เถระไปทำวัตรแต่พระศาสดาในที่นั้น. พระศาสดาทรงทำภัตกิจแล้ว ตรัส
แก่พระเถระว่า " สารีบุตร วันนี้เราภาษิตธรรมชื่อเท่านี้. เธอจงบอกแก่
(ภิกษุ 500) นิสิตของตน. " ได้ทราบว่า กุลบุตร 500 เลื่อมใสยมก-
ปาฏิหาริย์ บวชแล้วในสำนักของพระเถระ. พระศาสดาตรัสแล้วอย่างนั้น
ทรงหมายเอาภิกษุเหล่านั้น. ก็แลครั้นตรัสแล้ว เสด็จไปสู่เทวโลก ทรง
แสดงธรรมเอง ต่อจากที่พระพุทธนิรมิตแสดง. แม้พระเถระก็ไปแสดง
ธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระศาสดาเสด็จอยู่ในเทวโลก
นั้นแล ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ 7 แล้ว.
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ภิกษุ
เหล่านั้นเป็นค้างคาวหนู ห้อยอยู่ที่เงื้อมแห่งหนึ่ง เมื่อพระเถระ 2 รูป
จงกรมแล้วท่องอภิธรรมอยู่ ได้ฟังถือเอานิมิตในเสียงแล้ว. ค้างคาว
เหล่านั้นไม่รู้ว่า " เหล่านั้น ชื่อว่าขันธ์. เหล่านี้ ชื่อว่าธาตุ " ด้วยเหตุ
สักว่าถือเอานิมิตในเสียงเท่านั้น จุติจากอัตภาพนั้น แล้วเกิดในเทวโลก
เสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว เกิดในเรือน
ตระกูลในกรุงสาวัตถี เกิดความเลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ บวชในสำนัก
ของพระเถระแล้ว ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ 7 ก่อนกว่าภิกษุทั้งปวง. แม้
พระศาสดาก็ทรงแสดงอภิธรรมโดยทำนองนั้นแล ตลอด 3 เดือนนั้น.
ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดา 8 หมื่นโกฏิ. แม้
พระมหามายาก็ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล.
พระโมคคัลลานเถระขึ้นไปทูลถามข่าวเสด็จลง
บริษัทมีปริมณฑล 36 โยชน์ แม้นั้นแล คิดว่า " แต่บัดนี้ไป
ในวันที่ 7 จักเป็นวันมหาปวารณา " แล้วเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลาน-
เถระ กล่าวว่า " ท่านเจ้าข้า ควรจะทราบวันเสด็จลงของพระศาสดา.
เพราะข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่เห็นพระศาสดาแล้ว จักไม่ไป." ท่านพระ-
มหาโมคคัลลานะ ฟังถ้อยคำนั้นแล้วรับว่า " ดีละ." แล้วดำลงในแผ่นดิน
ตรงนั้นเอง อธิษฐานว่า " บริษัทจงเห็นเรา ผู้ไปถึงเชิงเขาสิเนรุแล้ว
ขึ้นไปอยู่ " มีรูปปรากฏดุจด้ายกัมพลเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีเทียว ขึ้น
ไปแล้วโดยท่ามกลางเขาสิเนรุ. แม้พวกมนุษย์ก็แลเห็นท่านว่า " ขึ้นไป
แล้ว 1 โยชน์ ขึ้นไปแล้ว 2 โยชน์ " เป็นต้น. แม้พระเถระขึ้นไปถวาย
บังคมพระบาทยุคลของพระศาสดา ดุจเทินไว้ด้วยเศียรเกล้า กราบทูล
อย่างนั้นว่า " พระเจ้าข้า บริษัทประสงค์จะเฝ้าพระองค์ก่อนแล้วไป.
พระองค์จักเสด็จลงเมื่อไร ? "
พระศาสดา. โมคคัลลานะ ก็สารีบุตร พี่ของเธอ อยู่ที่ไหน.
โมคคัลลานะ พระเจ้าข้า ท่านจำพรรษาอยู่ ในสังกัสสนคร.
