เมนู

ก็ในขณะนั้น หงส์ทั้งหลายไปโดยอากาศแล้ว. พระศาสดาตรัส ว่า
" อานนท์ อิทธิบาท 4 อันผู้ใดแลเจริญดีแล้ว. ผู้นั้น ย่อมไปโดยอากาศ
ดุจหงส์ฉะนั้น " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
8. หํสา อาทิจฺจปเถ ยนฺติ อากาเส ยนฺติ อิทฺธิยา
นียนฺติ ธีรา โลกมฺหา เชตฺวา มารํ สวาหนํ.
" หงส์ทั้งหลาย ย่อมไปในทางแห่งดวงอาทิตย์.
ท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายย่อมไปในอากาศด้วยฤทธิ์, ธีร-
ชนชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ย่อมออกไปจาก
โลกได้. "

แก้อรรถ


บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า :-
" หงส์เหล่านี้ ย่อมไปในทางแห่งดวงอาทิตย์คือในอากาศ. ก็
อิทธิบาทอันชนเหล่าใดเจริญดีแล้ว. ชนแม้เหล่านั้น ย่อมไปในอากาศ
ด้วยฤทธิ์. แม้ธีรชนทั้งหลายคือบัณฑิต ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว
ย่อมออกไป คือย่อมสลัดออกจากโลกคือวัฏฏะนี้ ได้แก่ถึงพระนิพพาน."
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุ 30 รูป จบ.

9. เรื่องนางจิญจมาณวิกา [145]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางจิญจ-
มาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เอกธมฺมมตีตสฺส1 " เป็นต้น.

พวกเดียรถีย์ริษยาพระพุทธศาสนา


ความพิสดารว่า ในปฐมโพธิกาล เมื่อสาวกของพระทศพลมีมาก
หาประมาณมิได้. เมื่อพวกเทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิ, เมื่อการเกิด
ขึ้นแห่งพระคุณของพระศาสดาแผ่ไปแล้ว. ลาภสักการะเป็นอันมากเกิดขึ้น
แล้ว. พวกเดียรถีย์ เป็นผู้เช่นกับแสงหิ่งห้อยในเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น เป็นผู้
เสื่อมลาภสักการะ. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น ยืนในระหว่างถนน แม้ประกาศ
ให้พวกมนุษย์รู้แจ้งอยู่อย่างนั้นว่า " พระสมณโคดมเท่านั้นหรือ เป็น
พระพุทธเจ้า." แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า; ทานที่เขาให้แล้วแก่
พระสมณโคดมนั้นเท่านั้นหรือ มีผลมาก. ทานที่เขาให้แล้วแม้แก่เรา
ทั้งหลายก็มีผลมากเหมือนกัน; ท่านทั้งหลาย จงให้ จงทำ แก่เราทั้งหลาย
บ้าง " ดังนี้แล้ว ไม่ได้ลาภสักการะแล้ว ประชุมคิดกันในที่ลับว่า
" พวกเรา พึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ในระหว่างมนุษย์
ทั้งหลาย พึงยังลาภสักการะให้ฉิบหายโดยอุบายอะไรหนอแล ? " กาลนั้น
ในกรุงสาวัตถี มีนางปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อว่าจิญจมาณวิกา เป็นผู้ทรง
รูปอันเลอโฉม ถึงความเลิศด้วยความงาม เหมือนนางเทพอัปสรฉะนั้น,
รัศมีย่อมเปล่งออกจากสรีระของนางนั้น.
1. พระไตรปิฎก เป็น เอกํ ธมฺมํ อตีตสฺส.

