหล่านั้น. " ตั้งแต่นั้นมา รากษสน้ำนั้นถามเทวธรรมกะคนผู้ลง
แล้ว ๆ ลงสู่สระนั้น ย่อมเคี้ยวกินคนผู้ไม่รู้อยู่.
ฝ่ายสุริยกุมาร มิทันพิจารณาสระนั้น ลงไป, และถูกรากษสนั้น
ถามว่า " ท่านรู้เทวธรรมหรือ ? " ก็ตอบว่า " พระจันทร์และพระอาทิตย์
ชื่อว่าเทวธรรม. " ลำดับนั้น รากษสกล่าวกะสุริยกุมารนั้นว่า " ท่านไม่
รู้เทวธรรม. " แล้วก็ฉุดลงน้ำไปพักไว้ในภพของตน.
ส่วนพระโพธิสัตว์ เห็นสุริยกุมารนั้นช้าอยู่ จึงส่งจันทกุมารไป
แม้จันทกุมารนั้น ถูกรากษสนั้นถามว่า " ท่านรู้เทวธรรมหรือ ? " ก็ตอบ
ว่า " ทิศ 4 ชื่อว่า เทวธรรม, " รากษสน้ำก็ฉุดแม้จันทกุมารนั้นลงน้ำ
ไปพักไว้อย่างนั้นเหมือนกัน.
1. ปทานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2470 ว่า รากษส (รากสด) ยักษ์ ผีเสื้อน้ำ เป็น
ชื่อพวกอสูรอย่างเลว มีนิสัยดุร้าย ชอบเที่ยวตามป่า ทำลายพิธีและคน.

พระโพธิสัตว์แสดงเทวธรรมแก่รากษส


พระโพธิสัตว์แม้เมื่อจันทกุมารนั้นเช้าอยู่ จึงคิดว่า "อันตรายจะ
พึงมี" ดังนี้แล้ว จึงไปเอง เห็นรอย (เท้า) ลงแห่งกุมารแม้ทั้งสองแล้ว
ก็ทราบว่า "สระนี้มีรากษสรักษา" จึงสอดพระขรรค์ไว้ ถือธนูได้ยืน
แล้ว. รากษสเห็นพระโพธิสัตว์นั้นไม่ลง (สู่สระ) จึงแปลงเพศเป็นชาย
ชาวป่า มากล่าวปราศรัยว่า "ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านเดินทางอ่อนเพลีย
ทำไม จึงไม่ลงสู่สระนี้ อาบน้ำ, ดื่มน้ำ, เคี้ยวกินเหง้าบัว ประดับดอกไม้
แล้ว จึงไปเปล่า ?"
พระโพธิสัตว์พอเห็นบุรุษนั้นก็ทราบได้ว่า "ผู้นี้เป็นยักษ์" จึง
กล่าวว่า "ท่านจับเอาน้องชายทั้งสองของข้าพเจ้าไว้หรือ ?"
ยักษ์. เออ ข้าพเจ้าจับไว้.
โพธิสัตว์. จับไว้ทำไม ?
ยักษ์. ข้าพเจ้า ย่อมได้ (เพื่อกิน) ผู้ลงสู่สระนี้.
โพธิสัตว์. ก็ท่านย่อมได้ทุกคนเทียวหรือ ?
ยักษ์. เว้นผู้รู้เทวธรรม คนที่เหลือ ข้าพเจ้าย่อมได้.
โพธิสัตว์. ก็ท่านมีความต้องการด้วยเทวธรรมหรือ ?
ยักษ์. ข้าพเจ้ามีความต้องการ.
โพธิสัตว์. ข้าพเจ้าจักกล่าว (ให้ท่านฟัง).
ยักษ์. ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวเถิด.
โพธิสัตว์. ข้าพเจ้ามีตัวสกปรก ไม่อาจกล่าวได้.
ยักษ์ให้พระโพธิสัตว์อาบน้ำ ให้ดื่มน้ำอันควรดื่ม ตบแต่งแล้ว

เชิญขึ้นสู่บัลลังก์ ในท่ามกลางมณฑปอันแต่งไว้ ตัวเองหมอบอยู่แทบ
บาทมูลของพระโพธิสัตว์นั้น.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์บอกกะยักษ์นั้นว่า "ท่านจงฟังโดยเคารพ"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"นักปราชญ์ เรียกคนผู้ถึงพร้อมด้วยหิริและ
โอตตัปปะ ตั้งมั่นดีแล้วในธรรมขาว เป็นผู้สงบเป็น
สัตบุรุษในโลกว่า 'ผู้ทรงเทวธรรม."

