จักวางเขาหลวงชื่อสิเนรุไว้ในระหว่างฟันแล้ว เคี้ยวกินภูเขานั้นดุจพืช
เมล็ดผักกาด พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักม้วนแผ่นดินใหญ่นี้ดุจเสื่อลำแพน
แล้วใส่เข้าไว้(หนีบไว้) ในระหว่างนิ้วมือ.
พระศาสดา เธอจักทำอะไร. อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักหมุนแผ่นดินใหญ่ ให้เป็นเหมือน
แป้นหมุนภาชนะดินของช่างหม้อ แล้วให้มหาชนเคี้ยวกินโอชะแผ่นดิน.
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักทำแผ่นดินไว้ในมือเบื้องซ้ายแล้ว
วางสัตว์เหล่านั้นไว้ในทวีปอื่นด้วยมือเบื้องขวา.
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักทำเขาสิเนรุให้เป็นด้ามร่ม ยก
แผ่นดินใหญ่ขึ้นวางไว้ข้างบนของภูเขาสิเนรุนั้น เอามือข้างหนึ่งถือไว้
คล้ายภิกษุมีร่มในมือ จงกรมไปในอากาศ.
พระศาสดาตรัสว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ " ดังนี้แล้วก็ไม่
ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์ แม้ของพระเถระนั้น. พระเถระนั้นคิดว่า
" ชะรอยพระศาสดาจะทรงทราบผู้สามารถทำปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าเรา " จึงได้
ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระเถระนั้นว่า " โมคคัลลานะ พวง
ดอกไม้นี้เขามิได้ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่เธอ, ด้วยว่า เราเป็นผู้มีธุระที่หา
ผู้เสมอมิได้. ผู้อื่นที่ชื่อว่าสามารถนำธุระของเราไปได้ไม่มี; การที่ผู้สามารถ
นำธุระของเราไปได้ไม่พึงมีในบัดนี้ไม่เป็นของอัศจรรย์, แม้ในกาลที่เรา
เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานที่เป็นอเหตุกกำเนิด ผู้อื่นที่สามารถนำธุระของ
เราไป ก็มิได้มีแล้วเหมือนกัน " อันพระเถระทูลถามว่า " ในกาลไรเล่า ?
พระเจ้าข้า " จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสกัณหอุสภชาดก1นี้ให้พิสดารว่า :-
" ธุระหนักมีอยู่ในกาลใด ๆ, ทางไปในที่ลุ่มลึก
มีอยู่ในกาลใด ในกาลนั้นแหละ พวกเจ้าของย่อม
เทียมโคชื่อกัณหะ; โคชื่อกัณหะนั้นแหละ ย่อมนำ
ธุระนั้นไป. "
เมื่อจะทรงแสดงเรื่องนั้นนั่นแหละให้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก จึงตรัส
นันทวิสาลชาดก2นี้ให้พิสดารว่า :-
" บุคคลพึงกล่าวคำเป็นที่พอใจเท่านั้น, ไม่พึง
กล่าวคำไม่เป็นที่พอใจในกาลไหน ๆ; (เพราะ) เมื่อ
พราหมณ์กล่าวคำเป็นที่พอใจอยู่, โคนันทวิสาลเข็น
ภาระอันหนักไปได้; ยังพราหมณ์นั้นให้ได้ทรัพย์,
และพราหมณ์นั้นได้เป็นผู้มีใจเบิกบาน เพราะการได้
ทรัพย์นั้น."
ก็แล พระศาสดาครั้นตรัสแล้ว จึงเสด็จขึ้นสู่จงกรมแก้วนั้น. ข้าง
หน้าได้มีบริษัทประมาณ 12 โยชน์. ข้างหลัง ข้างซ้าย และข้างขวา
ก็เหมือนอย่างนั้น, ส่วนโดยตรง มีประมาณ 24 โยชน์ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ในท่ามกลางบริษัท. ยมกปาฏิหาริย์นั้น
บัณฑิตพึงทราบตามพระบาลีอย่างนี้ก่อน.
