เมนู

กามทั้งหลายแม้ที่เป็นทิพย์, พระสาวกของพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กหาปณวสฺเสน ความว่า บัณฑิตนั้น
ปรบมือแล้ว ยังฝนคือรัตนะ 7 ประการให้ตกลงได้, ฝนคือรัตนะ 7
ประการนั้น ตรัสให้ชื่อว่า กหาปณวสฺสํ ในพระคาถานี้, ก็ขึ้นชื่อว่า
ความอิ่มในวัตถุกามและกิเลสกาม ย่อมไม่มี แม้เพราะฝนคือรัตนะทั้ง 7
ประการนั้น; ความทะยานอยากนั่น เต็มได้ยากด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า อปฺปสฺสาทา คือ ชื่อว่ามีสุขนิดหน่อย เพราะค่าที่กามมี
อุปมาเหมือนความฝันเป็นต้น.
บทว่า ทุกฺขา คือ ชื่อว่ามีทุกข์มากแท้ ด้วยสามารถแห่งทุกข์อัน
มาในทุกขักขันธสูตร1เป็นต้น.
บทว่า อิติ วิญฺญาย คือ รู้กามทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยอาการ
อย่างนี้.
บทว่า อปิ ทิพฺเพสุ ความว่า ก็ถ้าใคร ๆ พึงเธอเชิญด้วยกามอัน
เข้าไปสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลาย. ถึงอย่างนั้นท่านย่อมไม่ประสบความยินดี
ในกามเหล่านั้นเลย เหมือนท่านพระสมิทธิ ที่ถูกเทวดาเธอเชื้อเชิญฉะนั้น.
บทว่า ตณฺหกฺขยรโต ความว่า เป็นผู้ยินดียิ่ง ในพระอรหัตและ
ในพระนิพพาน คือปรารถนาพระอรหัตและพระนิพพานอยู่.
1. ม. มู. มหาทุกขักขันธสูตร 12/166. จูฬทุกขักขันธสูตร 12/179.

ภิกษุโยคาวจรผู้เกิดในที่สุดแห่งการฟังธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว ชื่อว่าพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. เทศนาได้มี
ประโยชน์แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุผู้ไม่ยินดี จบ.

6. เรื่องปุโรหิตชื่ออัคคิทัต. [153]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา (เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน) ประทับนั่งบนกอง
ทราย ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ชื่ออัคคิทัต ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ว่า " พหุํ เว สรณํ ยนฺติ " เป็นต้น.

อัคคิทัตได้เป็นปุโรหิตถึง 2 รัชกาล


ดังได้สดับมา อัคคิทัตนั้น ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล.
ครั้นเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระราชาทรงพระนามว่า ปเสนทิโกศล
ทรงดำริว่า " ผู้นี้เป็นปุโรหิตแห่งพระชนกของเรา " จึงตั้งเขาไว้ใน
ตำแหน่งนั้นนั่นแล ด้วยความเคารพ ในเวลาเขามาสู่ที่บำรุงของพระองค์
ทรงทำการเสด็จลุกรับ. รับสั่งให้พระราชทานอาสนะเสมอกัน ด้วยพระ-
ดำรัสว่า " อาจารย์ เชิญนั่งบนอาสนะนี้. "

อัคคิทัตออกบวชนอกพระพุทธศาสนา


อัคคิทัตนั้น คิดว่า " พระราชานี้ทรงทำความเคารพในเราอย่าง
เหลือเกิน, แต่เราก็ไม่อาจเอาใจของพระราชาทั้งหลายได้ตลอดกาลเป็น
นิตย์เทียว; อนึ่ง พระราชาก็เยาว์วัย ยังหนุ่มน้อย, ชื่อว่าความเป็นพระ-
ราชากับด้วยคนผู้มีวัยเสมอกันนั่นแล เป็นเหตุให้เกิดสุข; ส่วนเราเป็นคน
แก่, เราควรบวช " เขากราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชา-
นุญาตการบรรพชาแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์
ของตนทั้งหมดในเพราะการให้ทานเป็นใหญ่ตลอด 7 วันแล้ว บวชเป็น
นักบวชภายนอก. บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว. อัคคิทัต

นั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้น
มคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน) ให้โอวาทนี้ว่า " พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอ
ทั้งหลาย ผู้ใดมีกามวิตกเป็นต้น เกิดขึ้น, ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่ง ๆ
จากแม่น้ำ (มา) เกลี่ยลง ณ ที่นี้. " พวกนักบวชเหล่านั้นรับว่า " ดีละ " ใน
เวลากามวิตกเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำอย่างนั้น. โดยสมัยอื่นอีก ได้มีกอง
ทรายใหญ่แล้ว. นาคราชชื่อ อหิฉัตตะ หวงแหนกองทรายใหญ่นั้น. ชาว
อังคะ มคธะ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไป ถวาย
ทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุกๆเดือน.