พระศาสดา. โมคคัลลานะ ในวันที่ 7 แต่วันนี้ (ไป) เราจักลง
ที่ประตูเมืองสังกัสสะ ในวันมหาปวารณา ผู้ใคร่จะพบเราก็จงไปที่นั่นเถิด;
ก็แลสังกัสสนครจากกรุงสาวัตถี มีประมาณ 30 โยชน์ ในทางเท่านั้น
กิจที่จะต้องเตรียมเสบียง ย่อมไม่มีแก่ใคร ๆ. เธอพึงบอกแก่คนเหล่านั้น
ว่า ' ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้รักษาอุโบสถไป ดุจไปสู่วิหารใกล้เพื่อ
ฟังธรรมเถิด.'
พระพุทธองค์ทรงเปิดโลก
พระเถระทูลว่า " ดีละ พระเจ้าข้า " แล้วได้บอกตามรับสั่ง.
พระศาสดาเสด็จจำพรรษาปวารณาแล้ว ตรัสบอกแก่ท้าวสักกะว่า " มหา-
บพิตร อาตมภาพจักไปสู่ถิ่นของมนุษย์." ท้าวสักกะทรงนิรมิตบันได
3 ชนิด คือบันไดทองคำ บันไดแก้วมณี บันไดเงิน. เชิงบันไดเหล่านั้น
ตั้งอยู่แล้วที่ประตูสังกัสสนคร. หัวบันไดเหล่านั้น ตั้งอยู่แล้วที่ยอดเขา
สิเนรุ. ในบันไดเหล่านั้น บันไดทอง ได้มีในข้างเบื้องขวา เพื่อพวก
เทวดา. บันไดเงิน ได้มีในข้างเบื้องซ้าย เพื่อมหาพรหมทั้งหลาย.
บันไดเเก้วมณีได้มีในท่ามกลาง เพื่อพระตถาคต. พระศาสดาประทับยืนอยู่
บนยอดเขาสิเนรุ. ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก ทรง
แลดูข้างบนแล้ว. สถานที่อันพระองค์ทรงแลดูแล้วทั้งหลาย ได้มีเนิน
เป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก; ทรงแลดูข้างล่าง, สถานที่อันพระองค์
ทรงแลดูแล้ว ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงอเวจี; ทรงแลดูทิศใหญ่และ
ทิศเฉียงทั้งหลาย. จักรวาลหลายแสน ได้มีเนินเป็นอันเดียวกัน; เทวดา
เห็นพวกมนุษย์. แม้พวกมนุษย์ก็เห็นพวกเทวดา. พวกเทวดาเเละมนุษย์
ทั้งหมด ต่างเห็นกันแล้วเฉพาะหน้าทีเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่ง
พระฉัพพรรณรังสีไปแล้ว. มนุษย์ในบริษัทซึ่งมีปริมณฑล 36 โยชน์แม้
คนหนึ่ง เมื่อแลดูสิริของพระพุทธเจ้าในวันนั้นแล้ว ชื่อว่าไม่ปรารถนา
ความเป็นพระพุทธเจ้า มิได้มีเลย. พวกเทวดาลงทางบันไดทอง. พวก
มหาพรหมลงทางบันไดเงิน; พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงทางบันได
แก้วมณี. เทพบุตรนักฟ้อนชื่อปัญจสิขะ ถือพิณสีเหลืองดุจผลมะตูมยืนอยู่
ณ ข้างเบื้องขวา ทำบูชาด้วยการฟ้อนแด่พระศาสดาลงมา มาตลิสังคาหก-
เทพบุตรยืน ณ ข้างเบื้องซ้าย ถือของหอมระเบียบและดอกไม้อันเป็นทิพย์
นมัสการอยู่ ทำบูชาแล้วลงมา. ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร. ท้าวสุยามถือพัด
วาลวิชนี. พระศาสดาเสด็จลงพร้อมด้วยบริวารนี้ หยุดประทับอยู่ที่ประตู
สังกัสสนคร. เเม้พระสารีบุตรเถระ มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว เพราะ
พระศาสดาเสด็จลงด้วยพุทธสิริเห็นปานนั้น อันท่านไม่เคยเห็นแล้ว ใน
กาลก่อนแต่นี้. เพราะฉะนั้น จึงประกาศความยินดีของตน ด้วยคาถา
ทั้งหลายเป็นต้นว่า :-
" พระศาสดา ผู้มีถ้อยคำอันไพเราะ ทรงเป็น
อาจารย์แห่งคณะ1 เสด็จมาจากดุสิตอย่างนี้ เรายัง
ไม่เห็น หรือไม่ได้ยินต่อใคร ในกาลก่อนแต่นี้ "
แล้วทูลว่า " พระเจ้าข้า วันนี้เทวดาและมนุษย์แม้ทั้งหมดย่อมกระหยิ่ม
ปรารถนาต่อพระองค์. "
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท่านว่า " สารีบุตร ชื่อว่าพระพุทธเจ้า
ผู้ประกอบพร้อมด้วยคุณเห็นปานนี้ ย่อมเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายโดยแท้." เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
2. เย ฌานปฺปสุตา ธีรา เนกฺขมฺมูปสเม รตา
เทวาปิ เตสํ ปิหยนฺติ สมฺพุทฺธานํ สตีมตํ.
" พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใด เป็นปราชญ์ ขวน
ขวายในฌาน ยินดีแล้วในธรรมที่เข้าไปสงบด้วย
สามารถแห่งการออก, แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ก็ย่อมกระหยิ่มต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีสติ. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า เย ฌานปฺปสุตา ความว่า ประกอบ
แล้ว ขวนขวายแล้วในฌาน 2 อย่างเหล่านี้ คือ ลักขณูปนิชฌาน อารัม-
1. คณิมาคโต ตัดบทเป็น คณี อาคโต. อรรถกถาว่า.....คณาจริยาตฺตา คณี.....
มณูปนิชฌาน ด้วยการนึกการเข้าการอธิษฐานการออกและการพิจารณา.
บรรพชา อันผู้ศึกษาไม่พึงถือว่า " เนกขัมมะ " ในคำว่า เนขมฺมูปสเม
รตา นี้. ก็คำ " เนกขัมมะ " นั่น พระองค์ตรัส หมายเอาความยินดี
ในนิพพาน อันเป็นที่เข้าไปสงบกิเลส. บทว่า เทวาปิ ความว่า เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายย่อมกระหยิ่ม คือปรารถนาต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น.
บทว่า สตีมฺตํ ความว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ปรารถนาความเป็น
พระพุทธเจ้าว่า " น่าชมจริงหนอ แม้เราพึงเป็นพระพุทธเจ้า " ดังนี้
ชื่อว่าย่อมกระหยิ่มต่อพระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้มีพระคุณเห็นปานนี้ ผู้
ประกอบพร้อมแล้วด้วยสติ.
ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ประมาณ 30 โกฏิ.
ภิกษุ 500 สัทธิวิหาริกของพระเถระ ตั้งอยู่แล้วในพระอรหัต.
สังกัสสนครเป็นที่เสด็จลงจากดาวดึงส์
ได้ยินว่า การทำยมกปาฏิหาริย์แล้วจำพรรษาในเทวโลก แล้วเสด็จ
ลงที่ประตูสังกัสสนคร อันพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่ทรงละแล้วแล.
ก็สถานที่พระบาทเบื้องขวาประดิษฐาน ณ ที่เสด็จลงนั้น มีนามว่าอจล-
เจติยสถาน. พระศาสดาประทับยืน ณ ที่นั้น ตรัสถามปัญหาในวิสัยของ
ปุถุชนเป็นต้น. พวกปุถุชนแก้ปัญหาได้ในวิสัยของตนเท่านั้น ไม่สามารถ
จะแก้ปัญหาในวิสัยของพระโสดาบันได้. พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระ-
โสดาบันเป็นต้นก็เหมือนกัน ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระอริย-
บุคคลทั้งหลาย มีพระสกทาคามีเป็นต้น. พระมหาสาวกที่เหลือไม่สามารถจะ
แก้ปัญหาในวิสัยของพระมหาโมคคัลลานะ. พระมหาโมคคัลลานะไม่
สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระสารีบุตรเถระได้. แม้พระสารีบุตรเถระ
ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในวิสัยของพระพุทธเจ้าได้เหมือนกัน. พระศาสดา
ทรงแลดูทิศทั้งปวง ตั้งต้นแต่ปาจีนทิศ. สถานที่ทั้งปวง ได้มีเนินเป็นอัน
เดียวกันทีเดียว เทวดาและมนุษย์ใน 8 ทิศ และเทวดาเบื้องบนจด
พรหมโลก และยักษ์นาคและสุบรรณผู้อยู่ ณ ภาคพื้นเบื้องต่ำ ประคอง
อัญชลีกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ชื่อว่าผู้วิสัชนาปัญหานี้มิได้มีในสมาคมนี้,
ขอพระองค์โปรดใคร่ครวญในสมาคมนี้ทีเดียว."