นางจิญจมาณวิการับอาสาพวกเดียรถีย์


ลำดับนั้น เดียรถีย์ผู้มีความรู้เฉียบแหลมคนหนึ่ง กล่าวอย่างนั้นว่า
" เราทั้งหลายอาศัยนางจิญจมาณวิกา พึงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม
ยังลาภสักการะ (ของเธอ) ให้ฉิบหายได้." เดียรถีย์เหล่านั้น รับรองว่า
" อุบายนี้ มีอยู่." ต่อมา นางจิญจมาณวิกานั้นไปสู่อารามของเดียรถีย์
ไหว้แล้วได้ยืนอยู่. พวกเดียรถีย์ไม่พูดกับนาง. นางจึงคิดว่า " เรามีโทษ
อะไรหนอแล ? " แม้พูดครั้งที่ 3 ว่า " พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ "
ดังนี้แล้วจึงพูดว่า " พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีโทษอะไรหนอแล ?
เพราะเหตุอะไร ท่านทั้งหลาย จึงไม่พูดกับดิฉัน ? "
เดียรถีย์. น้องหญิง เจ้าย่อมไม่ทราบซึ่งพระสมณโคดม ผู้เบียดเบียน
เราทั้งหลาย เที่ยวทำเราทั้งหลายให้เสื่อมลาภสักการะหรือ ?
นางจิญจมาณวิกา. ดิฉันยังไม่ทราบ เจ้าข้า. ก็ในเรื่องนี้ดิฉัน
ควรทำอย่างไรเล่า ?
เดียรถีย์. น้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาความสุขแก่เราทั้งหลายไซร้,
จงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดมแล้ว ยังลาภสักการะให้ฉิบหาย
เพราะอาศัยตน.
นางกล่าวว่า " ดีละ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย. ข้อนี้จงเป็นภาระ
ของดิฉันเอง. ท่านทั้งหลายอย่าคิดแล้ว " ดังนี้แล้ว หลีกไป ห่มผ้ามีสี
ดุจแมลงค่อมทอง มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้นในมือ มุ่งหน้า
ตรงพระเชตวัน ไปอยู่ในสมัยเป็นที่ฟังธรรมกถาแห่งชนชาวเมืองสาวัตถี
แล้วออกไปจากพระเชตวัน ตั้งแต่กาลนั้น เพราะความที่นางเป็นผู้ฉลาด
ในมารยาทของหญิง. เมื่อผู้อื่นถามว่า " นางจะไปไหนในเวลานี้ ? " จึง

กล่าวว่า " ประโยชน์อะไรของท่านทั้งหลายด้วยที่ที่เราไป " พักอยู่
ในวัดของเดียรถีย์ในที่ใกล้พระเชตวัน เมื่อคนผู้เป็นอุบาสกออกจาก
พระนครแต่เช้าตรู่ ด้วยหวังว่า " จักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า "
(นาง) ทำทีเหมือนอยู่ในพระเชตวัน เข้าไปสู่พระนคร เมื่อคนผู้เป็นอุบาสก
ถามว่า " ท่านอยู่ ณ ที่ไหน ? " แล้วจึงกล่าวว่า " ประโยชน์อะไรของ
ท่านทั้งหลายด้วยที่ที่เราอยู่ " โดยกาลล่วงไป 1 - 2 เดือน เมื่อถูกถาม
จึงกล่าวว่า " เราอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ใน
พระเชตวัน " ยังความสงสัยให้เกิดขึ้นแก่ปุถุชนทั้งหลายว่า " ข้อนั้นจริง
หรือไม่หนอ ? " โดยกาลล่วงไป 3 - 4 เดือน เอาท่อนผ้าพันท้อง แสดง
เพศของหญิงมีครรภ์ ให้เหล่าชนอันธพาลถือเอาว่า " ครรภ์บังเกิดขึ้น
เพราะอาศัยพระสมณโคดม " โดยกาลล่วงไป 8 - 9 เดือน ผูกไม้กลมไว้
ที่ท้องห่มผ้าทับข้างบน ให้ทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโค แสดงอาการ
บวมขึ้น มีอินทรีย์บอบช้ำ เมื่อพระตถาคตประทับนั่งแสดงธรรมบน
ธรรมาสน์ที่ประดับแล้วในเวลาเย็น, ไปสู่ธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์
ของพระตถาคตแล้ว กล่าวว่า " มหาสมณะ พระองค์ (ดีแต่) แสดงธรรม
แก่มหาชนเท่านั้น. เสียงของพระองค์ไพเราะ. พระโอษฐ์ของพระองค์
สนิท; ส่วนหม่อมฉัน อาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว
พระองค์ไม่ทรงทราบเรือนเป็นที่คลอดของหม่อมฉัน, ไม่ทรงทราบเครื่อง
ครรภบริหารมีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น, เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอก
พระเจ้าโกศล หรืออนาถบิณฑิกะ หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใด
คนหนึ่ง แม้บรรดาอุปัฏฐากทั้งหลายว่า ่ท่านจงทำกิจที่ควรทำแก่นาง-
จิญจมาณวิกานี้, พระองค์ทรงรู้แต่จะอภิรมย์เท่านั้น,ื ไม่ทรงรู้ครรภบริหาร "