1. ขุ. ชา. 27/10. อรรถกถา. 1/289. 2. ขุ. ชา. 27/10. อรรถกถา. 1/293.
ลักษณะของยมกปาฏิหาริย์
"1 ญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคตเป็นไฉน ? ในญาณนี้
พระตถาคตทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ไม่ทั่วไปด้วยพวกสาวก; ท่อไฟพลุ่ง
ออกแต่พระกายเบื้องบน, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องล่าง; ท่อไฟ
พลุ่งออกแต่พระกายเบื้องล่าง, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องบน; ท่อ
ไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหน้า, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องหลัง;
ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหลัง, สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้อง
หน้า; ท่อไฟพลุ่งออกเเต่พระเนตรเบื้องขวา, สายน้ำไหลออกแต่พระเนตร
เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระเนตรเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่
พระเนตรเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา, สายน้ำ
ไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณ
เบื้องซ้าย; สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา, ท่อไฟพลุ่งออก
แต่ช่องพระนาสิกเบื้องขวา; สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย;
ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระ-
นาสิกเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวา, สายน้ำไหล
ออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้อง
ซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่
พระหัตถ์เบื้องขวา, สายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่ง
ออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องขวา; ท่อไฟ
พลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องขวา; สายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้าย;
1. ขุ. ปฏิ. 30/183.
ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้อง
ขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องขวา, สายน้ำไหลออกเเต่พระบาท
เบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องซ้าย, สายน้ำไหลออกแต่
พระบาทเบื้องขวา; ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระองคุลี, สายน้ำไหลออกแต่
ช่องพระองคุลี; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระองคุลี, สายน้ำไหลออกจาก
พระองคุลี; ท่อไฟพลุ่งออกแค่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ. สายน้ำไหลออก
แต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ๆ, ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ๆ,
สายน้ำไหลออกแต่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ. รัศมีทั้งหลาย ย่อมเป็นไป
ด้วยสามารถแห่งสี 6 อย่าง คือ เขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท ปภัสสร;
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรม. พระพุทธนิรมิตย่อมยืนหรือนั่งหรือสำเร็จ
การนอน; (พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืน พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม นั่ง
หรือสำเร็จการนอน, พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง พระพุทธนิรมิตย่อม
จงกรม ยืนหรือสำเร็จการนอน; พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จสีหไสยา
พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม ยืนหรือนั่ง; พระพุทธนิรนิตจงกรม. พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ย่อมทรงยืน ประทับนั่ง หรือสำเร็จสีหไสยา; พระพุทธ-
นิรมิตทรงยืน. พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงจงกรม ประทับนั่งหรือทรง
สำเร็จสีหไสยา;). พระพุทธนิรมิตประทับนั่ง, พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรง
จงกรม ประทับยืน หรือสำเร็จสีหไสยา พระพุทธนิรมิตสำเร็จสีหไสยา.