พระสารีบุตรเถระมีปัญญามาก
พระศาสดาทรงดำริว่า " สารีบุตรย่อมลำบาก. ด้วยว่าเธอได้ฟัง
ปัญหาที่เราถามแล้วในพุทธวิสัยนี้ว่า :-
" ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เธอมีปัญญารักษาตน
อันเราถามถึงความเป็นไปของท่าน ผู้มีธรรมอันนับ
พร้อมแล้วทั้งหลาย และพระเสขะทั้งหลาย ซึ่งมี
อยู่มากในโลกนี้ จงบอกความเป็นไปนั้นแก่เรา "
ดังนี้,เป็นผู้หมดความสงสัยในปัญหาว่า ' พระศาสดาย่อมตรัสถามถึงปฏิปทา
เป็นที่มา (มรรคปฏิปทา) ของพระเสขะและอเสขะกะเรา ' ดังนี้ก็จริง,
ถึงอย่างนั้นก็ยังหวังอัธยาศัยของเราอยู่ว่า ' เราเมื่อกล่าวปฏิปทานี้ด้วยมุข
ไหน ๆ ในธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้น จึงจักอาจถือเอาอัธยาศัยของ
พระศาสดาได้; สารีบุตรนั้นเมื่อเราไม่ให้นัย จักไม่อาจแก้ได้, เรา
จักให้นัยแก่เธอ " เมื่อจะทรงแสดงนัย ตรัสว่า " สารีบุตร เธอจง
พิจารณาเห็นความเป็นจริงนี้. " ได้ยินว่า พระองค์ได้ทรงดำริอย่างนี้ว่า
" สารีบุตรเมื่อถือเอาอัธยาศัยของเราแก้ จักแก้ด้วยสามารถแห่งขันธ์ "
ปัญหานั้นปรากฏแก่พระเถระตั้งร้อยนัย พันนัย พร้อมกับการประทานนัย.
ท่านตั้งอยู่ในนัยที่พระศาสดาประทาน แก้ปัญหานั้นได้เเล้ว. ได้ยินว่า
คนอื่นยกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะทันปัญญาของ
พระสารีบุตรเถระหามิได้. นัยว่า เหตุนั้นแล พระเถระจึงยืนตรงพระพักตร์
พระศาสดา บันลือสีหนาทว่า " พระเจ้าข้า เมื่อฝนตกแม้ตลอดกัลป์ทั้งสิ้น
ข้าพระองค์ก็สามารถเพื่อจะนับ แล้วยกขึ้นซึ่งคะแนนว่า ' หยาดน้ำทั้งหลาย
ตกในมหาสมุทรเท่านี้หยาด, ตกบนแผ่นดินเท่านี้หยาด, บนภูเขาเท่านี้
หยาด." แม้พระศาสดาก็ตรัสกะท่านว่า " สารีบุตร เราก็ทราบความที่
เธอสามารถจะนับได้." ชื่อว่าข้ออุปมาเปรียบด้วยปัญญาของท่านนั้น ย่อม
ไม่มี. เหตุนั้นแล ท่านจึงกราบทูลว่า :-
" ทรายในแม่น้ำคงคา พึงสิ้นไป น้ำในห้วงน้ำ
ใหญ่ พึงสิ้นไป ดินในแผ่นดิน พึงสิ้นไป การแก้
ปัญหาด้วยความรู้ของข้าพระองค์ ย่อมไม่สิ้นไปด้วย
คะแนน. "
มีคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้
เป็นที่พึ่งของโลก ก็ถ้าว่า เมื่อข้าพระองค์แก้ปัญหาข้อหนึ่งแล้ว บุคคล
พึงใส่ทรายเมล็ดหนึ่งหรือหยาดน้ำหยาดหนึ่ง หรือดินร่วนก้อนหนึ่ง เมื่อ
ข้าพระองค์แก้ปัญหาร้อย หรือพัน หรือแสนข้อ พึงใส่คะแนนทั้งหลายมี
ทรายเป็นต้น ทีละหนึ่ง ๆ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ในแม่น้ำคงคา, คะแนนทั้งหลาย
มีทรายเป็นต้นในแม่น้ำคงคาเป็นต้น พึงถึงความสิ้นไปเร็วกว่า: การแก้
ปัญหาของข้าพระองค์ ย่อมไม่สิ้นไป. "
ภิกษุแม้มีปัญญามากอย่างนี้ ก็ยังไม่เห็นเงื่อนต้นหรือเงื่อนปลาย
