คาถาธรรมบท
โลกวรรค1ที่ 13
ว่าด้วยเรื่องโลก
[23] 1. บุคคลไม่พึงเสพธรรมอันเลว ไม่พึงอยู่ร่วม
ด้วยความประมาท ไม่พึงเสพความเห็นผิด ไม่พึง
เป็นคนรกโลก.
2. บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตน
พึงลุกขึ้นยืนรับ บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต
ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และ
โลกหน้า, บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึง
ประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต ผู้มีปกติประพฤติธรรม
ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า.
3. พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณา
เห็นอยู่ซึ่งโลก เหมือนบุคคลพึงเห็นฟองน้ำ (และ)
เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด.
4. ท่านทั้งหลายจงดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ
ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ (แต่) พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่.
5. ผู้ใดประมาทในก่อน ภายหลังไม่ประมาท
ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือนดวงจันทร์พ้น
จากหมอกฉะนั้น.
6. บุคคลใดละบาปกรรมที่ตนทำไว้แล้วได้ด้วย
1. วรรคนี้ มีอรรถกถา 10 เรื่อง.
กุศล บุคคลนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือนดวง
จันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.
7. สัตว์โลกนี้เป็นเหมือนคนบอด ในโลกนี้น้อย
คนนักจะเห็นแจ้ง น้อยคนนักจะไปในสวรรค์ เหมือน
นกหลุดเเล้วจากข่าย (มีน้อย) ฉะนั้น.
8. หงส์ทั้งหลาย ย่อมไปในทางแห่งดวงอาทิตย์
ท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายย่อมไปในอากาศด้วยฤทธิ์ ธีรชน
ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ย่อมออกไปจากโลกได้.
9. บาปอันชนผู้ก้าวล่วงธรรมอย่างเอกเสีย ผู้
มักพูดเท็จ ผู้มีปรโลกอันล่วงเลยเสียแล้ว ไม่พึงทำ
ย่อมไม่มี.
10. พวกคนตระหนี่ จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย
พวกชนพาลแล ย่อมไม่สรรเสริญทาน ส่วนนัก-
ปราชญ์อนุโมทนาทานอยู่ เพราะเหตุนั้นนั่นแล นัก-
ปราชญ์นั้นจึงเป็นผู้มีสุขในโลกหน้า.
11. โสดาปัตติผลประเสริฐกว่าความเป็นเอกราช
ในแผ่นดิน กว่าการไปสู่สวรรค์ และกว่าความเป็น
ใหญ่ในโลกทั้งปวง.
จบโลกวรรคที่ 13
13. โลกวรรควรรณนา
1. เรื่องภิกษุหนุ่ม [137]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุหนุ่ม
รูปใดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " หีนํ ธมฺมํ " เป็นต้น.
ภิกษุทะเลาะกับหลานสาวนางวิสาขา
ได้ยินว่า พระเถระรูปใดรูปหนึ่งพร้อมทั้งภิกษุหนุ่ม ได้ไปสู่เรือน
ของนางวิสาขาแต่เช้าตรู่ ข้าวต้มประจำย่อมเป็นของอันเขาตกแต่งไว้เป็น
นิตย์ เพื่อภิกษุประมาณ 500 รูป ในเรือนของนางวิสาขา. พระเถระ
ฉันข้าวต้มแล้ว ให้ภิกษุหนุ่มนั่งอยู่บนเรือนของนางวิสาขานั้น ส่วนตน
ได้ไปเรือนหลังอื่น. ก็โดยสมัยนั้น ธิดาของบุตรของนางวิสาขาตั้งอยู่ใน
ฐานะของย่า1 ทำการขวนขวายแก่ภิกษุทั้งหลาย. นางกรองน้ำเพื่อภิกษุ
หนุ่มนั้น เห็นเงาหน้าของตนในตุ่ม จึงหัวเราะ. แม้ภิกษุหนุ่มมองดูนาง
ก็หัวเราะ. นางเห็นภิกษุหนุ่มนั้นหัวเราะอยู่ จึงกล่าวว่า " คนหัวขาด
ย่อมหัวเราะ" ลำดับนั้นภิกษุหนุ่มด่านางว่า " เธอก็หัวขาด. ถึงมารดา
บิดาของเธอก็หัวขาด." นางร้องไห้ไปสู่สำนักของย่าในโรงครัวใหญ่.