เหมือนพยายามจับก้อนคูถ ปามณฑลพระจันทร์ฉะนั้น ด่าพระตถาคต
ในท่ามกลางบริษัทแล้ว.
พระตถาคต ทรงงดธรรมกถาแล้ว เมื่อจะทรงบันลือเยี่ยงอย่างสีหะ
จึงตรัสว่า " น้องหญิง ความที่คำอันเจ้ากล่าวแล้ว จะจริงหรือไม่ เรา
และเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้. "
นางจิญจมาณวิกา. อย่างนั้น มหาสมณะ ข้อนั้น เกิดแล้วโดยความ
ที่ท่านและหม่อมฉันทราบแล้ว .

เทพบุตรทำลายกลอุบายของนางจิญจมาณวิกา


ขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรง
ใคร่ครวญอยู่ ก็ทราบว่า " นางจิญจมาณวิกา ย่อมด่าพระตถาคตด้วยคำ
ไม่เป็นจริง " แล้วทรงดำริว่า " เราจักชำระเรื่องนี้ให้หมดจด " จึงเสด็จ
มากับเทพบุตร 4 องค์. เทพบุตรทั้งหลายแปลงเป็นลูกหนูกัดเชือกที่ผูก
ท่อนไม้กลม ด้วยอันแทะทีเดียวเท่านั้น. ลมพัดเวิกผ้าห่มขึ้น. ไม้กลม
พลัดตกลงบนหลังเท้าของนางจิญจมาณวิกานั้น. ปลายเท้าทั้ง 2 ข้างแตก
แล้ว. มนุษย์ทั้งหลายพูดว่า " แน่ะนางกาลกรรณี เจ้าด่าพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้า " ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ มีมือถือก้อนดินและท่อนไม้ ฉุดลาก
ออกจากพระเชตวัน.

นางจิญจมาณวิกาถูกแผ่นดินสูบ


ครั้นในเวลานางล่วงคลองพระเนตรของพระตถาคตไป แผ่นดิน
ใหญ่แตกแยกช่องให้แล้ว. เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจี. นางจิญจมาณวิกานั้น
ไปเกิดในอเวจี เป็นเหมือนห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้. ลาภสักการะของ
พวกเดียรถีย์เสื่อมแล้ว (แต่กลับ) เจริญแก่พระทศพลโดยประมาณยิ่ง.

ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า " ผู้มีอายุทั้งหลาย
นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ควรทักษิณาอันเลิศ ผู้มีคุณ
อันยิ่งอย่างนี้ ด้วยคำไม่จริง จึงถึงความพินาศใหญ่แล้ว." พระศาสดา
เสด็จมา ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วย
ถ้อยคำอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า " ด้วยถ้อยคำชื่อนี้. "
แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เท่านั้นหามิได้. ถึงในกาลก่อน
นางจิญจมาณวิกานั้น ก็ด่าเราด้วยคำไม่จริง ถึงความพินาศแล้วเหมือนกัน "
ดังนี้แล้ว จึงตรัสมหาปทุมชาดก*ในทวาทสกนิบาตนี้ให้พิสดารว่า :-
" ผู้เป็นใหญ่ไม่เห็นโทษน้อยใหญ่ ของผู้อื่นโดย
ประการทั้งปวงแล้ว ไม่ทันพิจารณาเห็นเอง ไม่พึง
ลงอาญา."

