เมนู

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺสีโล คือ ไม่มีศีล.
บทว่า สีลวนฺตสฺส ความว่า ความเป็นอยู่แม้วันเดียว คือ
แม้ครู่เดียวของผู้มีศีล มีฌาน ด้วยฌาน 2 ประการ ประเสริฐ คือ
สูงสุดกว่าความเป็นอยู่ 100 ปีของผู้ทุศีล.
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุแม้ 500 นั้นบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย, ธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้ประชุม
กัน.

ประวัติอธิมุตตกสามเณร


โดยสมัยอื่นอีก สังกิจจะได้อุปสมบทแล้วมีพรรษา 10 จึงรับ
สามเณรไว้. ก็สามเณรนั้นเป็นหลานของท่านเอง ชื่ออธิมุตตกสามเณร.
ครั้งนั้น พระเถระเรียกสามเณรนั้นมาในเวลามีอายุครบส่งไปด้วยคำว่า
" เราจักทำการอุปสมบทเธอ, จงไป, ถามจำนวนอายุในสำนักพวกญาติ
แล้วจงมา." อธิมุตตกสามเณรนั้น เมื่อไปสำนักของมารดาบิดา ถูก
พวกโจร 500 คนจะฆ่าให้ตายเพื่อต้องการทำพลีกรรมในระหว่างทาง
แสดงธรรมแก่โจรเหล่านั้นเป็นผู้อันพวกโจรมีจิตเลื่อมใส ปล่อยไปด้วย
คำว่า "ท่านไม่พึงบอกความที่พวกผมมีอยู่ในที่นี้แก่ใคร ๆ" เห็นมารดา
บิดาเดินสวนทางมาก็รักษาสัจจะไม่บอกแก่มารดาบิดาเหล่านั้น แม้เดินไป
ทางนั้นนั่นแหละ. เมื่อมารดาบิดานั้นถูกพวกโจรเบียดเบียน คร่ำครวญ
พูดว่า "ชะรอยว่าแม้ท่านก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกโจรจึงไม่บอกแก่เรา"
โจรเหล่านั้นได้ยินเสียงแล้ว รู้ความที่สามเณรไม่บอกแก่มารดาบิดา ก็มีจิต

เลื่อมใส ขอบรรพชา. แม้อธิมุตตกสามเณรนั้นก็ยังโจรเหล่านั้นทั้งหมด
ให้บวชแล้ว เหมือนสังกิจจสามเณร นำมายังสำนักพระอุปัชฌาย์ ผู้อัน
พระอุปัชฌาย์นั้นส่งไปยังสำนักพระศาสดา พาภิกษุเหล่านั้นไป กราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระศาสดาแล้ว. พระศาสดาตรัสถามว่า "เขาว่าอย่างนั้นหรือ ?
ภิกษุทั้งหลาย" เมื่อพวกภิกษุทูลว่า "ถูกแล้วพระเจ้าข้า" เมื่อจะทรง
สืบอนุสนธิแสดงธรรมโดยนัยก่อนนั้นแล จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็นอยู่ 100 ปี,
ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌาน ประเสริฐ
ว่า [ความเป็นอยู่ของผู้นั้น]."

(ชื่อเรื่องอธิมุตตกสามเณร) แม้นี้ ข้าพเจ้าก่กล่าวไว้แล้วด้วย
พระคาถานี้เหมือนกัน.
เรื่องสังกิจจสามเณร จบ.

10. เรื่องพระขานุโกณฑัญญเถระ [90]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระขานุ-
โกณฑัญญเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย จ สฺสสตํ ชีเว "
เป็นต้น.