พระผู้มีพระภาคย่อมทรงจงกรม ประทับยืน หรือประทับนั่ง. นี้เป็น
ญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคต. "
ก็พระศาสดาเสด็จจงกรมบนที่จงกรมนั้น ได้ทรงทำปาฏิหาริย์นี้
แล้ว. เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น " ท่อไฟย่อมพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องบน
ด้วยอำนาจเตโชกสิณสมาบัติของพระศาสดานั้น. สายน้ำไหลออกแต่พระ-
กายเบื้องล่าง ด้วยอำนาจอาโปกสิณสมาบัติ; ท่อไฟพลุ่งออกแต่ที่ ๆ สาย
น้ำไหลออกแล้วอีก, และสายน้ำก็ไหลออกแต่ที่ ๆ ท่อไฟพลุ่งออก
พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า " เหฏฺฐิมกายโต อุปริมกายโต. " นัยในบท
ทั้งปวงก็เช่นนี้. ก็ในยมกปาฏิหาริย์นี้ ท่อไฟมิได้เจือปนกับสายน้ำเลย,
อนึ่ง สายน้ำก็มิได้เจือด้วยท่อไฟ, ก็นัยว่าท่อไฟและสายน้ำทั้งสองนี้ พลุ่ง
ขึ้นไปตลอดถึงพรหมโลก แล้วก็ลุกลามไปที่ขอบปากจักรวาล. ก็เพราะ
เหตุที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า " ฉนฺน วณฺณานํ " พระรัศมีพรรณะ
6 ประการของพระศาสดานั้น พลุ่งขึ้นไปจากห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง ดุจ
ทองคำละลายคว้าง ซึ่งกำลังไหลออกจากเบ้า และดุจสายน้ำแห่งทองคำ
ที่ไหลออกจากทะนานยนต์ จดพรหมโลกแล้วสะท้อนกลับมาจดขอบปาก
จักรวาลตามเดิม. ห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง ได้เป็นดุจเรือนต้นโพธิที่ตรึง
ไว้ด้วยซี่กลอนอันคด มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน.
ในวันนั้น พระศาสดาเสด็จจงกรมทรงทำ (ยมก) ปาฏิหาริย์แสดง
ธรรมกถาแก่มหาชนในระหว่าง ๆ, และเมื่อทรงแสดงไม่ทรงทำให้มหาชน
ให้หนักใจ ประทานให้เบาใจยิ่ง. ในขณะนั้น มหาชนยังสาธุการให้เป็น
ไปแล้ว. ในเวลาที่สาธุการของมหาชนนั้นเป็นไป พระศาสดาทรงตรวจดู
จิตของบริษัทซึ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ได้ทรงทราบวาระจิตของคนหนึ่ง ๆ ด้วย
1. นิรสฺสาสํ ให้มีความโล่งใจออกแล้ว.
อำนาจอาการ 16 อย่าง. จิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นไปเร็วอย่างนี้,
บุคคลใด ๆ เลื่อมใสในธรรมใด และในปาฏิหาริย์ใด. พระศาสดาทรง
แสดงธรรม และได้ทรงทำปาฏิหาริย์ด้วยอำนาจอัธยาศัยแห่งบุคคลนั้น ๆ.
เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรม และทรงทำปาฏิหาริย์ด้วยอาการอย่างนี้
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่มหาชนแล้ว. ก็พระศาสดาทรงกำหนดจิตของพระองค์
ไม่ทรงเห็นคนอื่นผู้สามารถจะถามปัญหาในสมาคมนั้น จึงทรงนิรมิตพระ-
พุทธนิรมิต. พระศาสดาทรงเฉลยปัญหาที่พระพุทธนิรมิตนั้นถามแล้ว.
พระพุทธนิรมิตนั้นก็เฉลยปัญหาที่พระศาสดาตรัสถามแล้ว. ในเวลาที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรม พระพุทธนิรมิตสำเร็จอิริยาบถมีการยืน
เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. ในเวลาที่พระพุทธนิรมิตจงกรม พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงสำเร็จพระอิริยาบถ มีการประทับยืนเป็นต้นอย่างใดอย่าง
หนึ่ง. เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า " พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรมบ้าง " เป็นต้น .
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ 20 โกฏิในสมาคมนั้น เพราะเห็น
ปาฏิหาริย์ของพระศาสดา ผู้ทรงทำอยู่อย่างนั้น และเพราะได้ฟังธรรมกถา.