อัคคิทัตสอนประชาชนให้ถึงสรณะ


ครั้งนั้น อัคคิทัตได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้น ดังนี้ว่า " พวกท่าน
จงถึงภูเขาเป็นสรณะ, จงถึงป่าเป็นสรณะ, จงถึงอารามเป็นสรณะ, จงถึง
ต้นไม้เป็นสรณะ; พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้ "
กล่าวสอนแม้ซึ่งอันเตวาสิกของตน ด้วยโอวาทนี้เหมือนกัน.

พระมหาโมคคัลลนะไปทรมานอัคคิทัต


ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรลุสัมมา-
สัมโพธิแล้ว ในสมัยนั้น ทรงอาศัยกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ในพระเชตวัน.
ในเวลาจวนรุ่งทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอัคคิทัตพราหมณ์พร้อมด้วย
อันเตวาสิก ผู้เข้าไปภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์แล้ว ทรงทราบ
ว่า " ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัต "
ในตอนเย็น ตรัสกะพระมหาโมคคัลลานเถระว่า " โมคคัลลานะ เธอเห็น
อัคคิทัตพราหมณ์ผู้ยังมหาชนให้เเล่นไปโดยทางไม่ใช่ท่าไหม ? เธอจงไป,
ให้โอวาทแก่มหาชนเหล่านั้น. "

พระเถระ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นเป็นอันมาก ข้าพระ-
องค์ผู้เดียวพึงข่มขี่ไม่ได้ ถ้าแม้พระองค์จักเสด็จมาไซร้. ชนเหล่านั้นจัก
เป็นอันพึงข่มขี่ได้.
พระศาสดา. โมคคัลลานะ แม้เราก็จักมา. เธอจงล่วงหน้าไป
ก่อน.
พระเถระ กำลังเดินไปเทียว พลางคิดว่า " ชนเหล่านั้น ทั้งมีกำลัง
ทั้งมีมาก, ถ้าเราจักพูดอะไรๆในที่ประชุมของชนทั้งปวงไซร้; ชนแม้
ทั้งหมดพึงลุกขึ้น โดยความเป็นพวกๆ กัน " ยังฝนมีเม็ดหยาบให้ตกลง
แล้ว ด้วยอานุภาพของตน. ชนเหล่านั้น เมื่อฝนมีเม็ดหยาบตกอยู่, ต่าง
ก็ลุกขึ้นแล้ว ๆเข้าไปยังบรรณศาลาของตน ๆ. พระเถระยืนอยู่ที่ประตู
บรรณาศาลาของอัคคิทัตกล่าวว่า อัคคิทัต. เขาได้ยินเสียงของพระเถระ
แล้ว กล่าวว่า " นั่นเป็นใคร ? " เพราะความเป็นผู้กระด้างเพราะมานะว่า
" ในโลกนี้ใคร ๆชื่อว่าผู้สามารถเรียกเราโดย (ออก) ชื่อ ไม่มี, ใคร
หนอแล ? เรียกเราโดย (ออก) ชื่อ. "
พระเถระ. ข้าพเจ้า พราหมณ์.
อัคคิทัต. ท่านพูดอะไร ?
พระเถระ. ขอท่านจงบอกสถานที่พักอยู่ในที่นี้แก่ข้าพเจ้าสิ้นคืน
หนึ่ง ในวันนี้.
อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ในที่นี้ ไม่มี, บรรณาศาลาหลังหนึ่งก็สำหรับ
คนหนึ่งเท่านั้น.
พระเถระ. อัคคิทัต ธรรมดาพวกมนุษย์ ย่อมไปสู่สำนักของพวก