พระเถระนั่งเข้าฌาน โจรเอาห่อของทับไม่รู้สึก


ได้ยินว่า พระเถระนั้นเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดาอยู่ในป่า
บรรลุพระอรหัตแล้วคิดว่า "จักทูลพระศาสดา" เมื่อมาจากที่นั้นเหน็ด
เหนื่อยในระหว่างทาง แวะจากทางนั่งเข้าฌานบนศิลาดาด1แห่งหนึ่ง.
ครั้งนั้น โจร 500 คนปล้นบ้านแห่งหนึ่งแล้วผูกห่อสิ่งของตามสมควร
แก่กาลังของตน เอาศีรษะเทินเดินไป ครั้นเดินไปไกลก็เหน็ดเหนื่อย
คิดว่า 'เรามาไกลแล้ว, จักพักเหนื่อยบนศิลาดาดนี้' แวะจากทางไปยัง
ที่ใกล้ศิลาดาด แม้เห็นพระเถระแล้วก็มีความสำคัญว่า "นี่เป็นตอไม้."
ลำดับนั้น โจรคนหนึ่งวางห่อสิ่งของลงบนศีรษะพระเถระ. โจรคนอื่น ๆ
ก็วางห่อสิ่งของพิงพระเถระนั้น. ด้วยประการฉะนี้ โจรแม้ทัง 500 คน
เอาห่อสิ่งของ 500 ห่อล้อมรอบพระเถระ แม้ตนเองก็นอนหลับ ตื่น
ในเวลาอรุณขึ้น คว้าห่อของตน ๆ ได้เห็นพระเถระก็เริ่มจะหนีไป ด้วย
สำคัญว่า "เป็นอมนุษย์."
ทันใดนั้น พระเถระกล่าวกะพวกโจรนั้นว่า "อย่ากลัวเลยอุบาสก,
1. ปิฏฐิปาสาเณ บนแผ่นหินมีหลัง.

ฉันเป็นบรรพชิต." โจรเหล่านั้นหมอบลงที่ใกล้เท้าพระเถระ ให้พระเถระ
อดโทษด้วยคำว่า " โปรดอดโทษเถิด ขอรับ. พวกกระผมได้สำคัญว่า
ตอไม้," เมื่อหัวหน้าโจรบอกว่า "เราจักบวชในสำนักพระผู้เป็นเจ้า,"
พวกโจรที่เหลือก็กล่าวว่า "แม้พวกเราก็จักบวช" มีฉันทะเป็นอันเดียวกัน
ทั้งหมดเทียว ขอบรรพชากะพระเถระ. พระเถระให้โจรเหล่านั้นทั้งหมด
บวช ดุจสังกิจจสามเณร. จำเดิมแต่นั้น พระเถระปรากฏชื่อว่า "ขานุ-
โกณฑัญญะ." ท่านไปสำนักพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุเหล่านั้น, เมื่อ
พระศาสดาตรัสถามว่า โกณฑัญญะ เธอได้อันเตวาสิกแล้วหรือ ? จึง
กราบทูลเรื่องนั้น.

คนมีปัญญาดีกว่าคนทรามปัญหา


พระศาสดาตรัสถามว่า "เขาว่าอย่างนั้นหรือ ? ภิกษุทั้งหลาย"
เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า " ถูกแล้ว พระเจ้าข้า, พวกข้าพระองค์
ไม่เคยเห็นอานุภาพเห็นปานนั้นของผู้อื่นเลย, ด้วยเหตุนั้น พวกข้าพระองค์
จึงบวช," จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอยู่แม้วันเดียวของพวก
เธอ ผู้ประพฤติในปัญญาสัมปทาในบัดนี้ ประเสริฐกว่าความตั้งอยู่ใน
กรรมของผู้มีปัญญาทรามเห็นปานนั้น เป็นอยู่ตั้ง 100 ปี" ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
10. โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ณายิโน.
"ก็ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็น
อยู่ 100 ปี, ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีปัญญา มี
ฌาน ประเสริฐกว่า [ความเป็นอยู่ของผู้นั้น]."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุปฺปญฺโญ ความว่า ผู้ไร้ปัญญา
บทว่า ปญฺญวนฺตสฺส ความว่า ผู้เป็นไปกับด้วยปัญญา. คำที่
เหลือเช่นเดียวกับคำมีในก่อนนั่นแล.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุแม้ 500 รูป บรรลุพระอรหัต พร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาแล้ว, พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้
ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องพระขานุโกณฑัญญเถระจบ.

11. เรื่องพระสัปปทาสเถระ [91]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสัปปทาส-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย จ วสฺสสตํ ชีเว" เป็นต้น.