พระศาสดาเสด็จจำพรรษาชั้นดาวดึงส์
พระศาสดากำลังทรงทำปาฏิหาริย์อยู่นั่นแล ทรงรำพึงว่า " พระ-
พุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย ทำปาฏิหาริย์นี้แล้ว จำพรรษาที่ไหนหนอแล ? "
ทรงเห็นว่า " จำพรรษาในภพดาวดึงส์ แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎก
แก่พระพุทธมารดา " ดังนี้แล้ว ทรงยกพระบาทขวาเหยียบเหนือยอด
ภูเขายุคันธร ทรงยกพระบาทอีกข้างหนึ่งเหยียบเหนือยอดเขาสิเนรุ วาระที่
ย่างพระบาท 3 ก้าว ได้มีแล้วในที่ 68 แสนโยชน์อย่างนี้. ช่องพระบาท
2 ช่อง ได้ถ่างออกเช่นเดียวกันกับการย่างพระบาทตามปกติ. ใคร ๆ
ไม่พึงกำหนดว่า " พระศาสดาทรงเหยียดพระบาทเหยียบแล้ว. เพราะใน
เวลาที่พระองค์ทรงยกพระบาทนั่นแหละ ภูเขาเหล่านั้นก็มาสู่ที่ใกล้พระ-
บาทรับไว้แล้ว, ในเวลาที่พระศาสดาทรงเหยียบแล้ว ภูเขาเหล่านั้นก็ตั้ง
ประดิษฐานในที่เดิม. ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาแล้ว ทรง
ดำริว่า " พระศาสดาจักทรงเข้าจำพรรษานี้ ในท่ามกลางบัณฑุกัมพลสิลา.
อุปการะจักมีแก่เหล่าเทพดามากหนอ. แต่เมื่อพระศาสดาทรงจำพรรษา
ที่นั่น เทพดาอื่น ๆ จักไม่อาจหยุดมือได้; ก็แลบัณฑุกัมพลสิลานี้ ยาว
60 โยชน์ กว้าง 50 โยชน์ หนา 15 โยชน์ แม้เมื่อพระศาสดาประทับ
นั่งแล้ว ก็คงคล้ายกับว่างเปล่า." พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอ
ทรงโยนสังฆาฏิของพระองค์ไปให้คลุมพื้นศิลาแล้ว. ท้าวสักกะทรงดำริว่า
" พระศาสดาทรงโยนจีวรมาให้คลุมไว้ก่อน. ก็พระองค์จักประทับนั่งในที่
นิดหน่อยด้วยพระองค์เอง. " พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอ
จึงประทับนั่งทำบัณฑุกัมพลสิลาไว้ภายในขนดจีวรนั่นเอง ประหนึ่งภิกษุ
ผู้ทรงผ้ามหาบังสุกุล ทำตั่งเตี้ยไว้ภายในขนดจีวรฉะนั้น. ขณะนั้นเอง แม้
มหาชนแลดูพระศาสดาอยู่ ก็มิได้เห็น. กาลนั้น ได้เป็นประหนึ่งเวลา
พระจันทร์ตก. และได้เป็นเหมือนเวลาพระอาทิตย์ตก. มหาชนคร่ำครวญ
กล่าวคาถานี้ว่า :-
" พระศาสดาเสด็จไปสู่เขาจิตรกูฏ หรือสู่เขา
ไกรลาส หรือสู่เขายุคันธร, เราทั้งหลายจึงไม่เห็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้โลกเชษฐ์ ผู้ประเสริฐ
กว่านระ. "
อีกพวกหนึ่งกำลังคร่ำครวญว่า "ชื่อว่าพระศาสดา ทรงยินดีแล้ว
ในวิเวก, พระองค์จักเสด็จไปสู่แคว้นอื่น หรือชนบทอื่นเสียแล้ว เพราะ
ทรงละอายว่า 'เราทำปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ แก่บริษัทเห็นปานนี้,' บัดนี้
เราทั้งหลายคงไม่ได้เห็นพระองค์" ดังนี้ กล่าวคาถานี้ว่า:-
"พระองค์ผู้เป็นปราชญ์ ทรงยินดีแล้วในวิเวก
จักไม่เสด็จกลับมาโลกนี้อีก. เราทั้งหลายจะไม่เห็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้โลกเชษฐ์ ผู้ประเสริฐ
กว่านระ" ดังนี้.