มนุษย์. พวกโคก็ไปสู่สำนักของโค พวกบรรพชิตก็ไปสู่สำนักของพวก
บรรพชิต, ท่านอย่าทำอย่างนั้น, ขอจงให้ที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า.
อัคคิทัต. ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ ?
พระเถระ. เออ ข้าพเจ้าเป็นบรรพชิต.
อัคคิทัต. ถ้าท่านเป็นบรรพชิตไซร้. สิ่งของคือสาแหรกบริขารแห่ง
บรรพชิต ของท่านอยู่ไหน ?
พระเถระ. บริขารของข้าพเจ้ามีอยู่. ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ' ก็การถือ
บริขารนั้นเป็นแผนก เที่ยวไป ลำบาก ' ดังนี้แล้ว จึงถือบริขารนั้นไว้
โดยภายในนั้นแลเที่ยวไป พราหมณ์. "
พราหมณ์นั้นโกรธพระเถระว่า " ท่านจักถือบริขารนั้นเที่ยวไป
หรือ ? " ลำดับนั้น พระเถระจึงพูดกะเขาว่า " (จงหลีกไป) อัคคิทัต
ท่านอย่าโกรธ (ข้าพเจ้า). จงบอกสถานที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า. "
อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ที่นี้ไม่มี.
พระเถระ. ก็ใคร ? อยู่บนกองทรายนั่น.
อัคคิทัต. นาคราชตัวหนึ่ง.
พระเถระ. ท่านจงให้ที่นั้น แก่ข้าพเจ้า.
อัคคิทัต. ข้าพเจ้าไม่อาจให้ได้. กรรมของนาคราชนั่นร้ายกาจ.
พระเถระ. ช่างเถอะ, ขอท่านจงให้แก่เราเถิด.
อัคคิทัต. ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรู้เองเถิด.

พระเถระผจญกับนาคราช


พระเถระ ผินหน้าตรงกองทรายไปแล้ว. นาคราชเห็นพระเถระ
นั้นมา จึงดำริว่า " พระสมณะนี้มาข้างนี้, เห็นจะไม่ทราบความที่เรามีอยู่;

เราจะบังหวนควัน ให้สมณะนั้นตาย " บังหวนควันแล้ว.
พระเถระคิดว่า " นาคราชนี้เห็นจะเข้าใจว่า ' เราเท่านั้นอาจบังหวน
ควันได้. พวกอื่นย่อมไม่อาจ ' ดังนี้แล้ว บังหวนควันแม้เอง. ควัน
ทั้งหลายพุ่งออกจากสรีระแห่งนาคราชและพระเถระ แม้ทั้งสองฝ่าย ตั้งขึ้น
จนถึงพรหมโลก. ควันทั้งสองฝ่ายไม่เบียดเบียนพระเถระ เบียดเบียนแต่
นาคราชฝ่ายเดียว. นาคราชไม่อาจอดทนกำลังแห่งควันได้ จึงให้ลุกโพลง
(เป็นไฟ). ฝ่ายพระเถระเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์แล้ว ให้ลุกโพลง
(เป็นไฟ) พร้อมกับนาคราชนั้นเหมือนกัน. เปลวไฟพุ่งขึ้นไปจนถึง
พรหมโลก. เปลวไฟแม้ทั้งสองฝ่ายไม่เบียดเบียนพระเถระ เบียดเบียนแต่
นาคราชฝ่ายเดียว.

นาคราชแพ้พระเถระ


ลำดับนั้น สรีระทั้งสิ้นของนาคราชนั้น ได้เป็นราวกะว่าถูกคบเพลิง
ทั้งหลายลนทั่วแล้ว. หมู่ฤษีแลดูแล้วคิดว่า " นาคราชเผาสมณะ, สมณะ
คนดีหนอ ไม่เชื่อฟังคำของพวกเรา จึงฉิบหายแล้ว. "
พระเถระ ทรมานนาคราชทำให้หมดพยศแล้ว นั่งบนกองทราย.
นาคราชเอาขนดรวบกองทราย แผ่พังพานประมาณเท่าห้องโถงแห่งเรือน
ยอด กั้นอยู่แล้วเบื้องบนแห่งพระเถระ. หมู่ฤษีไปยังสำนักของพระเถระ
แต่เช้าตรู่ ด้วยคิดว่า " พวกเราจักรู้ความที่สมณะตายแล้วหรือยังไม่ตาย "
เห็นท่านนั่งอยู่บนยอดกองทรายแล้ว ประคองอัญชลีชมเชยอยู่ กล่าวว่า
" สมณะ นาคราชไม่เบียดเบียนท่านแลหรือ ? "
พระเถระ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นนาคราชแผ่พังพานดำรงอยู่เบื้องบน
แห่งเราหรือ ?