เมนู

ต้องการทรัพย์. บุรุษแม้มีประมาณพันคน เห็นพวกเราแต่ที่ไกลเทียว
ยังสั่น, ไม่อาจพูด 2 - 3 คำได้, ส่วนสำหรับท่านแม้เพียงความหวาด
สะดุ้งแห่งจิตก็มิได้มี, หน้าของท่านผ่องใสดังทองคำในปากเบ้า และ
ดังดอกกรรณิการ์ที่บานดี; เหตุอะไรกันหนอ ?" จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
"ความหวาดเสียวไม่มีแก่ท่าน, ความกลัวก็
ไม่มี, วรรณะผ่องใสยิ่งนัก, เหตุไร ท่านจึงไม่
คร่ำครวญ ในเพราะภัยใหญ่หลวงเห็นปานนี้เล่า ?"

สามเณรออกจากฌาน เมื่อจะแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรนั้น จึง
กล่าวว่า "ท่านผู้เป็นนายบ้าน ขึ้นชื่อว่าอัตภาพของพระขีณาสพ ย่อม
เป็นเหมือนภาระ (ของหนัก) ซึ่งวางไว้บนศีรษะ, พระขีณาสพนั้น
เมื่ออัตภาพนั้นแตกไป ย่อมยินดีทีเดียว ย่อมไม่กลัวเลย" ดังนี้แล้ว
ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
"ท่านผู้เป็นนายบ้าน ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่
ท่านผู้ไม่มีความห่วงใย, ท่านผู้แสวงหาคุณ สิ้น
สัญโญชน์แล้ว ก้าวล่วงภัยทุกอย่างได้, ตัณหา
อันนำไปสู่ภพของพระขีณาสพนั้นสิ้นแล้ว, ท่านเห็น
ธรรมแล้วตามเป็นจริง หรือโดยถ่องแท้, ความตาย
[ของท่าน] หมดภัยดังปลงภาระลงฉะนั้น."

นายโจรขอบรรพชากะสามเณร


หัวหน้าโจรนั้นฟังคำสามเณรนั้นแล้ว แลดูโจร 500 คนพูดว่า
" พวกท่านจักทำอย่างไร ?"

พวกโจร. ก็ท่านเหล่า ? นาย.
นายโจร. กิจในท่ามกลางเรือนของฉันไม่มี เพราะเห็นปาฏิหาริย์
เห็นปานนี้ก่อน, ฉันจักบวชในสำนักพระผู้เป็นเจ้า.
พวกโจร. แม้เราจักทำอย่างนั้นเหมือนกัน.
นายโจร. ดีละ พ่อ.
ลำดับนั้น โจรทั้ง 500 คนไหว้สามเณรแล้วจึงขอบรรพชา.
สามเณรนั้นตัดผมและชายผ้าด้วยคมดาบของโจรเหล่านั้นเอง ย้อมด้วย
ดินแดง ให้ครองผ้ากาสายะเหล่านั้น ให้ตั้งอยู่ในศีล 10 เมื่อพา
สามเณรเหล่านั้นไป คิดว่า "ถ้าเราจักไม่เยี่ยมพระเถระทั้งหลายไปเสีย,
พระเถระเหล่านั้นจักไม่อาจทำสมณธรรมได้, จำเดิมแต่กาลที่พวกโจรจับ
เราออกไป บรรดาพระเถระเหล่านั้น แม้รูปหนึ่งก็มิได้อาจอดกลั้นน้ำตา
ไว้ได้, เมื่อพระเถระเหล่านั้น คิดอยู่ว่า 'สามเณรถูกโจรฆ่าตายแล้ว
หรือยังหนอ' กัมมัฏฐาน จักไม่มุ่งหน้าได้;1 เพราะฉะนั้น เราเยี่ยม
ท่านแล้วนั้นแหละ จึงจักไป."

สามเณรกลับไปเยี่ยมพวกภิกษุ


สามเณรนั้นมีสามเณร 500 รูปเป็นบริวารไปในที่นั้น, เมื่อภิกษุ
เหล่านั้นกลับได้ความเบาใจเพราะเห็นตนแล้ว กล่าวว่า "สังกิจจะผู้
สัตบุรุษ เธอได้ชีวิตแล้วหรือ ?" จึงตอบว่า "อย่างนั้นขอรับ, โจร
เหล่านี้ใคร่จะฆ่ากระผมให้ตาย ก็ไม่อาจฆ่าได้ เลื่อมใสในคุณธรรมของ
กระผม ฟังธรรมแล้วบวช: กระผมมาด้วยหวังว่า 'เยี่ยมท่านแล้วจัก
1. ถือเอาความว่า ไม่เป็นอันตั้งหน้าทำกัมมัฏฐานได้.