พระเถระให้งูกัดตัว


ดังได้สดับมา กุลบุตรผู้หนึ่งในกรุงสาวัตถี ฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดาแล้ว บรรพชาได้อุปสมบทแล้ว โดยสมัยอื่นอีก กระสันขึ้น
จึงคิดว่า "ชื่อว่าภาวะแห่งคฤหัสถ์ ไม่ควรแก่กุลบุตรเช่นเรา. แม้การ
ดำรงอยู่ในบรรพชาแล้วตายไป เป็นความดีของเรา" ดังนี้แล้ว ก็เที่ยว
คำนึงหาอุบายเพื่อมรณะของตนอยู่.
ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสรงน้ำแต่เช้าตรู่ ทำภัตกิจเสร็จแล้ว
ไปสู่วิหาร เห็นงูที่โรงไฟ จึงใส่งูนั้นไว้ในหม้อใบหนึ่งปิดหม้อแล้วถือ
ออกจากวิหาร. ฝ่ายภิกษุผู้กระสัน ทำภัตกิจแล้วเดินมาเห็นภิกษุเหล่านั้น
จึงถามว่า "นี่อะไร ? ผู้มีอายุ" เมื่อพวกภิกษุตอบว่า "งู ผู้มีอายุ"
จึงถามว่า "จักทำอะไรด้วยงูนี้ ?" ฟังคำของภิกษุเหล่านั้นว่า "เราจัก
ทิ้งมัน" คิดว่า "เราจักให้งูนี้กัดตัวตายเสีย" จึงกล่าวว่า "นำมาเถิด,
กระผมจักทิ้งมันเอง" รับหม้อจากมือของภิกษุเหล่านั้นแล้ว นิ่งอยู่ในที่
แห่งหนึ่งแล้ว ก็ให้งูนั้นกัดตน. งูไม่ปรารถนาจะกัด. ภิกษุนั้นเอามือ

ล้วงลงในหม้อแล้ว คนข้างโน้นข้างนี้, เปิดปากงูแล้วสอดนิ้วมือเข้าไป.
งูก็ไม่กัดเธอเลย. เธอคิดว่า "งูนี้มิใช่งูมีพิษ, เป็นงูเรือน" จึงทิ้งงูนั้น
แล้วได้ไปยังวิหาร.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะเธอว่า "ผู้มีอายุ ท่านทิ้งงูแล้ว
หรือ ?"
ภิกษุกระสัน . ผู้มีอายุ นั้นจะไม่ใช่งู (พิษ), นั่นเป็นงูเรือน.
ภิกษุ. ผู้มีอายุ งู (พิษ) ทีเดียว แผ่แม่เบี้ยใหญ่ ขู่ฟู่ฟู่ พวก
ผมจับได้โดยยาก, เพราะเหตุไร ท่านจึงว่าอย่างนี้ ?
ภิกษุกระสัน. ผู้มีอายุ ผมให้มันกัดอวัยวะบ้าง สอดนิ้วมือเข้าใน
ปากบ้าง ก็ไม่อาจให้มันกัดได้.
พวกภิกษุฟังคำนั้นแล้ว ได้นิ่งเสีย.

พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วมีชื่อว่าสัปปทาสะ


ภายหลังวันหนึ่ง ช่างกัลบกถือมีดโกน 2-3 เล่ม ไปวิหาร
วางมีดโกนเล่มหนึ่งไว้ที่พื้น เอาเล่มหนึ่งปลงผมของภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุ
กระสันนั้น จับมีดโกนเล่มที่เขาวางไว้ที่พื้นแล้ว คิดว่า "จักตัดคอด้วย
มีดโกนนี้ตาย" จึงยืนพาดคอไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้ว จ่อคมมีดโกนที่
ก้านคอ ใคร่ครวญถึงศีลของตน จำเดิมแต่กาลอุปสมบท ได้เห็นศีล
หมดมลทิน ดังดวงจันทร์ปราศจากมลทิน และดังดวงแก้วมณีที่ขัดดี. เมื่อ
เธอตรวจดูศีลนั้นอยู่, ปีติเกิดแผ่ซ่านทั่วทั้งสรีระ. เธอข่มปีติได้แล้ว
เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย จึงถือ