ชนเหล่านั้นถามพระมหาโมคคัลลานะว่า " พระศาสดาเสด็จไปที่
ไหน ? ขอรับ" ท่านแม้ทราบอยู่เอง ก็ยังกล่าวว่า " จงถามพระอนุรุทธ
เถิด" ด้วยมุ่งหมายว่า "คุณแม้ของสาวกอื่น ๆ จงปรากฏ" ดังนี้.
ชนเหล่านั้นถามพระเถระอย่างนั้นว่า " พระศาสดาเสด็จไปที่ไหน"
ขอรับ. "
อนุรุทธ. เสด็จไปจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลสิลา ในภพดาวดึงส์
แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎกแก่พระมารดา.
มหาชน. จักเสด็จมาเมื่อไร ? ขอรับ.
อนุรุทธ. ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกตลอด 3 เดือนแล้ว จักเสด็จมา
ในวันมหาปวารณา.
ชนเหล่านั้นพูดกันว่า " พวกเราไม่ได้เห็นพระศาสดา จักไม่ไป"
ดังนี้แล้ว ทำที่พักอยู่แล้วในที่นั้นนั่นเอง. ได้ยินว่า ชนเหล่านั้นได้มี
อากาศนั่นเอง เป็นเครื่องมุ่งเครื่องบัง ชื่อว่าเหงื่อที่ไหลออกจากตัวของ
บริษัทใหญ่ถึงเพียงนั้น มิได้ปรากฏแล้ว. แผ่นดินได้แหวกช่องให้แล้ว.
พื้นแผ่นดินในที่ทุกแห่ง ได้เป็นที่สะอาดทีเดียว. พระศาสดาได้ตรัสสั่ง
พระมหาโมคคัลลานะไว้ก่อนทีเดียวว่า " โมคัลลานะ เธอพึงแสดงธรรม
แก่บริษัทนั่น, จุลอนาถบิณฑิกะจักให้อาหาร. " เพราะเหตุนั้น จุลอนาถ-
บิณฑิกะแล ได้ให้แล้วซึ่งข้าวต้ม ข้าวสวย ของเคี้ยว ของหอม
ระเบียบและเครื่องประดับ แก่บริษัทนั้น ทุกเวลาทั้งเช้าและเย็นตลอด
ไตรมาสนั้น. พระมหาโมคคัลลานะแสดงธรรมแล้ว วิสัชนาปัญหาที่
เหล่าชนผู้มาแล้ว ๆ เพื่อดูปาฏิหาริย์ถามแล้ว.
พระสัมพุทธเจ้าไพโรจน์ล่วงเหล่าเทวดา
เทวดาในหมื่นจักรวาล แวดล้อมแม้พระศาสดา ผู้ทรงจำพรรษา
ที่บัณฑุกัมพลสิลา เพื่อทรงแสดงอภิธรรมแก่พระมารดา เหตุนั้น
พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า :-
" ในกาลใด พระพุทธเจ้า ผู้เป็นยอดบุรุษประทับ
อยู่เหนือบัณฑุกัมพลสิลา ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ ในภพ
ดาวดึงส์, ในกาลนั้น เทพดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ
ประชุมพร้อมกันแล้วเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้
ประทับอยู่บนยอดเขา, เทพดาองค์ไหน ๆ ก็หา
ไพโรจน์กว่าพระสัมพุทธเจ้าโดยวรรณะไม่, พระ-
สัมพุทธเจ้าเท่านั้น ย่อมไพโรจน์ล่วงปวงเทพดา
ทั้งหมด. "
ก็เมื่อพระศาสดานั้น ประทับนั่งครอบงำเทพดาทุกหมู่เหล่า ด้วย
รัศมีพระสรีระของพระองค์อย่างนี้ พระพุทธมารดาเสด็จมาจากวิมาน