ไป,' ขอท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาททำสมณธรรมเถิด, กระผมจักไปสำนัก
พระศาสดา" แล้วไหว้ภิกษุเหล่านั้น พาสามเณรนอกนี้ไปยังสำนัก
พระอุปัชฌายะ, เมื่อท่านถามว่า "สังกิจจะ เธอได้อันเตวาสิกแล้ว
หรือ ?" จึงตอบว่า "ถูกแล้ว ขอรับ" ดังนี้แล้วก็เล่าเรื่องนั้น, ก็
เมื่อพระเถระกล่าวว่า 'สังกิจจะ เธอจงไป, เฝ้าเยี่ยมพระศาสดา,' เธอ
รับว่า "ดีละ" แล้วไหว้พระเถระพาสามเณรเหล่านั้นไปยิ่งสำนักพระ-
ศาสดา, แม้เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า "สังกิจจะ เธอได้อันเตวาสิก
แล้วหรือ ?" จึงกราบทูลเรื่องนั้น

ผู้มีศีลประเสริฐกว่าผู้ทุศีล


พระศาสดาตรัสถามว่า "ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ ? ภิกษุทั้งหลาย,"
เมื่อพวกภิกษุทูลรับว่า "อย่างนั้น พระเจ้าข้า" จึงตรัสว่า "ความ
ตั้งอยู่ในศีลแล้วเป็นอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ ประเสริฐกว่าการที่ท่านทำ
โจรกรรมตั้งอยู่ในทุศีลเป็นอยู่ตั้ง 100 ปี" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบ
อนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
9. โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุกสฺสีโล อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย สีลวนฺตสฺส ฌายิโน.
"ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็นอยู่ 100 ปี,
ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌาน ประเสริฐ
ว่า (ความเป็นอยู่ของผู้นั้น)."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺสีโล คือ ไม่มีศีล.
บทว่า สีลวนฺตสฺส ความว่า ความเป็นอยู่แม้วันเดียว คือ
แม้ครู่เดียวของผู้มีศีล มีฌาน ด้วยฌาน 2 ประการ ประเสริฐ คือ
สูงสุดกว่าความเป็นอยู่ 100 ปีของผู้ทุศีล.
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุแม้ 500 นั้นบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย, ธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้ประชุม
กัน.

ประวัติอธิมุตตกสามเณร


โดยสมัยอื่นอีก สังกิจจะได้อุปสมบทแล้วมีพรรษา 10 จึงรับ
สามเณรไว้. ก็สามเณรนั้นเป็นหลานของท่านเอง ชื่ออธิมุตตกสามเณร.
ครั้งนั้น พระเถระเรียกสามเณรนั้นมาในเวลามีอายุครบส่งไปด้วยคำว่า
" เราจักทำการอุปสมบทเธอ, จงไป, ถามจำนวนอายุในสำนักพวกญาติ
แล้วจงมา." อธิมุตตกสามเณรนั้น เมื่อไปสำนักของมารดาบิดา ถูก
พวกโจร 500 คนจะฆ่าให้ตายเพื่อต้องการทำพลีกรรมในระหว่างทาง
แสดงธรรมแก่โจรเหล่านั้นเป็นผู้อันพวกโจรมีจิตเลื่อมใส ปล่อยไปด้วย
คำว่า "ท่านไม่พึงบอกความที่พวกผมมีอยู่ในที่นี้แก่ใคร ๆ" เห็นมารดา
บิดาเดินสวนทางมาก็รักษาสัจจะไม่บอกแก่มารดาบิดาเหล่านั้น แม้เดินไป
ทางนั้นนั่นแหละ. เมื่อมารดาบิดานั้นถูกพวกโจรเบียดเบียน คร่ำครวญ
พูดว่า "ชะรอยว่าแม้ท่านก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกโจรจึงไม่บอกแก่เรา"
โจรเหล่านั้นได้ยินเสียงแล้ว รู้ความที่สามเณรไม่บอกแก่มารดาบิดา ก็มีจิต

เลื่อมใส ขอบรรพชา. แม้อธิมุตตกสามเณรนั้นก็ยังโจรเหล่านั้นทั้งหมด
ให้บวชแล้ว เหมือนสังกิจจสามเณร นำมายังสำนักพระอุปัชฌาย์ ผู้อัน
พระอุปัชฌาย์นั้นส่งไปยังสำนักพระศาสดา พาภิกษุเหล่านั้นไป กราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระศาสดาแล้ว. พระศาสดาตรัสถามว่า "เขาว่าอย่างนั้นหรือ ?
ภิกษุทั้งหลาย" เมื่อพวกภิกษุทูลว่า "ถูกแล้วพระเจ้าข้า" เมื่อจะทรง
สืบอนุสนธิแสดงธรรมโดยนัยก่อนนั้นแล จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็นอยู่ 100 ปี,
ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌาน ประเสริฐ
ว่า [ความเป็นอยู่ของผู้นั้น]."