เมื่อนางวิสาขากล่าวว่า " นี้อะไร ? แม่ " จึงบอกเนื้อความนั้น. นาง-
วิสาขานั้นมาสู่สำนักของภิกษุหนุ่มแล้ว พูดว่า " ท่านเจ้าข้า อย่า
โกรธแล้ว. คำนั้นเป็นคำไม่หนักนักสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีผมและ
1. หมายความว่า ทำแทนนางวิสาขาผู้เป็นย่า
เล็บอันตัดแล้ว ผู้มีผ้านุ่งผ้าห่มอันตัดแล้ว ผู้ถือกระเบื้องตัด ณ ท่ามกลาง
เที่ยวไปอยู่เพื่อภิกษา. " ภิกษุหนุ่มพูดว่า " เออ อุบาสิกา ท่านย่อม
ทราบความที่อาตมาเป็นผู้มีผมอันตัดแล้วเป็นต้น." การที่หลานของท่าน
นี้ด่าทำอาตมาว่า ' ผู้มีหัวขาด ' ดังนี้ จักควรหรือ.? " นางวิสาขา
ไม่ได้อาจ เพื่อให้ภิกษุหนุ่มยินยอมเลย (ทั้ง) ไม่ได้อาจเพื่อให้นางทาริกา
ยินยอม. ขณะนั้น พระเถระมาแล้ว ถามว่า " นี้ อะไรกัน ? อุบาสิกา "
ฟังความนั้นแล้ว เมื่อจะกล่าวสอนภิกษุหนุ่ม จึงพูดว่า " ผู้มีอายุ เธอจง
หลีกไป, หญิงนี้ไม่ได้ด่าต่อเธอผู้มีผมเล็บและผ้าอันตัดแล้ว ผู้ถือกระเบื้อง
ตัดในท่ามกลางเที่ยวไปอยู่เพื่อภิกษา, เธอจงเป็นผู้นิ่งเสีย. "
ภิกษุหนุ่ม. อย่างนั้นขอรับ ท่านไม่คุกคามอุปัฏฐายิกาของตน จัก
คุกคามกระผมทำไม ? การที่นางด่ากระผมว่า ' ผู้มีหัวขาด ' จักควรหรือ ?
ขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า " นี้อะไรกัน ? " นาง-
วิสาขากราบทูลประพฤติเหตุนั้นตั้งแต่ต้น.
พระศาสดาประทานโอวาทแก่ภิกษุหนุ่ม
พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของภิกษุหนุ่มนั้น
แล้ว จึงทรงดำริว่า " เราคล้อยตามภิกษุหนุ่มนี้จะควร " ดังนี้แล้ว จึง
ตรัสกะนางวิสาขาว่า " วิสาขา ก็ทาริกาของท่านด่าทำสาวกทั้งหลายของ
เราให้เป็นผู้มีศีรษะขาด ด้วยเหตุสักว่ามีผมอันตัดแล้วเป็นต้นนั้นแล ควร
หรือ ? " ภิกษุหนุ่ม ลุกขึ้นประคองอัญชลีในทันใดนั่นแล กราบทูล
ว่า " พระเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบปัญหานั่นด้วยดี. อุปัชฌาย์ของ
ข้าพระองค์และมหาอุบาสิกา ย่อมไม่ทราบด้วยดี. " พระศาสดา ทรง
ทราบความที่พระองค์เป็นผู้อนุกูลแก่ภิกษุหนุ่มแล้ว ตรัสว่า " ชื่อว่าความ
เป็นคือการหัวเราะปรารภกามคุณเป็นธรรมอันเลว. อนึ่งการเสพธรรมที่
ชื่อว่าเลว และการอยู่ร่วมกับความประมาทย่อมไม่ควร " จึงตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-
1. หีนํ ธมฺมํ น เสเวยฺย ปมาเทน น สํวเส
มิจฺฉาทิฏฺฐึ น เสเวยฺย น สิยา โลกวฑฺฒโน.
" บุคคลไม่พึงเสพธรรมอันเลว, ไม่พึงอยู่ร่วม
ด้วยความประมาท, ไม่พึงเสพความเห็นผิด ไม่พึง
เป็นคนรกโลก. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า หีนํ ธมฺมํ ได้แก่ ธรรม คือ
เบญจกามคุณ. แท้จริง ธรรมคือเบญจกามคุณนั้น อันชนเลว โดยที่สุด
แม้อูฐและโคเป็นต้นพึงเสพ. ธรรมคือเบญจกามคุณ ย่อมให้สัตว์ผู้เสพ-
บังเกิดในฐานะทั้งหลายมีนรกเป็นต้นอันเลว เพราะเหตุนั้น ธรรมคือ
เบญจกามคุณนั้น จึงชื่อว่าเป็นธรรมเลว : บุคคลไม่พึงเสพธรรมอันเลว
นั้น. บทว่า ปมาเทน ความว่า ไม่พึงอยู่ร่วมแม้ด้วยความประมาท มี
อันปล่อยสติเป็นลักษณะ บทว่า น เสเวยฺย ได้แก่ ไม่พึงถือความเห็น
ผิด. บทว่า โลกวฑฺฒโน ความว่า ก็ผู้ใดทำอย่างนี้. ผู้นั้นย่อมชื่อว่า
เป็นคนรกโลก ; เพราะเหตุนั้น (ไม่) พึงเป็นคนรกโลก เพราะไม่ทำ
อย่างนั้น.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุหนุ่มตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. เทศนา
ได้เป็นประโยชน์แม้แก่ชนทั้งหลายผู้ประชุมกัน ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุหนุ่ม จบ.