ยักษ์ฟังธรรมเทศนานี้แล้วเลื่อมใส กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า
" ท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อท่านแล้ว จะให้น้องชายคนหนึ่ง, จะนำ
คนไหนมา ?"
โพธิสัตว์. จงนำน้องชายคนเล็กมา.
ยักษ์. ท่านบัณฑิต ท่านรู้เทวธรรมอย่างเดียวเท่านั้น, แต่ท่านไม่
ประพฤติในเทวธรรมเหล่านั้น.
โพธิสัตว์. เพราะเหตุไร ?
ยักษ์. เพราะท่านให้นำน้องชายคนเล็กมาเว้นคนโตเสีย ย่อมไม่
ชื่อว่าทำอปจายิกกรรม1ต่อผู้เจริญ.

พระโพธิสัตว์ทั้งรู้ทั้งพฤติเทวธรรม


พระโพธิสัตว์ตรัสว่า "ยักษ์ เรารู้ทั้งเทวธรรม, ทั้งประพฤติใน
เทวธรรมนั้น, เพราะเราอาศัยน้องชายคนเล็กนั่น พวกเราจึงต้องเข้าป่า
นี้, เหตุว่า มารดาของน้องชายนั่น ทูลขอราชสมบัติกะพระราชบิดาของ
เราทั้งสอง เพื่อประโยชน์แก่น้องชายนั้น, ก็พระบิดาของเราไม่พระราช-
ทานพรนั้น ทรงอนุญาตการอยู่ป่า เพื่อประโยชน์แก่การตามรักษาเรา
1. กรรมคือการทำความอ่อนน้อม.

ทั้งสอง. กุมารนั้นไม่กลับ มากับพวกเรา. แม้เมื่อข้าพเจ้าจะกล่าวว่า
ยักษ์ตนหนึ่งในป่าเคี้ยวกินน้องชายคนเล็กนั้น ' ดังนี้ ใคร ๆ ก็จักไม่
เชื่อ. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าผู้กลัวต่อภัยคือการครหา จึงให้นำน้องชาย
คนเล็กนั้นผู้เดียวมาให้. "
ยักษ์เลื่อมใสต่อพระโพธิสัตว์ สรรเสริญว่า " สาธุ ท่านบัณฑิต
ท่านผู้เดียวทั้งรู้เทวธรรม ทั้งประพฤติในเทวธรรม " ดังนี้แล้ว จึงได้
นำเอาน้องชายแม้ทั้งสองคนมาให้.

พระโพธิสัตว์ได้ครองราชสมบัติ


ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสพรรณนาโทษในความเป็นยักษ์แล้ว
ให้ยักษ์นั้นดำรงอยู่ในศีล 5. พระโพธิสัตว์นั้น เป็นผู้มีความรักษาอัน
ยักษ์นั้นจัดทำด้วยดีแล้ว อยู่ในป่านั้น. ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคต
แล้ว. พายักษ์ไปยังกรุงพาราณสี ครอบครองราชสมบัติแล้ว พระราช-
ทานตำแหน่งอุปราชแก่จันทกุมาร พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่สุริย-
กุมาร โปรดให้สร้างที่อยู่ในรัมณียสถานแก่ยักษ์. (และ) ได้ทรงทำโดย
ประการที่ยักษ์นั้นจะถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ.

พระศาสดาทรงย่อชาดก


พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า " รากษสน้ำนั้น ในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุผู้มีภัณฑะมาก, สุริย-
กุมาร เป็นพระอานนท์. จันทกุมาร เป็นพระสารีบุตร. มหิสสาสกุมาร
ได้เป็นเรานี่เอง."
พระศาสดา ครั้นตรัสชาดกอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า " ภิกษุ ในกาล
ก่อน เธอแสวงหาเทวธรรม ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะเที่ยวไปอย่าง