(ชื่อเรื่องอธิมุตตกสามเณร) แม้นี้ ข้าพเจ้าก่กล่าวไว้แล้วด้วย
พระคาถานี้เหมือนกัน.
เรื่องสังกิจจสามเณร จบ.

10. เรื่องพระขานุโกณฑัญญเถระ [90]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระขานุ-
โกณฑัญญเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย จ สฺสสตํ ชีเว "
เป็นต้น.

พระเถระนั่งเข้าฌาน โจรเอาห่อของทับไม่รู้สึก


ได้ยินว่า พระเถระนั้นเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดาอยู่ในป่า
บรรลุพระอรหัตแล้วคิดว่า "จักทูลพระศาสดา" เมื่อมาจากที่นั้นเหน็ด
เหนื่อยในระหว่างทาง แวะจากทางนั่งเข้าฌานบนศิลาดาด1แห่งหนึ่ง.
ครั้งนั้น โจร 500 คนปล้นบ้านแห่งหนึ่งแล้วผูกห่อสิ่งของตามสมควร
แก่กาลังของตน เอาศีรษะเทินเดินไป ครั้นเดินไปไกลก็เหน็ดเหนื่อย
คิดว่า 'เรามาไกลแล้ว, จักพักเหนื่อยบนศิลาดาดนี้' แวะจากทางไปยัง
ที่ใกล้ศิลาดาด แม้เห็นพระเถระแล้วก็มีความสำคัญว่า "นี่เป็นตอไม้."
ลำดับนั้น โจรคนหนึ่งวางห่อสิ่งของลงบนศีรษะพระเถระ. โจรคนอื่น ๆ
ก็วางห่อสิ่งของพิงพระเถระนั้น. ด้วยประการฉะนี้ โจรแม้ทัง 500 คน
เอาห่อสิ่งของ 500 ห่อล้อมรอบพระเถระ แม้ตนเองก็นอนหลับ ตื่น
ในเวลาอรุณขึ้น คว้าห่อของตน ๆ ได้เห็นพระเถระก็เริ่มจะหนีไป ด้วย
สำคัญว่า "เป็นอมนุษย์."
ทันใดนั้น พระเถระกล่าวกะพวกโจรนั้นว่า "อย่ากลัวเลยอุบาสก,
1. ปิฏฐิปาสาเณ บนแผ่นหินมีหลัง.

ฉันเป็นบรรพชิต." โจรเหล่านั้นหมอบลงที่ใกล้เท้าพระเถระ ให้พระเถระ
อดโทษด้วยคำว่า " โปรดอดโทษเถิด ขอรับ. พวกกระผมได้สำคัญว่า
ตอไม้," เมื่อหัวหน้าโจรบอกว่า "เราจักบวชในสำนักพระผู้เป็นเจ้า,"
พวกโจรที่เหลือก็กล่าวว่า "แม้พวกเราก็จักบวช" มีฉันทะเป็นอันเดียวกัน
ทั้งหมดเทียว ขอบรรพชากะพระเถระ. พระเถระให้โจรเหล่านั้นทั้งหมด
บวช ดุจสังกิจจสามเณร. จำเดิมแต่นั้น พระเถระปรากฏชื่อว่า "ขานุ-
โกณฑัญญะ." ท่านไปสำนักพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุเหล่านั้น, เมื่อ
พระศาสดาตรัสถามว่า โกณฑัญญะ เธอได้อันเตวาสิกแล้วหรือ ? จึง
กราบทูลเรื่องนั้น.

คนมีปัญญาดีกว่าคนทรามปัญหา


พระศาสดาตรัสถามว่า "เขาว่าอย่างนั้นหรือ ? ภิกษุทั้งหลาย"
เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า " ถูกแล้ว พระเจ้าข้า, พวกข้าพระองค์
ไม่เคยเห็นอานุภาพเห็นปานนั้นของผู้อื่นเลย, ด้วยเหตุนั้น พวกข้าพระองค์
จึงบวช," จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอยู่แม้วันเดียวของพวก
เธอ ผู้ประพฤติในปัญญาสัมปทาในบัดนี้ ประเสริฐกว่าความตั้งอยู่ใน
กรรมของผู้มีปัญญาทรามเห็นปานนั้น เป็นอยู่ตั้ง 100 ปี" ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
10. โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ณายิโน.
"ก็ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็น
อยู่ 100 ปี, ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีปัญญา มี
ฌาน ประเสริฐกว่า [ความเป็นอยู่ของผู้นั้น]."