2. เรื่องพระเจ้าสุทโธนทะ [138]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภพระบิดา
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย " เป็นต้น.
พระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรก
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง พระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์บุรี
โดยเสด็จไปครั้งแรก มีการต้อนรับอันพระญาติทั้งหลายทำแล้วเสด็จไปสู่
นิโครธาราม ทรงนิรมิตตนจงกรมในอากาศ จงกรมบนรัตนจงกรมนั้น
ทรงแสดงธรรมเพื่อต้องการทำลายมานะของพระญาติทั้งหลายแล้ว. พระ-
ญาติทั้งหลายมีจิตเลื่อมใสแล้ว ถวายบังคมตั้งต้นแต่พระเจ้าสุทโธทนมหา-
ราช. ฝนโบกขรพรรษตกในสมาคมแห่งพระญาตินั้น. เมื่อมหาชนปรารภ
ฝนนั้น สนทนากันแล้วพระศาสดาตรัสว่า " ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้
ภิกษุทั้งหลาย. ถึงในกาลก่อน ฝนโบกขรพรรษก็ตกในสมาคมแห่งญาติ
ของเราเหมือนกัน " ดังนี้แล้ว จึงตรัสเวสสันดรชาดก1. บรรดาพระญาติ
ซึ่งฟังพระธรรมเทศนาแล้วหลีกไปอยู่. แม้องค์หนึ่งก็ไม่นิมนต์พระศาสดา
แล้ว. แม้พระราชาก็ไม่ทรงนิมนต์เลย ด้วยทรงดำริว่า " บุตรเราไม่มา
สู่เรือนของเรา จักไปไหน ? " ดังนี้แล้ว ได้เสด็จไป ; ก็แลครั้นเสด็จไป
แล้ว รับสั่งให้คนตกแต่งข้าวต้มเป็นต้น ให้ปูลาดอาสนะทั้งหลายไว้เพื่อ
ภิกษุมีประมาณสองหมื่น ในพระราชมนเฑียร.
1. ขุ. ชา. มหา. 27/365. อรรถกถา.10/315.
วันรุ่งขึ้น พระศาสดาเมื่อเสด็จเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต ทรง
ใคร่ครวญว่า " พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย เสด็จถึงพระนครแห่งพระ-
บิดาแล้ว เสด็จตรงไปสู่ตระกูลแห่งพระญาติทีเดียวหรือหนอแล ? หรือว่า
เสด็จเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต โดยลำดับ " ทรงเห็นว่า " เสด็จเที่ยวไปโดย
ลำดับ " ดังนี้แล้ว จึงเสด็จดำเนินไปเพื่อบิณฑบาตตั้งแต่เรือนหลังแรก.
พระมารดาของพระราหุลประทับนั่งบนพื้นปราสาทแลเห็นแล้ว จึงกราบ-
ทูลประพฤติเหตุนั้นแด่พระราชา พระราชาทรงจัดแจงผ้าสาฎกรีบเสด็จ
ออกไป ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ตรัสว่า " ลูก เพราะเหตุไร ? ท่าน
จึงให้ข้าพเจ้าฉิบหาย. ท่านเที่ยวไปเพื่อภิกษา ให้ความละอายเกิดขึ้นแล้ว
แก่ข้าพเจ้าเหลือเกิน. ขึ้นชื่อว่ากรรมไม่ควรอันท่านทำแล้ว. การที่ท่าน
เที่ยวไปด้วยวอทองคำเป็นต้น เที่ยวไปเพื่อภิกษา ในนครนี้นั้นแหละจึง
ควร ; ท่านให้ข้าพเจ้าละอายทำไม ? "
การบิณฑบาตเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้า
พระศาสดา. มหาบพิตร อาตมภาพให้พระองค์ละอายหามิได้,
แต่อาตมภาพย่อมประพฤติตามวงศ์สกุลของตน.
พระราชา. พ่อ ก็การเที่ยวไปเพื่อภิกษาแล้วเป็นอยู่ เป็นวงศ์
ของข้าพเจ้าหรือ ?
พระศาสดาตรัส ว่า " มหาบพิตร นั่นมิใช่เป็นวงศ์ของพระองค์. แต่
นั่นเป็นวงศ์ของอาตมภาพ ; เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่พันหนึ่ง เสด็จเที่ยว
ไปเพื่อบิณฑบาตแล้วเป็นอยู่เหมือนกัน" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรม
ได้ภาษิตพระคาถาเหล่านั้นว่า:-