แห่งปัญหาที่พระศาสดาถามแล้วในพุทธวิสัย ต่อตั้งอยู่ในนัยที่พระศาสดา
ประทานแล้ว จึงแก้ปัญหาได้ ภิกษุทั้งหลายฟังดังนั้นแล้ว สนทนากัน
ว่า " แม้ชนทั้งหมด อันพระศาสดาตรัสถามปัญหาใด ไม่อาจแก้ได้,
พระสารีบุตรเถระผู้เป็นธรรมเสนาบดีผู้เดียวเท่านั้น แก้ปัญหานั้นได้. "
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้วตรัสว่า " สารีบุตรแก้ปัญหาที่มหาชน
ไม่สามารถจะแก้ได้ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ ; แม้ในภพก่อน เธอก็แก้ได้
แล้วเหมือนกัน " ดังนี้แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ตรัสชาดก1นี้โดยพิสดาร
ว่า :-
" คนที่มาประชุมกันแล้ว แม้ตั้งพันเป็นกำหนด
คนเหล่านั้นหาปัญญามิได้ พึงคร่ำครวญตั้ง 100 ปี,
บุรุษใดผู้รู้ชัดซึ่งอรรถแห่งภาษิตได้ บุรุษผู้นั้นซึ่งเป็น
ผู้มีปัญญาคนเดียวเท่านั้น ประเสริฐกว่า " ดังนี้แล.
เรื่องยมกปาฏิหาริย์ จบ.
1. ขุ. ชา. เอก. 27/32.
3. เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตตะ [150]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา ทรงอาศัยนครพาราณสี ประทับอยู่ที่โคนไม้ซึก 7 ต้น
ทรงปรารภพระยานาคชื่อเอรกปัตตะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " กิจฺโฉ
มนุสฺสปฏิลาโภ " เป็นต้น.
อาบัติเล็กน้อยไม่แสดงเสียก่อนให้โทษ
ทราบว่า ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลก่อน
พระยานาคนั้นเป็นภิกษุหนุ่ม ขึ้นเรือไปในแม่น้ำคงคา ยึดใบตะไคร้น้ำ
กอหนึ่ง เมื่อเรือแม้เเล่นไปโดยเร็ว, ก็ไม่ปล่อย. ใบตะไคร้น้ำขาดไปแล้ว.
ภิกษุหนุ่มนั้นไม่แสดงอาบัติ ด้วยคิดเสียว่า " นี้เป็นโทษเพียงเล็กน้อย "
แม้ทำสมณธรรมในป่าสิ้น 2 หมื่นปี ในกาลมรณภาพ เป็นประดุจใบ
ตะไคร้น้ำผูกคอ แม้อยากจะแสดงอาบัติ เมื่อไม่เห็นภิกษุอื่น ก็เกิดความ
เดือดร้อนขึ้นว่า " เรามีศีลไม่บริสุทธิ์ " จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิด
เป็นพระยานาค ร่างกายประมาทเท่าเรือโกลน. เขาได้มีชื่อว่า " เอรก
ปัตตะ " นั่นแล. ในขณะที่เกิดแล้วนั่นเอง พระยานาคนั้นแลดูอัตภาพ
แล้ว ได้มีความเดือดร้อนว่า " เราทำสมณธรรมตลอดกาลชื่อมีประมาณ
เท่านี้ เป็นผู้บังเกิดในที่มีกบเป็นอาหาร ในกำเนิดแห่งอเหตุกสัตว์."
ในกาลต่อมาเขาได้ธิดาคนหนึ่ง แผ่พังพานใหญ่บนหลังน้ำในแม่น้ำ
คงคา วางธิดาไว้บนพังพานนั้น ให้ฟ้อนรำขับร้องแล้ว.
พระยานาคออกอุบายเพื่อทราบการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า
ทราบว่า เขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า " เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น