พระโพธิสัตว์ถูกทิ้งลงเหวแต่ไม่ตาย


(พระองค์ตรัสว่า) " ได้ยินว่า ในกาลนั้น นางจิญจมาณวิกานั้น
เป็นผู้ร่วมสามีของพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงนามว่ามหาปทุมกุมาร
เป็นอัครมเหสีของพระราชา เชิญชวนพระมหาสัตว์ด้วยอสัทธรรม ไม่ได้
ความยินยอมของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ทำประการแปลกในตนด้วยตนเอง
แสดงอาการลวงว่าเป็นไข้ จึงกราบทูลแด่พระราชาว่า " พระราชโอรสของ
พระองค์ ยังหม่อมฉันผู้ไม่ปรารถนาอยู่ ให้ถึงประการแปลกนี้. " พระราชา
กริ้ว ทิ้งพระมหาสัตว์ไปในเหวเป็นที่ทิ้งโจร.
1. ขุ. ชา. ทวาทสก. 27/338. อรรถกถา. 6/130.

ลำดับนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่ท้องแห่งภูเขา (หุบเขา) รับพระมหาสัตว์
นั้นแล้ว ให้ประดิษฐานอยู่ในห้องพังพานของพระยานาค. พระยานาค
นำพระมหาสัตว์นั้นไปสู่ภพนาค ทรงรับรองด้วยราชสมบัติกึ่งหนึ่ง.
พระมหาสัตว์นั้นอยู่ในภพนาคนั้นสิ้นปีหนึ่ง ใคร่จะบวช จึงมาสู่หิมวันต-
ประเทศ บวชแล้ว ให้ฌานและอภิญญาบังเกิดแล้ว.

พระโพธิสัตว์ถวายพระโอวาทแก่พระราชา


ต่อมา พรานไพรผู้หนึ่งเห็นพระมหาสัตว์นั้น จึงกราบทูลแด่
พระราชา. พระราชาเสด็จไปสู่สำนักของพระมหาสัตว์นั้นแล้ว มีปฏิสันถาร
อันพระมหาสัตว์ทำแล้ว ทรงทราบประพฤติเหตุนั้นทั้งหมด ทรงเชื้อเชิญ
พระมหาสัตว์ด้วยราชสมบัติ อันพระมหาสัตว์นั้นถวายโอวาทว่า " กิจด้วย
ราชสมบัติของหม่อมฉันไม่มี, ก็พระองค์จงอย่าให้ราชธรรม 10 ประการ
กำเริบ ทรงละการถึงอคติเสียแล้ว เสวยราชสมบัติโดยธรรมเถิด " ดังนี้
แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกันแสง เสด็จไปสู่พระนคร จึงตรัสถาม
อำมาตย์ทั้งหลายในระหว่างหนทางว่า " เราถึงความพลัดพรากจากบุตร
ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอาจาระอย่างนั้นเพราะอาศัยใคร ? "
อำมาตย์. เพราะอาศัยพระอัครมเหสี พระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้จับพระอัครมเหสีนั้น ให้มีเท้าขึ้นแล้ว ทิ้งไป
ในเหวที่ทิ้งโจร เสด็จเข้าไปสู่พระนคร เสวยราชสมบัติโดยธรรม
มหาปทุมกุมารในกาลนั้น ได้เป็นพระมหาสัตว์. หญิงร่วมสามีของ
พระมารดา ได้เป็นนางจิญจมาณวิกา.
พระศาสดาครั้นทรงประกาศเนื้อความนี้แล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย ก็ขึ้นชื่อว่าบาปกรรม อันบุคคลผู้ละคำสัตย์ ซึ่งเป็นธรรมอย่าง